สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค - ตอนที่ 39 ความลังเลของเหล่าอัศวิน
ตั้งแต่ที่เอลริสถูกกักบริเวณก็ผ่านมาแล้วหนึ่งสัปดาห์
องครักษ์ เร็กซ์ ผู้ทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าประตูได้แต่คิด
นี่พวกเราทำเรื่องที่ถูกต้องอยู่จริงๆหรือ? …นี่เป็นสิ่งที่กัดกินอยู่ในจิตใจของเขาอยู่ทุกๆวันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น
อัศวินทุกคนที่เข้าร่วมในเหตุการณ์จับกุมเซนต์ล้วนถูกกลืนกินด้วยความเกลียดชังตนเองทั้งสิ้น
พวกเขาคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ถูกต้อง พวกเขาเห็นด้วยกับแผนของราชาไอส์
เซนต์ที่ปราบแม่มดจะต้องตาย…ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ความจริงทั้งหมด แต่มองจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ก็สามารถมองออกได้ว่านั่นเป็นความจริง
เพราะเช่นนั้นพวกเขาจึงให้ความร่วมมือ…เพราะเช่นนั้นพวกเขาจึงทรยศเซนต์
ต่อให้ต้องแลกด้วยชื่อเสียงเกียรติยศของตน ขอแค่เซนต์ไม่ต้องตายก็เพียงพอ…พวกเขาพยายามที่จะหบอกตัวเองด้วยคำพูดเช่นนี้
อีกใจหนึ่งก็รู้ดี ว่านั่นเป็นเพียงความคิดทีามีไว้เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นเท่านั้น…เป็นเพียงข้อแก้ตัว สุดท้ายพวกเขาก็เลือกตัวเองเหนือกว่าเซนต์
ไม่อยากให้เธอตาย ถึงแม้พวกเขาจะต้องกลายเป็นคนทรยศก็ตาม…เป็นข้ออ้างที่สวยงามไว้ใช้กล่อมตัวเอง
เร็กซ์ไม่สามารถหยุดคิดเรื่องนี้ได้เลย
ตั้งแต่ที่เธอถูกขัง เอลริสไม่เคยกล่าวโทษพวกเร็กซ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่นั่นกลับทำให้พวกเขายิ่งเจ็บปวด
ถ้าเธอโกรธพวกเขายังจะดีกว่า อย่างน้อยก็เตรียมตัวเตรียมใจกับท่าทีแบบนั้นไว้แล้ว
แต่พวกเขามิได้เตรียมใจที่จะพบกับ การยอมรับอย่างสงบ
เพียงแค่มองสีหน้าเศร้าสร้อยของเอลริสที่มองออกไปยังด้านนอก ก็ยิ่งทำให้จิตใจของเขาปวดร้าว
บางครั้งพวกเขาก็จะเห็นเธอสวดภาวนาแก่บางสิ่งบางอย่าง
ต้องเป็นการภาวนาเพื่อความสุขของผู้คนแน่ๆ
เพราะเธอไม่สามารถออกไปช่วยพวกเขาได้ด้วยตัวเอง อย่างน้อยที่สุดเธอก็ยังภาวนาให้แก่คนเหล่านั้น
การกระทำเช่นนั้นของเธอ ยิ่งทำให้เร็กซ์และองครักษ์คนอื่นๆตระหนักในบาปของตน
“เร็กซ์ วันนี้มีใครที่ต้องทุกข์ทรมาณจากแม่มดและปีศาจบ้างหรือเปล่าจ๊ะ?”
“…ไม่มีเลยขอรับ แม่มดยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวและไม่แสดงตัวออกมา…ปีศาจเองก็เช่นกัน เหล่าทหารทำงานอย่างหนักเพื่อลดตระเวนและปกป้องบ้านเมือง จึงไม่มีรายงานความเสียหายใดๆถูกส่งมาขอรับ”
“ดีแล้วจ้ะ”
การที่เธอถามคำถามเช่นนี้จากหลังประตูที่ถูกปิดนั้น ก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นแล้วว่าเธอคิดถึงผู้คนมากแค่ไหน
เธอรักผู้คนมากกว่าที่จะรักตัวเองมาตลอด
เธอเป็นเซนต์ของแท้เลย
เอามาเทียบกับตัวเขาแล้ว มีแต่จะทำให้อยากร้องไห้
ทรยศนายของตน ยัดเยียดความสงบสุขที่ไม่ต้องการให้ และจับเธอมาคุมขัง…ไม่มีอะไรที่ทำให้เขาเหมาะจะเป็นอัศวินแม้แต่อย่างเดียว…
“มีสารส่งมา! มีผู้บุกรุกในปราสาท!”
ข้อความนี้ถูกส่งมาถึงชั้นที่เร็กซ์ประจำการอยู่
ดูเหมือนว่าจะมีผู้บุกรุกเข้ามาในปราสาทเซนต์แห่งนี้
เขาอาจจะทรยศเธอ แต่หน้าที่ในการปกป้องเซนต์ที่เขามีก็ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลง
สีหน้าของเร็กซ์และองครักษ์คนอื่นเปบี่ยนเป็นเคร่งเครียด
“ผู้บุกรุกคือนักเรียนจากสถานฝึกฝนอัศวินเวทมนตร์! คาดว่าพวกเขามีเป้าหมายที่จะมาเพื่อช่วยเหลือเซนต์ไปจากที่นี่ อีกฝ่ายร้ายกาจพอสมควร จึงยังไม่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ทางนี้ได้ครับ!”
“เข้าใจแล้ว ข้าจะไปเอง”
เร็กซ์ตอบข้อความนั้นและคิด
พวกเขานั้นซื่อเกินไป…ซื่อเกินไปจริงๆ แต่ก็มีความกล้าที่จะลุกขึ้นสู้
อย่างน้อยที่สุด นักเรียนพวกนั้นก็สมกับเป็นอัศวินมากกว่าตัวข้า
เร็กซ์ทำได้เพียงถอนหายใจกับความคิดเช่นนั้น
.
เวอร์เนบกับเอเทอร์น่าโดนเจอตัวแทบจะทันที
ตั้งแต่แรกแล้วพวกเขาไม่ได้รู้วิชาการลอบเร้นหลบซ่อนอะไรเลย ยิ่งนี่เป็นปราสาทเซนต์ที่มีการป้องกันแน่นหนาระดับที่มือสังหารระดับพระกาฬยังยากจะเข้าถึงอีก
ในขณะนี้เชื้อพระวงศ์ของราชอาณาจักรบิลเบอรี่ก็อาศัยอยู่ที่นี่เพื่อจับตาดูการเคลื่อนไหวของเซนต์ด้วย
นอกจากทหารและอัศวินจำนวนมากแล้วยังมีองครักษ์อยู่อีกสิบคน พวกเขาไม่ได้มีหน้าที่เพียงปกป้องเซนต์และราชาเท่านั้น ยังต้องคอยจับตาดูไม่ให้เซนต์หลบหนีไปด้วย
ต่อให้เวอร์เนลและเอเทอร์น่าจะมีพรสวรรค์สูงส่งแค่ไหน พวกเขาก็ยังเป็นเพียงนักเรียน ไม่มีทางจะหลบหลีกสายตาจำนวนมากขนาดนั้นได้อยู่แล้ว
ทั้งสองวิ่งวุ่นทั่วปราสาทเซนต์เพื่อหลบหนีเหล่าทหารยาม
“อ๊า แย่ที่สุดเลย! เจ้าบ้าเอ๊ย! ทำไมถึงบุกเข้ามาแบบไม่มีแผนเลยล่ะ!”
คำตำหนิของเอเทอร์น่าดังก้องไปทั่วโถงทางเดิน ก็สมควรแล้วล่ะนะ
เวอร์เนลพุ่งตรงมายังปราสาทเซนต์ด้วยความมั่นใจในทันที เธอก็นึกว่าเขาต้องมีแผนอะไรแน่ ใครจะคิดว่าเขาจะเดินเข้ามาดุ่ยๆเลย
พอมาถึงปุ๊บ เขาก็ใช้เกรทซอร์ดที่ได้มาจากเอลริสโจมตีเข้าใส่ทหารที่ลาดตระเวนอยู่ในทันใด
นี่ใช้กล้ามคิดสินะ ก็เอาแต่ฝึกกล้ามเนื้อ ดีไม่ดีตอนนี้กล้ามคงขึ้นสมองไปแล้ว
เอเทอร์น่าเริ่มจะคิดแบบนี้จริงๆแล้วนะ
แน่นอนว่าไม่มีทางไปได้สวย ไม่นานนักทั้งสองก็ถูกพวกทหารล้อมไว้
“ไม่ดีล่ะ…!”
เวอร์เนลกวาดตาพยายามหาช่องว่างเพื่อฝ่าออกไป
ภารกิจของเขาคือการช่วยเหลือเอลริส
ไม่ใช่การสู้กับทหาร จะไม่มีการฆ่าฟันเกิดขึ้นเด็ดขาด
แต่อีกฝ่ายคือทหารจำนวนมาก ถึงจะอ่อนแอกว่าอัศวิน พวกเขาแต่ละคนก็เป็นทหารที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดี ไม่ใช่แค่ปลาซิวปลาสร้อยที่จะปัดทิ้งเมื่อไรก็ได้
จะสลัดให้หลุดนี่ไม่ง่ายเลย
แต่จู่ๆเวทย์ไฟและน้ำแข็งก็พุ่งออกมาจากอีกทาง เป่าพวกทหารกระเด็นไป
การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในทันควันทำให้เครื่องป้องกันของพวกทหารแตกออก ทุกคนจับจ้องไปยังต้นตอของการโจมตีนั้น
“เราจะรับมือทางนี้เอง! รีบไปเร็ว!”
“ขอโทษนะ…ที่มาสาย…”
ที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือคู่ดูโอ้ที่ตรงข้ามกัน ไอน่าและแมรี่
ทั้งสองคนกังวลที่จะต้องต่อสู้กับประเทศต่างๆ การที่เจอพวกเธอที่นี่จึงเป็นเรื่องน่าตกใจ
“พวกเธอ…ทำไม!?”
“แน่นอน ชั้นมาเพื่อตอบแทนบุญคุณท่านเซนต์ที่ช่วยชั้นไว้ไงล่ะ ชั้นก็คิดแล้วคิดอีกน่ะนะ…แต่ว่าแล้ว เรื่องยากๆพวกนั้นค่อยไปคิดทีหลัง ตอนนี้ที่ท่านเซนต์ต้องการความช่วยเหลือ ชั้นก็ต้องให้ความสำคัญกับการตอบแทนบุญคุณก่อน! เรื่องอื่นเอาไว้ก่อน!”
“ชั้นก็ด้วย… ตอนนี้ ชั้นแค่คิดถึงเรื่องที่จะช่วยเพื่อนของชั้นก็พอแล้ว…”
คำตอบที่ไอน่าและแมรี่ได้มาก็คือ แค่ทำสิ่งที่คิดว่าถูกต้องใน”ตอนนี้”ก็พอแล้ว ผลที่ตามมาค่อยไปคิดทีหลัง
เพราะว่าผู้มีพระคุณต้องการความช่วยเหลือ จึงต้องมาช่วยเธอ
ไร้เดียงสาและไร้ความคิด…จะว่าเป็นการตัดสินใจแบบสมองโล่งเลยก็ได้
แต่ถ้าเอาแต่คิดถึงผลที่ตามมา พวกเธอก็จะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ และทำให้ไม่สามารถทำสิ่งที่สำคัญได้ทันเวลา
เพราะฉะนั้น “ก้าวแรก”ของพวกเธอจึงเป็นการทำสิ่งที่ตนคิดว่าถูกต้องไปก่อน
“ไปซะ!”
ไอน่าใช้เวทย์ไฟสร้างเป็นทางกั้นให้พวกเวอร์เนล
เวอร์เนลและเอเทอร์น่าใช้โอกาสนี้เพื่อไปต่อทันที
ทางกั้นที่สร้างจากไฟกบายเป็นกำแพงไม่ให้พวกทหารสามารถตามมาได้
แม้ไอน่าและแมรี่จะทำให้พวกเขาไปต่อได้ แต่ก็ต้องมาหยุดอยู่ที่บันได
คนที่อยู่ตรงหน้านั้นอยู่คนละระดับกับพวกทหารอย่างเห็นได้ชัด
“เหล่าหนุ่มสาวที่มีอนาคต…ถ้าถอยไปซะตอนนี้ ข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นให้”
ชายผู้อยู่หน้าบันไดพูดเช่นนั้นและชักดาบออกมา
ท่วงท่าของเขาไม่มีช่องว่างเลย เวอร์เนลคิดว่าเขาน่าจะเป็นอัศวิน
ไม่ เขายังนับว่าเหนือกว่าหากเทียบกับพวกอัศวินธรรมดา…ใช่แล้ว เหมือนกับเลย์ล่า
“องครักษ์ สินะครับ?”
กระทั่งในหมู่อัศวิน มีเพียงหัวกะทิในหมู่หัวกะทิที่ได้รับอณุญาติให้อยู่เคียงข้างเซนต์ได้
เทียบกับนักเรียนปีหนึ่งอย่างเวอร์เนลแล้ว…อีกฝ่ายเป็นตัวตนที่อยู่เหนือล้ำอย่างทาบไม่ติด
ถึงอย่างนั้น เขาก็ถอยไม่ได้
ถ้าเขาถอย ก็เท่ากับว่าเขาจะไม่อาจเป็นอัศวินในแบบที่เขาใฝ่ฝันที่จะเป็นได้
ทั้งสองฝ่ายชักดาบออกมาแล้ว ก่อนที่ทั้งคู่จะเข้าปะทะกัน — ลูกธนูดอกหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่องครักษ์
เขาสามารถปัดมันทิ้งไปได้อย่างง่ายดาย และมองไปยังคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเวอร์เนล
ผู้ที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือเพื่อนของเวอร์เนลจากสถาบัน จอห์นและฟิโอร่า
พวกเขาเดินมาอยู่ข้างเวอร์เนลพร้อมอาวุธที่ยกเตรียมพร้อม
“จอห์น ฟิโอร่า…พวกนายก็ด้วยเหรอ”
“ไปก่อนเลยเวอร์เนล พวกเราจะรับมือตรงนี้เอง”
จอห์นบอกเวอร์เนลที่ยังคงงงงวยอยู่ให้รีบไปซะ ก่อนจะยืนประจันหน้ากับอัศวินตรงหน้า
หน้าที่ของพวกเขาคือการเบิกทางให้เวอร์เนลไปหาเอลริสให้สำเร็จ
จอห์นยิ้มอย่างกล้าหาญให้กับเพื่อนของเขาที่ดูจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์
“ชั้นเองก็ลังเลนะ เรื่องที่จะต้องเป็นศัตรูกับหลากหลายประเทศ ทำเอาชั้นตัวแข็งไปเลยล่ะ ชั้นผิดหวังในตัวเองจริงๆ…แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าเป็นท่านเอลริสล่ะก็ เธอจะไม่ลังเลเลย เธอจะไปในที่ที่มีคนต้องการความช่วยเหลือเสมอ ไม่ว่าจะต้องเสี่ยงอันตรายแค่ไหนก็ตาม”
จอห์นยังจำช่วงเวลาที่เขาถูกเธอช่วยเหลือไว้ได้
ในตอนนั้น เอลริสต้องสู้กับกองทัพปีศาจมากมายเพื่อปกป้องผู้คน
เธอไม่คำนึงว่าอีกฝ่ายจะตัวใหญ่แค่ไหน แข็งแกร่งเพียงใด…หรือมีจำนวนมากขนาดไหน…สิ่งที่เธอสนใจมีเพียงอย่างเดียว เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
จอห์นเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกเธอปกป้องไว้
แต่เมื่อเวลาที่ต้องตบแทนบุญคุณมาถึง เขากลับก้าวขาไม่ออกเพียงเพราะว่าศัตรูนั้นมีอำนาจมากเกินไป
เขารู้สึกสมเพชตนเอง
“ชั้นก็ด้วย…เอาแต่คิดว่าการช่วยเหลือเธอเป็นเรื่องที่ถูกต้องจริงๆรึเปล่า เอาแต่คิดเรื่องโง่ๆอย่าง ‘ถ้าเธอถูกขังอยู่ที่นี่จะดีต่อโลกและตัวเธอเองมากกว่า” งี่เง่าทั้งนั้น ตอนที่ท่านผู้นั้นช่วยชั้นไว้ เธอไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย เธอแค่ชั้นเพราะว่าชั้นต้องการความช่วยเหลือ แต่พอมาถึงตาที่ท่านเอลรอสต้องการความช่วยเหลือบ้าง ชั้นกลับขยับไม่ได้ซะนี่”
ตอนที่เอลริสช่วยฟิโอร่าไว้ เธอบอกว่าเธอจะพยายามช่วยทุกคนตราบที่มือเธอเอื้อมถึง
ไม่คิดถึงเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น ไม่คิดถึงผลประโยชน์ที่เธอจะได้รับ ไม่มีอะไรแบบนั้นเลย
ฟิโอร่าสาบานกับตัวเองไว้แล้วไม่ใช่หรือ?
ว่าเธอจะไม่ลังเลอีกแล้ว ว่าจะอุทิศชีวิตของเธอให้แก่เซนต์
เพราะแบบนั้นเธอจึงมาช่วยเวอร์เนล ผู้ที่ไม่ลังเลที่จะก้าวออกมาเป็นคนแรกเพื่อช่วยเหลือเซนต์
ฟิโอร่าและจอห์นตะโกนดังลั่น
“–ไป!”
จอห์นพุ่งไปด้านหน้าและใช้ดาบฟันเข้าใส่องครักษ์
ฟิโอร่ายิงธนูใส่ต่อเนื่อง แม้อัศวินพยายามจะกันเอาไว้ ก็ถูกจอห์นเตะเข้าที่ท้อง ทำให้เขาต้องถอยออกไป
ตอนนี้ไม่มีอุปสรรคขวางบันไดอยู่แล้ว เวอร์เนลรีบวิ่งขึ้นไปพร้อมกับเอเทอร์น่าที่ตามเขาไปติดๆ
จอห์นหัวเราะมห้กับแผ่นหลังของทั้งสองคนที่ไปต่อ และกลับมาตั้งสมาธิกับการต่อสู้ด้านหน้าดังเดิม
“ข้ารู้จักเจ้า จอห์น…สินะ? ถ้าจำไม่ผิด…เจ้าเป็นทหารที่ลาออกจากกรมเพื่อไปเข้าสถาบันเวทมนตร์”
“เ–ห เป็นเกียรติอย่างมากที่องครักษ์อย่างท่านเร็กซ์อุตส่าห์จำทหารชั้นต่ำอย่างผมได้ด้วย”
“จำได้สิ ข้าจำนักรบทุกคนที่มีแววว่าจะได้มาสู้เคียงข้างพวกเราวันใดวันหนึ่งได้”
ทั้งคู่ผละออกจากกันก่อนจะเข้าฟาดฟันกันอีกครั้ง
ดาบที่กระทบกันก่อให้เกิดประกายไป ทั้งสองคนสบตากัน
“ข้ามั่นใจว่าสักวันเจ้าจะต้องมาถึงระดับของพวกเราได้แน่ๆ น่าผิดหวัง…ที่มันต้องจบแบบนี้”
“อ๋อเหรอ? ผมผิดหวังในตัวคุณมากกว่าอีก แค่มองหน้าดูก็รู้แล้วว่าคุณยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองสู้ไปเพื่ออะไรกันแน่”
“…หึ แทงใจดำจังเลยนะ”
จอห์นและอัศวินคนนั้น–ประดาบกันหลายกระบวนท่า พยายามจะหาช่องว่างของอีกฝ่าย
แทนที่จะเรียกว่าสู้กัน เรียกว่าสนทนากันผ่านดาบจะเหมาะกว่า
ชายสองคนใช้การประดาบในการสื่อสารควาทคิดของกันและกัน…ฟิโอร่าที่เฝ้ามองอยู่ทำได้เพียงคิดเช่นนั้น
เสียงกระทบของดาบดังไปทั่ว แต่เวอร์เนลและเอเทอร์น่าก็ยังต้องวิ่งขึ้นบันไดไปต่อ
ห้องของเอลริสอยู่ที่ชั้นสูงสุด…ชั้นที่ห้า
แต่เมื่อไปถึง พวกเขาก็ต้องพบกับคนที่ไม่อยากจะพบมากที่สุด
สูง 167 เซนติเมตร นับว่าสูงกว่าส่วนสูงโดยเฉลี่ย 165 เซนติเมตรของผู้ชายในโลกนี้เสียอีก
ผมสีดำเงางามมัดเป็นทรงหางม้า ยืนอยู่ในท่วงท่าที่ไม่เปิดช่องว่างให้ผ่านไปได้เลย
ชุดเกราะสีเงินขาวเป็นเครื่องบ่งบอกถึงสถานะองครักษ์ และดาบที่เอวเป็นสัญลักษณ์ขององครักษ์ประจำตัวเซนต์
ทั้งที่เป็นผู้หญิง แต่เธอก็สามารถเอาชนะองครักษ์ส่วนตัวคนก่อนอย่างฟ็อกซ์มาได้ และกลายเป็นอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดด้วยอายุเพียงยี่สิบปี เธอเป็นผู้เดียวที่เซนต์ให้ความเชื่อใจมากที่สุด ผู้ครองตำแหน่งอัศวินที่สูงส่งที่สุด
ในดวงตาของเธอที่ตามปกติจะไม่เคยสั่นไหวนั้น กลับเป็นสายตาอ่อนแอที่คล้ายคลึงกับลูกสุนัขที่กลัวถูกเจ้านายตำหนิ
“เลย์ล่าซัง…”
เวอร์เนลอุทานชื่อของอัศวินทรยศผู้น่าสงสารคนนี้