สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค - ตอนที่ 20 มหามาร
ราชอาณาจักรรูติน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของทวีป ภายใต้พื้นที่ควบคุมมีเมืองหลวง เมืองใหญ่เจ็ดเมือง เมืองย่อยสิบห้าเมือง และหมู่บ้านขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่วกว่าร้อยหมู่บ้าน
เพราะอยู่ติดทั้งทะเลและภูเขา ทำให้มีสินค้าจำพวกอาหารทะเลและผักภูเขามากมาย เป็นที่ต้องการของเหล่านักเดินทาง
โดยปกติแล้วในเมืองหลวงจะมีผู้คบเดินอยู่ตามถนนอย่างคับคั่ง…แต่ในวันนี้ ความปกตินั้นได้จบลง
ประชากรจำนวนมากพยายามหอบข้าวของให้มากที่สุดเท่าที่จะเอาไปได้ แข่งกันว่าใครจะหนีรอดไปได้ก่อน
ประชากรเหล่านี้หวาดกลัวทัพปีศาจที่ยกทัพเข้ามาใกล้เข้าไปทุกขณะ
การต่อสู้แห่งโชคชะตาที่เดิมพันด้วยความอยู่รอดของอาณาจักรอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปไม่มาก เหล่าทหารพยายามดิ้นรนต่อต้านกองทัพปีศาจเอาไว้อยู่
ยกทหารมากันหมดปราสาท รวมไปถึงเหล่านักเวทย์ กระทั่งกองทหารสมทบจากขุนนางทั้งกลายก็ถูกส่งมายังสนามรบนี้
เหล่าชายฉกรรจ์รวมตัวกันเป็นกองทัพอาสาสมัคร ส่งเสียงให้กำลังใจกันอย่างกล้าหาญ
นี่เป็นครั้งแรกและอาจจะเป็นครั้งเดียว ที่ผู้คนเหล่านี้ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นศัตรูกัน รวมตัวกันสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ เปลี่ยนความตายของสหายร่วมรบให้เป็นพลังใจ เพื่อขับไล่สิ่งผิดมนุษย์เหล่านี้ออกไปจากบ้านเกิดอันเป็นที่รัก
เหล่าราชวงศ์ก็เข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้เพื่อเสริมสร้างกำลังใจของเหล่าทหาร ทุกคนรวมใจเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อต่อสู้กับภัยอันตรายที่ถาโถมเข้ามา
“โฮ่ว…พยายามกันไม่เลวเลย สำหรับพวกมนุษย์ชั้นต่ำน่ะนะ”
“ยักษ์” ขนาดมหึมานั่งอยู่บนหลังสุนัขสามหัว มองไปที่กองกำลังต่อต้านด้วยความดูหมิ่น
ร่างกายสูงกว่าสามเมตร ขนสีดำทมิฬปกคลุมร่างกาย เขาแหลมสองข้างงอกออกมาจากข้างศีรษะ
ถ้ามองดูใกล้ๆ ก็อาจจะบอกได้ว่ามีรูปร่างคล้ายกับวานร แต่พละกำลังที่แสดงออกมานั้นต่างกันอย่างไม่อาจเทียบได้
ทุกๆคนในสนามรบสามารถรู้ได้ทันทีว่านี่คือผู้นำของกองทัพปีศาจ
ไม่รู้ว่ามันเป็นตัวอะไร แต่อย่างน้อยก็พอบอกได้ว่าไม่ใช่ปีศาจธรรมดาแน่
ปีศาจคือสัตว์ป่าที่ถูกครอบงำด้วยพลังของแม่มด และเจ้ายักษ์ตนนี้ไม่ใช่สัตว์ป่าแบบที่ใครเคยพบเห็น
พื้นฐานอาจจะดูคล้ายวานร แต่ทั้งขนาดและพละกำลังนั้นห่างกันเป็นโยชน์
ปีศาจที่ยิ่งกว่าปีศาจ ผู้คนเรียกปีศาจที่แข็งแกร่งเกินไปเช่นนี้ว่า “มหามาร”
มหามารนั้นจะถูกสร้างโดยแม่มดโดยตรง ทำให้มีพลังที่สูงส่งกว่าปีศาจธรรมดาอย่างมาก
แม่มดจะจับสัตว์มาหลากหลายชนิด เปลี่ยนพวกมันเป็นปีศาจ แล้วจึงปล่อยให้พวกมันฆ่ากันเองในกรง
ผู้ที่เหลือรอดจะต้องกลืนกินผู้ที่พ่ายแพ้ เปลี่ยนพวกมันเป็นมารร้ายที่อยู่เหนือปีศาจทั่วไป
ส่วนมากแล้วผลลัพท์ที่ออกมาก็จะเป็นแค่ปีศาจที่แข็งแกร่งกว่าปกติ อย่างเช่นพวกมังกรที่ถูกเอลริสจัดการไป
ในเทพนิยายอาจจะมีตำนานอย่างเช่นมังกรครอบครองสติปัญญาสูงส่งและสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ แต่ในความเป็นจริงไม่มีมังกรที่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ หรือต่อให้มีก็ไม่มาก
ปีศาจเช่นมังกรนั้นไม่นับว่าเป็นมหามาร ถึงแม้พลังจะใกล้เคียงกัน สิ่งที่พวกมันครอบครองก็มีแค่พลังเท่านั้น
มหามารนั้นเกิดจากการวิวัฒนาการ เปลี่ยนสิ่งมีชีวิตด้อยปัญญาให้มีปัญญาเทียบเท่าหรือยิ่งกว่ามนุษย์ธรรมดา
เพราะแบบนั้นสัตว์ที่กลายเป็นมหามารส่วนใหญ่จึงมาจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นหลัก โดยส่วนมากจะเป็นตระกูลวานร
มหามารประเภทอื่นก็มีอย่างสุนัข โลมา หรืออีกา
หรือก็คือจะต้องมีสติปัญญาตั้งต้นเพียงพอจึงจะกลายเป็นมหามารได้
อย่างไรก็ตามมนุษย์ไม่สามารถกลายเป็นปีศาจได้ เนื่องจากร่างกายมนุษย์นั้นบอบบางเกินกว่าจะรับพลังของแม่มดได้ หากโดนเข้าไปก็จะตายก่อนได้กลายร่างเสียอีก
วิธีรการสร้างมหามารนั้นค่อนข้างจะตรงตัว แต่ก็ยากยิ่ง
99 ใน 100 ครั้งจะออกมาล้มเหลว
ปีศาจลิงนั้นไม่ได้แข็งแกร่งมาตั้งแต่แรก
หรือถ้าพูดให้ถูก โอกาสที่มันจะรอดการฆ่าฟันในกรงมาได้นั้นมีอยู่น้อยนิด
ผู้ที่โชคดีหรือผู้ที่ฉลาด หนีหรือหลบซ่อนตัวจนกว่าสัตว์ตัวอื่นๆจะอ่อนแรงแล้วจึงเก็บตกตัวสุดท้ายทำให้รอดมาได้
แต่ถึงจะรอดการต่อสู้มาได้ ก็ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าร่างกายจะสามารถทนรับพลังที่ดูดกลืนมาได้
ส่วนมากก็มักพลาดในการได้กลายเป็นมหามาร และเสียชีวิตลงเหมือนมนุษย์
แต่ผู้ใดที่สามารถรอดความเป็นไปได้เล็กๆนั้นมาได้ ก็จะกลายเป็นระดับผู้นำทัพปีศาจ
“อย่าไปกลัวมัน! เดินหน้า! อย่าใจเสียไป!”
“เราชนะพวกมันได้น่า! อย่ายอมแพ้!”
“ถ้าเราแพ้ล่ะก็ ประเทศของเราก็จะล่มสลาย! นี่คือเวลาที่เราต้องยืนหยัดสู้มัน!”
ต่อหน้าสถานการณ์เช่นนี้ ผู้คนก็ยังไม่หมดหวัง
อย่างไรก็ตาม พลังที่มีนั้นไม่เพียงพอ จำนวนทหารก็ไม่เพียงพอ
การต่อสู้กับกองทัพปีศาจนี้ก็เป็นได้แค่แข่งความอดทน อยู่ที่ว่าจะแพ้ตอนนี้หรือแพ้ในอีกไม่นาน
“อย่ายอมแพ้นะ! อย่างน้อยก็ต้านซื้อเวลาไว้ให้ผู้คนหนีไปให้ได้มากที่สุด!”
มหามาร—ขอเรียกว่า วานรยักษ์ แล้วกัน เจ้าปีศาจตนนี้หัวเราะร่า
คำพูดของนายกองแห่งกองทัพมนุษย์ถือเป็นเรื่องน่าขันสำหรับมัน
ไอ้เจ้านั่นโง่รึเปล่าเนี่ย?
ประโยคนั้นขัดแย้งในตัวเอง
ทั้งที่บอกว่าอย่ายอมแพ้แท้ๆ แต่กลับพูดว่า”ซื้อเวลาให้ผู้คนหนีไป”ต่อท้าย นั่นก็หมายความว่ายอมแพ้ไปแล้วไม่ใช่รึไง? นี่เป็นเพียงเรื่องตลกสำหรับวานรยักษ์เท่านั้น
ซื้อเวลา—คำพูดน่าสมเพชของพวกขี้แพ้
เป้าหมายถูกเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่เพื่อปกป้องประเทศอีกต่อไป เพราะรู้แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ขอลดจำนวนผู้เสียชีวิตให้น้อยที่สุด พวกเขาได้ทอกทิ้งใจที่อยากชนะไปแล้ว
เป็นคำพูดของผู้ที่ละทิ้งความเป็นไปได้ที่จะชนะ เป็นแค่คำให้กำลังใจตัวเองของผู้ที่ยอมรับความพ่ายแพ้เรียบร้อยแล้ว
“เอาล่า…ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอเล่นบ้าง”
วานรยักษ์กระโดดลงจากหลังของสุนัขสามหัว และกระโจนใส่ใจกลางของกองทัพ
ทหารบางนายถูกน้ำหนักของมันบดขยี้เพียงลงเท้าถึงพื้น กระบองของมันกวาดไปรอบๆอย่างรุนแรง
ทหารจำนวนมากถูกฟาดปลิวกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง เกราะที่ควรจะปกป้องร่างกายแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“อุ อุหวาหวาหวา…”
“อย่าไปกลัว! นี่คือแม่ทัพฝั่งศัตรู! ฆ่ามัน!”
“แค่ฆ่ามันได้ทัพอีกฝ่ายก็จะแตกพ่ายแล้ว!”
ทหารจำนวนมากบุกเข้าใส่วานรยักษ์ที่บุกเข้ามาตนเดียว
วานรยักษ์ไม่สนใจความตั้งมั่นเหล่านั้น เพียงกวาดเหล่าทหารกระจายไปอีกครั้งด้วยกระบอง
เสียงชุดเกราะถูกบดขยี้ลั่นไปทั่วสนามรบ ร่างกายของทหารหลายนานถูกอัดกระแทกจนไม่เป็นรูปเป็นร่าง
พลังของมหามารนั้นเทียบเคียงได้กับมังกร
พลังที่สามารถทำลายกำแพงปราสาทได้ง่ายๆ ผิวหนังที่ฟันแทงไม่เข้าด้วยดาบหรือหอก อึดทนจนสามารถต้านทานเวทมนตร์ได้ด้วยตัวเปล่า
หัวกะทิในหมู่หัวกะทิที่ถูกฝึกมาเพื่อปกป้องเซนต์ถูกเรียกว่า “อัศวินเวทมนตร์”…แค่คนเดียวก็เพียงพอที่จะต่อกรทหารได้ทั้งกองร้อย แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถสู้มหามารได้ด้วยตัวคนเดียว
ถ้าจะจัดการวานรยักษ์ตัวนี้ จำเป็นต้องใช้อัศวินในระดับนั้นจำนวนไม่น้อยถึงจะเอามันลงได้
ปีศาจตนนี้ไม่ใช่อะไรที่ทหารธรรมดาจะจัดการได้ไม่ว่าจะขนมาสักกี่ร้อยคน
ยิ่งเวลาผ่านไป จำนวนผู้เสียชีวิตของฝ่ายมนุษย์ก็ยิ่งมากขึ้นทุกวินาที
ในอีกไม่นานทัพก็จะแตกพ่าย และสุดท้ายประเทศของพวกเขาก็จะถูกเหล่าปีศาจเหยียบย่ำจนราบเป็นหน้ากลอง
อย่างน้อยที่สุดก็พอจะซื้อเวลาให้ประชาชนหนีไปได้
ใช้ชีวิตของพวกตนเป็นโล่ ทอดทิ้งความหวังที่จะชนะ…คอยญื้อเวลาให้ได้มากที่สุดโดยไม่ถอยหนี
—แต่สุดท้าย การต่อสู้ของพวกเขาก็ไม่สูญเปล่า
“Fortune favors the bold”(โชคชะตาชื่นชอบผู้ที่กล้าหาญ)
เสียงหนึ่งก้องอยู่ในโสตประสาทของทุกคนราวกับกระดิ่ง
ทันใดนั้นเอง ดาบนับพัน ไม่สิ ดาบนับหมื่นที่สร้างขึ้นจากแสงก็ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าราวกับห่าฝน
ดาบทั้งหลายขจัดปีศาจทุกตนที่ขวางทาง และปักอยู่ตรงหน้าของเหล่าทหาร
จงดึง—ราวกับว่าดาบพูดกับพวกเขาเช่นนั้น
เมื่อทหารดึงดาบออกมา บาดแผลของพวกเขาก็ถูกรักษาเป็นปลิดทิ้งอย่างกับปาฏิหาริย์ พลังในร่างกายถูกเติมเต็มจนจะเอ่อล้นออกมา
ร่างกายเบาอย่างบอกไม่ถูก ไม่ว่าอะไรก็ขวางพวกเขาไม่ได้แล้ว
เราชนะได้! จิตใจนักสู้ของเหล่าทหารกล้าถูกฟื้นฟูขึ้นมาพร้อมกับดาบในมือ ฟาดฟันมันเข้าใส่เหล่าปีศาจ
กลางท้องฟ้าเหนือหัวของพวกเขานั้นถูกปกคลุมด้วยแสงออโรร่า เด็กสาวปกคลุมด้วยแสงสีทองลอยลงมาจากสวรรค์
“โอ…ท่านผู้นั้น เธอคือ…”
“อา ไม่ต้องสงสัยเลย เธอจะต้องเป็น…”
เพียงแค่เธอปรากฏตัวก็ทำให้เหล่าทหารรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด บางนายถึงกับตกตะลึงจนลืมไปว่ายังอยู่กลางสนามรบ
ราวกับว่าสายตาเหล่านั้นไม่ทำให้เธอสูญเสียสมาธิแต่อย่างใด เธอผู้นั้นมองลงมายังวานรยักษ์ ก่อนจะพูดอย่างแผ่วเบา
“เข้าใจล่ะ…เป็นมหามารนี่เอง ชั้นก็สงสัยอยู่แล้วว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างในระหว่างที่กำลังซ่อนตัวอยู่ แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะมีจำนวนมากขนาดนี้”
“เจ้า…เข้าใจล่ะ เจ้าคือเซนต์สินะ…”
วานรยักษ์เข้าใจแล้วว่าเด็กสาวคนนี้คือเซนต์ ความหวังของมนุษยชาติ มันจึงยกกระบองขึ้น
ถ้าเซนต์ตายซะที่นี่ ชัยชนะของแม่มดก็จะอยู่แค่เอื้อม
แม้เธอจะปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝัน แต่ในทางกลับกัน นี่ก็เป็นโอกาส
วานรยักษ์ไม่มีทางพลาดโอกาสนี้ที่เธอมาด้วยตัวคนเดียวโยไม่มีคนคุ้มกัน
“เจ้าช่างโง่เขลานักที่มาที่นี่ ข้าจะฆ่าเจ้าและฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ แล้วกำลังใจของพวกมนุษย์ก็จะตกต่ำถึงขีดสุด”
“ก็ไม่เคยคิดแบบนั้นหรอกนะ แต่หัวใจของผู้คนน่ะไม่มีทางแตกสลายง่ายๆเพียงเพราะชั้นตายไปหรอก ถึงแม้ชั้นจะหายไป ความหวังของมนุษยชาติก็จะคงอยู่ อีกอย่างหนึ่ง…”
เซนต์—เอลริสรวบรวมแสงบนฝ่ามือ
จากนั้นจึงปล่อยมันออกไป
“อย่างน้อยที่สุด ชั้นจะยังไม่หายไปในตอนนี้…’Cut your coat according to your cloth’”
แสงนั้นถูกเปลี่ยนเป็นใบดาบและพุ่งไป
ปีศาจถูกกำจัดไปทีละตัวสองตัว จำนวนของพวกมันลดลงอย่างรวดเร็ว
วานรยักษ์เริ่มกระวนกระวาย มันเริ่มสั่งการกองทัพ
“ยิงเจ้านั่นซะ! เอามันลงให้ได้!”
สุนัขสามหัวพ่นลูกไฟใส่ รวมถึงพวกปีศาจที่มีความสามารถในการโจมตีระยะไกล
ลูกไฟนั้นร้อนพอที่จะทำให้เกราะบนพื้นที่มันบินผ่านละลาย ผสานด้วยการโจมตีจากปีศาจตนอื่นๆตามมาติดๆ
พวกปีศาจมีปีกก็บินพุ่งเข้าใส่เธอในเวลาเดียวกัน แต่ลูกไฟที่พุ่งเข่าใส่เอลริสเป็นลูกแรกถูกขยายใหญ่ขึ้น และทำลายการโจมตีอื่นๆที่ตามมาทั้งหมดรวมถึงผู้โจมตี
เป็นบาเรียสะท้อนการโจมตีที่ถูกใช้ที่สถาบันเมื่อก่อนหน้านี้
เอลริสนำนิ้วชี้มาไว้ที่ริมฝีปาก
“Out of the mouth comes evil”(แปลว่า ปากพาจน)
เวทมนตร์ถูกใช้งานในขณะที่เหล่าปีศาจเตรียมพร้อมรับการโจมตีนั้น
…แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เวทมนตร์ผิดพลาดงั้นเหรอ? ปีศาจตนหนึ่งหัวเราะเยาะให้กับความคิดนั้น
—ทันใดนั้น อัสนีบาตตกลงมาจากฟากฟ้า ผ่าลงกลางหัวของปีศาจตนนั้นอย่างแม่นยำ
“กิ!? –ก๊าาาา!”
ปีศาจอีกตนที่ตกใจกับสิ่งนั้นส่งเสียงร้องออกมา แล้วก็ถูกฟ้าผ่าเช่นเดียวกัน
เหล่าปีศาจเริ่มกระวนกระวายและส่งเสียงร้องออกมาทีละตัวสองตัว สายฟ้าก็ผ่าลงมาทำลายพวกมันอีกท่ามกลางความงงงวยนั้น
“นะ นั่นมัน…? เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
ทหารฝ่ายมนุษย์ก็สับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นและพูดออกมา แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา
ดูเหมือนว่าเวทมนตร์นี้จะไม่ส่งผลกับพวกเดียวกัน
ปีศาจที่ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นก็ส่งเสียงร้องออกมาทำให้โดนฟ้าผ่า ปีศาจทุกตัวที่เปิดปากออกล้มตายลงเป็นใบไม้ร่วง
คำตอบที่ถูกต้องก็คือ”เสียง” ศัตรูตนใดที่ส่งเสียงออกมาจะถูกโจมตีด้วยสายฟ้าฟาด
ฟ้าผ่าลงมา ทำให้ปีศาจที่อยู่ใกล้ๆกรีดร้อง และเจ้าตัวที่กรีดร้องก็ถูกฟ้าผ่าต่อ
วังวนที่โหดร้ายนี้เป็นไปอย่างไม่ยอมหยุด เปลี่ยนปีศาจทั้งหลายเป็นศพดำไหม้เกรียม
ไม่ใช่แค่นั้น ตัวเอลริสเองยังถือดาบที่สร้างจากแสงลงมาสู้ด้วยตัวเอง
ปีศาจในบริเวณใกล้เคียงถูกตัดออกเป็นท่อนๆ ถึงแม้ตัวดาบจะยื่นไม่ถึงพวกมันด้วยซ้ำ
ศพแรกผ่านไป ศพสองศพสามค่อยๆผ่านไป ด้วยความเร็วของเอลริสและวิชาดาบ ในตอนนี้เหลือเพียงวานรยักษ์ที่ยังยืนอยู่ได้
“…….”
เพราะไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้ จึงทำได้เพียงมองเอลริสด้วยสายตาที่เกลียดชัง
ถ้ามันส่งเสียงล่ะก็จะถูกฟ้าผ่าแน่
ที่ยังมีชีวิตรอดมาได้ก็เพราะมีแค่มันที่เข้าใจถึงเรื่องนั้น
แต่ถึงรู้อย่างนั้น มันก็ทำอะไรไม่ได้ จะสั่งการก็ไม่ได้
“อย่าส่งเสียง ถ้าส่งเสียงล่ะก็จะถูกฟ้าผ่า” ถึงจะอยากบอกแบบนั้น แต่มันนี่แหละที่จะถูกฟ้าผ่าตั้งแต่ที่คำแรกหลุดออกจากปาก
เป็นวิธีที่น่าสะพรึงกลัวในการปิดปากผู้บังคับบัญชา
ไม่ว่าจะเป็นผู้บัญชาการที่เก่งมาจากไหน หรือเป็นนักวางแผนที่เก่งกาจอย่างไร ก็คงทำอะไรไม่ได้หากถูกฆ่าโดยทันทีที่เปิดปาก
อาจจะสามารถสั่งการได้โดยใช้การเขียนแทน แต่ไม่มีกองทัพไหนว่างพอจะมาทำอะไรแบบนั้นหรอก
“—–!”
วานรยักษ์โจมตีเอลริสทั้งที่ยังเงียบอยู่
แต่ก่อนที่จะเข้าถึงตัวเอลริส ทหารถือดาบที่สร้างจากแสงก็เข้ามาขวางและแทงมันเข้าให้
สีหน้าอันสงบของเอลริสไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย
ตุบ
วานรยักษ์ล้มลงกับพื้น….คุกเข่าไปยังทิศทางที่เอลริสอยู่และก้มหัว
กุมมือเข้าด้วยกันทำท่าเหมือนร้องขอชีวิต
ไม่สิ นั่นแหละคือสิ่งที่มันทำอยู่
มันกำลังร้องขอชีวิตอย่างจริงจัง
เอลริสเดินเข้าหาวานรยักษ์อย่างช้าๆ
“ท่านเอลริส อย่าเข้าไปครับ!”
“ใช่ครับ! อย่างมันไม่สมควรได้รับความเมตตาจากท่านหรอก!”
“มันก็แค่พยายามลวงให้ท่านลดการป้องกันลงครับ! กรุณาถอยไปเถิด!”
ถึงแม้เหล่าทหารจะร้องเตือน เอลริสก็ยังไม่หยุดเท้า
เธอโค้งตัวเล็กน้อยพร้อมกับยื่นมือออกไป
เธอเป็นเซนต์ที่แท้จริง ทั้งภายนอกและภายใน
เธอผู้เมตตาไม่อาจทำใจทอดทิ้งผู้ที่ร้องขอความเมตตาได้ ไม่ว่าเขาคนนั้นจะทำบาปมามากแค่ไหน
แต่ก็อย่างที่คาด นั่นเป็นความผิดพลาด
ในโลกนี้มีผู้ที่จะไม่ยอมรับความเมตตานั้นไม่ว่าจะให้ไปมากเท่าใด
เหยียบย่ำความรู้สึกของผู้อื่น ไม่สนว่าจะต้องใช้วิธีใดตราบที่ได้รับชัยชนะมา
ผู้ที่โง่เขลาจนเกินเยียวยา ชั้นต่ำเสียยิ่งกว่ามูลสุนัข
มันลุกขึ้นและกระโจนเข้าใส่เซนต์ที่อุตส่าห์ยื่นมือเข้าช่วยเหลือมัน
“ท่านเซนต์!”
“เดี้ยวก่อน อย่ายิง! เดี๋ยวท่านเซนต์โดนลูกหลง!”
มือขนาดใหญ่ของวานรยักษ์คว้าร่างเล็กๆของเอลริสไว้ได้
มันพยายามที่จะบีบขยี้เธอให้แหลกคามือ
ในเวลาเดียวกับที่เสียงของการบตขยี้ดังขึ้น รอยยิ้มที่บิดเบี้ยวจากชัยชนะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมัน
แต่สีหน้านั้นกลับอยู่ได้เพียงชั่วพริบตา สีหน้าของมันกลายเป็นความเจ็บปวด ซึ่งส่งตรงมาจากแขนของมัน
สิ่งที่ถูกบดขยี้นั้นไม่ใช่เอลริส แต่เป็นนิ้วของวานรยักษ์เอง
เอลริสนั้นถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเวทย์ป้องกัน
บาเรียที่จะสะท้อนการโจมตีกลับด้วยความรุนแรงถึงสามเท่า
วานรยักษ์บดขยี้นิ้วของตัวเองแทนที่เอลริส
ด้วยความเจ็บปวดนั้นมันจึงจำต้องปล่อยตัวเอลริสลง และหันมาพูดกับเธอด้วยความเคียดแค้น
“เจ้า…ทำเป็นว่า…โดนหลอก…”
ใบหน้าของเอลริสนั้นยากที่จะอ่าน…หากไม่สังเกตให้ดีๆ ก็จะไม่รู้เลยว่าเธอนั้นยิ้มอยู่บางๆ ก่อนที่จะหันหลังกลับไป
รอยยิ้มนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน?
เป็นการเยาะเย้ยวานรยักษ์ที่พยายามจะหลอกลวงเธอ แต่กลับโดนหลอกเสียเองอย่างนั้นหรือ?
ไม่ ผิดแล้ว เธอคงพยายามที่จะเชื่อใจมัน และนั่นทำให้เธอเศร้าใจ
นั่นคงเป็นการเยาะเย้ยตัวเองที่ยอมเชื่อใจ ทั้งที่รู้ว่าอย่างไรก็จะถูกหักหลัง…
ไม่ว่าจะอย่างไร สีหน้านั้นเพียงบ่งบอกได้ว่าเธอนั้นมีจิตใจดีงามแค่ไหน
ที่เบื้องหลังของเอลริส สายฟ้าฟาดเข้าใส่วานรยักษ์— และแล้วสงครามปกป้องราชอาณาจักรรูตินก็ปิดม่านลง