สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค - ตอนที่ 40 ความคิดที่ขัดแย้ง
เมื่อเห็นเลย์ล่าที่ยืนอยู่ต่อหน้า เวอร์เนลก็เสียบดาบกลับเข้าไปในฝัก
เขาทำเหมือนว่าเธอไม่มีค่าพอให้สู้ด้วย นี่ทำให้เลย์ล่าไม่พอใจ แต่เวอร์เนลก็ทำท่าเพียงแค่ต้องการจะผ่านเธอไป
“เลย์ล่าซัง ให้พวกเราผ่านไปด้วยครับ”
“ดูเหมือนว่าข้ากำลังโดนดูถูกอยู่สินะ เจ้าคิดจริงๆหรือว่าข้าอ่อนแอขนาดจะให้เจ้าผ่านไปได้เพียงเพราะคำพูดน่ะ”
ไม่ต้องบอกเลยว่าเลย์ล่านั้นห่างไกลจากคำว่าอ่อนแอ
เธอไม่มีโอกาสให้แสดงฝีมือมากนักเพราะเธอต้องตามติดเซนต์เอลริสอยู่ตลอด แต่ผู้หญิงที่สามารถกลายเป็นองครักษ์ส่วนตัวได้ด้วยอายุเพียงยี่สิบปีนั้นก็เป็นเครื่องบ่งบอกแล้วว่าเธอนั้นสุดยอดแค่ไหน
จริงๆอยู่ที่เธอไม่สามารถกวาดล้างปีศาจทั้งกองทัพได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวหรืองอกแขนขาที่ขาดไปของเหล่าทหารแบบที่เอลริสทำได้
แต่หากพูดถึงความสามารถในการต่อสู้ ถ้าไม่นับเรื่องพลังของเซนต์ที่ทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็เรียกว่าเธอนั้นทัดเทียมกับเซนตฺคนที่แล้วอย่างอเล็กเซียได้เลย
คนอย่างนี้น่ะไม่มีทางถูกเรียกว่าอ่อนแอได้อยู่แล้ว ต้องบอกว่าแข็งแกร่งเกินไปด้วยซ้ำ
แต่เวอร์เนลไม่แม้แต่จะตั้งท่าสู้ เขาเพียงต้องการที่จะเดินผ่านไป
“คุณอาจจะไม่อ่อนแอ แต่คุณในตอนนี้น่ะเทียบกับคุณตอนปกติไม่ได้เลย”
“…อึก!”
เลย์ล่าชักดาบออกมาและนำไปจ่อที่คอของเวอร์เนล
เป็นความเร็วในระดับที่เอเทอร์น่าที่ยืนอยู่ใกล้ๆไม่สามารถมองตามได้ทัน
แต่เวอร์เนลไม่แม้แต่จะชะงักไปด้วยซ้ำ เขาเพียงมองตรงมาที่เธอ
“เลบ์ล่าซังก็รู้อยู่แล้วใช่มั้ย? ว่านี่เป็นสิ่งที่คุณไม่ควรจะทำ เป็นสิ่งที่ไม่ว่าอัศวินคนไหนก็ไม่ควรจะทำน่ะ… ไม่ต้องให้ผมพูด คุณก็คงรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว”
“หุบปาก!”
“ถึงผมจะไม่พูด แต่หัวใจของเลย์ล่าซังก็จะบอกทุกอย่างเอง…ใช่มั้ยล่ะ?”
ดาบของเลย์ล่าสั่นไหว
อย่างที่เวอร์เนลพูด เลย์ล่าเองก็รู้อยู่แก่ใจถึงความผิดของตัวเองดีอยู่แล้ว
ถ้าเอลริสต้องการ เธอจะหนีจากปราสาทนี้ไปตอนไหนก็ได้
แล้วทำไมเธอถึงไม่ทำล่ะ?
เพราะว่าเธอชอบสภาพความเป็นอยู่ในตอนนี้มากจนไม่อยากจะหนีเหรอ?…แน่นอนว่าไม่ใช่
ไม่มีทางเลยที่นายหญิงของเธอผู้เปรียบดั่งศูนย์รวมของความดีงามทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นแบบนั้น เลย์ล่ามั่นใจเป็นที่สุด ต่อให้โลกจะแตกเรื่องนั้นก็เป็นไปไม่ได้
…เป็นเพราะตัวเลย์ล่าเอง
เพราะเธอคิดว่าเลย์ล่าถูกจับเป็นตัวประกัน จึงยอมที่จะถูกจับแต่โดยดี
เลย์ล่ารู้ดีว่าเอลริสให้ความสำคัญกับตัวเธอมากแค่ไหน การที่ใช้ความรู้สึกนั้นเป็นเครื่องมือเพื่อจับกุมเอลรอสไว้ เลย์ล่ามองว่านั่นเป็นบาปที่อภัยให้ไม่ได้
“ข้ารู้…ข้ารู้ดีน่า…แต่ว่า ไม่ว่าจะทำอย่างไร…ข้าก็สลัดความคิดนี้ออกจากหัวไม่ได้!”
เลย์ล่านึกย้อนกลับไปตอนที่เธอคุยกับเอลริส
เอลริสบอกเธอ
ว่าโชคชะตานั้นเปลี่ยนได้
ว่าวังวนที่โหดร้ายนี้จะต้องหยุดลงที่ยุคสมัยนี้
ว่ามีทางเลือกอื่นที่เซนต์จะไม่กลายเป็นแม่มดหรือเสียชีวิตลง
ว่าจะต้องมีแฮปปี้เอนดิ้งที่ทุกคนจะมีความสุขอยู่แน่…
เพราะอย่างนั้นเลย์ล่าก็ควรที่จะเชื่อเธอและตามเธอไป เธอกล่าวเช่นนั้น
ในตอนนั้นเลย์ล่ามีความสุขอย่างมาก
เธอดีใจที่นายหญิงของเธอจะไม่ต้องตกตายหรือกลายเป็นแม่มด และวังวนอุบาทว์ที่อยู่มาเป็นเวลานานจะได้จบลง
–แต่เธอจะสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้อย่างไรล่ะ?
เอลริสไม่ได้บอกเรื่องที่สำคัญที่สุดนี้ให้แก่เธอ
ในตอนนั้นเอง ความลังเลในใจของเลย์ล่าก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาด้วยฝีปากของจอมวางแผนผู้หนึ่ง
“แหม แหม…ข้ามาที่นี่เพราะความอยากรู้อยากเห็น แต่ก็ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะลังเลถึงเพียงนี้ ก็เคยบอกไปแล้วใช่ไหม ว่าไม่มีวิธีดีๆอย่างที่ท่านเอลริสบอกเจ้าอยู่จริงหรอก”
ผู้ที่เข้ามาในฉากคนต่อไปคือชายชราผมสีขาว
แม้จะดูราวกับว่าอายุเกินเจ็ดสิบปีไปแล้ว แต่ร่างกายนั้นยังเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ หลังของเขาตรงเป็นไม้ ยิ่งยืนตรงยิ่งดูสูง
ส่วนสูงของเขานั้นมากกว่า 170 เซนติเมตร
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยบ่งบอกถึงประสบการณ์ที่คนหนุ่มสาวไม่มี แต่ดวงตานั้นกลับเฉียบคมไม่ต่างจากเหยี่ยวนักล่า
เขาคือราชาของราชอาณาจักรบิลเบอรี่ ไอส์ อันด์ อาย บิลเบอรี่ ที่ 13
เขาสวมผ้าคลุมสีน้ำเงินเป็นเครื่องบ่งบอกฐานะกษัตริย์ของอาณาจักร ดวงตาสีฟ้าคล้ายผลบลูเบอรี่มองไปยังเลย์ล่าอย่างเย็นชา
“ข้าเคยผ่านยุคสมัยของเซนต์มาแล้วสี่คน รวมถึงยุคของท่านเอลริสด้วย ข้าจึงสามารถพูดได้อย่างมั่นใจ ว่าวิธีแบบนั้นไม่มีอยู่หรอก บางทีเธออาจคิดจะปลิดชีวิตตัวเองหลังจากปราบแม่มดแล้ว แต่ถ้าเรื่องมันง่ายแบบนั้น วังวนนี้คงไม่อยู่มาจนถึงทุกวันนี้หรอก…และถึงจะทำสำเร็จ ท่านเอลริสก็ยังต้องตายอยู่ดี เจ้าพอใจกับเรื่องแบบนั้นหรือ?”
“ฝ่า…บาท”
“ข้าเอาหัวเป็นประกันเลย ว่าวิธีแบบนั้นไม่มีอยู่จริง ที่บอกว่าเธอจะไม่ตายก็เป็นเพียงคำโกหกอันอ่อนโยนเพื่อให้เจ้าโล่งอกขึ้นเท่านั้น หากเจ้าต้องการที่จะปกป้องท่านเอลริสจริงๆล่ะก็…ต่อให้ต้องทรยศเธอ แต่การห้ามไม่ให้เธอไปสู้ตั้งแต่แรกจะดีที่สุด”
ชายผู้ที่พยายามพูดล่อลวงเลย์ล่าคือราชาไอส์
การที่เลย์ล่าจะเชื่อคำพูดของเขานั้นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
น้ำหนักของคำพูดมันต่างกัน เพราะว่าเขาอ้างอิงจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของเหล่าเซนต์ที่เขาได้พบเห็นด้วยตาของตัวเอง
ไม่รู้จะเรียกว่าดีหรือร้าย แต่นี่เป็นคำพูดของชายผู้รู้ถึงความจริงของโศกนาฏกรรมระหว่างเซนต์และแม่มด
เขาอาจจะเคยพยายามฆ่าเซนต์คนที่แล้ว อเล็กเซียก่อนที่เธอจะกลายเป็นแม่มด
เป็นการกระทำที่ขี้ขลาดและยากจะยกโทษ
แต่ก็เพราะเขาไม่ลังเลที่มือของตัวเองอาจต้องเปื้อนเลือดนี่ล่ะ…ที่เป็นเครื่องบ่งบอกว่าเขารู้ลึกถึงประวัติศาสตร์ดำมืดนี้มากกว่าใคร
เป็นเรื่องปกติที่เลย์ล่าจะเชื่อคำพูดของเขามากกว่าเอลริสที่ไม่มีหลักฐานใดมายืนยัน
“แต่ท่านเอลริสบอกว่าโชคชะตาเปลี่ยนแปลงได้นี่ครับ? ถ้า…”
“ก็บอกแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ ไอ้หนุ่ม นี่เจ้าเป็นคนประเภทเดียวกับเลย์ล่าคุงที่เอาแต่ฝันถึงเรื่องที่ไม่มีทางเป็นจริงหรือ?”
ถ้าท่านเอลริสพูดแบบนั้น แค่เชื่อเธอก็พอแล้วไม่ใช่หรือ?
เวอร์เนลคิดจะพูดแบบนั้น แต่ก็ถูกราชาไอส์ขัดไว้
คำพูดของเขานั้นหนักแน่นและเปี่ยมไปด้วยแรงกดดัน
“ตอนที่ข้าอายุได้สี่ปี เซนต์ในยุคสมัยนั้น ท่านกริเซลด้าปราบแม่มดและกลายเป็นแม่มดคนต่อไป ในตอนนั้นข้ายังเด็กนัก ข้าเองก็เคยคิดแบบเจ้าว่ามันจะต้องเปลี่ยนแปลงได้แน่”
ไอส์พูดถึงอดีตของตนราวกับคิดถึง
กระทั่งผู้ที่คิดจับเอลริสขังเพื่อสันติสุขของโลกก็เคยเป็นเด็กไร้เดียงสามาก่อน
เวอร์เนลสังเกตได้ถึงสีหน้าเศร้าสร้อยของไอส์ที่กำลังเล่าเรื่องอยู่
“เซนต์คนถัดไป ท่านลิเลียเกิดมาในตอนที่ข้ามีอายุได้เก้าปี ข้าเห็นเธอเป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆ หลังจากที่ข้าขึ้นครองราชย์ด้วยอายุ 19 ปี ข้าก็เล่าความจริงให้แก่เธอ หวังว่าเธอจะไม่ต้องประสบกับชะตากรรมเช่นเดียวกับเซนต์รุ่นก่อนๆ…แต่นั่นเป็นเรื่องที่โง่เขลาที่สุด ข้าไม่ได้คิดถึงผลที่ตามมาจากสิ่งที่ทำลงไป ที่ข้าทำลงไปก็เพราะความไร้เดียงสาต่อโลกและคุณธรรมในใจ ข้าคิดว่าตัวเองทำเรื่องที่ถูกต้อง ผลเป็นอย่างไรรู้ไหม? ลิเลียสู้ราวกับต้องการที่จะตาย และสุดท้ายเธอก็ถูกฆ่าด้วยเงื้อมมือของปีศาจ จริงอยู่ที่เธอก็ไม่ได้กลายเป็นแม่มด…แต่แม่มดคนเดิมก็ยังอยู่ สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีแต่จะทำให้ยุคมืดของแม่มดรุ่นนั้นยาวขึ้นไปอีก และเราก็ค้นพบหลังจากนั้นว่าแม่มดจะยังมีชีวิตต่อไป ไม่แก่ไม่ตายจนกว่าจะถูกปราบ ฉะนั้นความจริงของเรื่องนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปจากพิษต่อเซนต์”
เรื่องราวของเซนต์สองรุ่นก่อนหน้าเอลริสที่ถูกปีศาจฆ่าตาย
ราชาผู้นี้ก็พยายามจะฝ่าฝืนชะตากรรมเท่าที่ทำได้แล้ว แต่เซนต์ของรุ่นนั้น…ท่านลิเลียจิตใจไม่เข้มแข็งพอ
เธอยอมรับไม่ได้เรื่องที่ตัวเองจะต้องกลายเป็นแม่มด จึงใฝ่หาความตายในการต่อสู้กับปีศาจ
ถ้าอย่างน้อยหากแม่มดยังแก่เฒ่าไปตามกาลเวลาได้ ความตายของเธอก็คงไม่ถือว่าสูญเปล่า แต่น่าเสียดายที่แม่มดเป็นตัวตนที่ไม่แก่ไม่ตาย
เธอตายอย่างไร้ค่า
เธอไม่อาจแม้กระทั่งนำมาซึ่งความสงบสั้นๆแบบที่เซนต์รุ่นก่อนๆทำไว้
เพราะเช่นนั้น ชื่อของลิเลียจึงไม่ถูกจารึกไว้เช่นเซนต์รุ่นก่อนและหลังจากเธอ
นี่ก็เป็นครั้งแรกเลยที่เวอร์เนลได้ยินชื่อเซนต์จากสองรุ่นก่อน
“ตอนที่ข้าอายุได้ 48 ปี เซนต์อเล็กเซียก็สามารถทำภารกิจของเธอได้สำเร็จ พอข้านึกถึงว่าลิเลียสามารถถูกสังหารโดยปีศาจได้…ข้าจึงขังเธอไว้ในปราสาทท่ามกลางวงล้อมของเหล่าปีศาจ ข้ารู้ตัวดีว่าทำเรื่องที่อภัยให้ไม่ได้กับท่านอเล็กเซียและดิแอสไป แต่ก็หวังว่าวิธีนี้จะสามารถทำลายวังวนแห่งชะตากรรมได้”
“…คนแบบท่านนี่มัน…!”
เวอร์เนลไม่อาจปกปิดความรังเกียจในน้ำเสียงของเขาได้ คนคนนี้กล้าพูดอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับเรื่องโหดร้ายเช่นนั้นได้อย่างไร
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครควรจะปฏิบัติต่อหญิงสาวที่สามารถช่วยนำความสงบสุขมาสู่โลกนี้ได้
แต่สายตาดูหมิ่นของเวอร์เนลไม่ได้ทำให้ไอส์หยุดแต่อย่างใด
“เจ้าคงดูแคลนข้าสินะ นั่นก็เรื่องธรรมชาติ สิ่งที่ข้าทำไปนั้นก็เป็นเพียงการทรยศหักหลัง สุดท้ายปีศาจที่ถูกขังไว้กับเธอก็ไม่ได้ทำการโจมตี…ซ้ำยังถูกเปลี่ยนเป็นสมุนของเธอเสียอีก ข้ายังคิดเลยนะว่าตัวเองนั้นโง่เง่าแค่ไหน…เพราะการที่ปล่อยเธอหนีไปได้ เป็นการนำมาซึ่งยุคมืดของแม่มดอีกครั้งหนึ่ง เอาจริงๆในตอนนั้นข้าเองก็ยอมแพ้ไปแล้วล่ะ อา สุดท้ายแล้วก็เป็นไปไม่ได้ จะไม่มีอะไรเปลี่ยนไป โลกนี้จะไม่มีวันสงบสุข ข้าคิดเช่นนั้น”
‘นั่นไม่ใช่สิ่งที่ท่านควรจะพูด’ เวอร์เนลอยากจะตะโกน
ไอส์คิดว่าตัวเองนั้นโดนดูแคลนในเรื่องที่ปล่อยให้อเล็กเซียหนีไปได้ นำภัยพิบัติมาสู่โลกนี้
แต่สิ่งที่เวอร์เนลยอมรับไม่ได้ก็คือการที่เขาทรยศอเล็กเซียตั้งแต่แรกต่างหาก
แต่ไอส์ไม่สนถึงเรื่องนั้น เขาเพียงพูดต่อไป
“และแล้วก็มาถึงยุคสมัยปัจจุบัน…ถึงข้าจะไม่พูด พวกเจ้าก็คงรู้ดีว่าเซนต์ของยุคนี้นั้นเหนือกว่าเซนต์ของยุคก่อนๆทุกคนอย่างทาบไม่ติดเลย…ตอนเห็นเธอครั้งแรก ข้ายังคิดเลยนะว่า “เซนต์รุ่นก่อนๆนี่มีไว้ทำไมกันนะ?’ ยิ่งได้ยินความสำเร็จของเธอก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกนี้เติบโตขึ้น สมดุลของพลังระหว่างเซนต์และแม่มดถูกพังทลาย ถึงแม้เซนต์รุ่นก่อนๆจะมีพลังที่สามารถปราบแม่มดได้ แต่นั่นก็เทียบไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวพลังของท่านเอลริส นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าในรุ่นก่อนๆ เซนต์มักจะตั้งเป้าไปที่แม่มดผู้เดียว และหลีกเลี่ยงที่จะสู้กับพวกปีศาจหรือมหามาร…โลกนี้ถึงไม่เคยสงบสุขอย่างแท้จริงไงล่ะ”
ยุคสมัยอันสงบสุขนั้นเกิดขึ้นระหว่างตอนที่แม่มดถูกปราบไปจนถึงช่วงเวลาที่เซนต์ถูกเปลี่ยนเป็นแม่มด
แค่มีเซนต์อยู่ไม่ได้ทำให้โลกสงบสุขขึ้นเลย
เพราะว่าแม่มดนั้นมีลูกสมุนมากมาย ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งมีจำนวนมากขึ้น
หากพวกปีศาจยกทัพมากันหมดทีเดียว เซนต์ก็จะถูกฆ่าในทันที
เพราะแบบนั้นจึงต้องใช้กลยุทธ์เจาะเพียงจุดเดียว
ชีวิตมากมายต้องมาเสียไปเพื่อเป็นตัวเบิกทางให้ไปถึงตัวแม่มด
เพราะว่ามีแค่เซนต์เท่านั้นที่ปราบแม่มดได้
เช่นนั้นแล้ว ยุคสมัยที่ไร้ซึ่งแม่มดจึงล้ำค่าอย่างหาใดเปรียบ
แต่รุ่นของเอลริสนั้นแทบจะเรียกได้ว่ากลับตาลปัตรกับรุ่นก่อนๆ
สมดุลระหว่างแสงและความมืดถูกพลิกกลับด้าน
เซนต์ที่ควรต้องถูกปกป้องโดยอัศวินนั้นไม่จำเป็นต้องได้รับการปกป้องด้วยซ้ำ
เธอทำลายทัพปีศาจได้ด้วยตัวคนเดียว รักษาผู้ที่บาดเจ็บ นำความอุดมสมบูรณ์มาสู่ผืนดิน ชำระล้างแม่น้ำที่เน่าเสีย
เธอทำให้ป่าที่เคยถูกเผาไหม้กลับมาเขียวชอุ่ม สร้างสายฝนนำความชุ่มชื้นมาสู่ผืนดินที่แห้งแล้ง…เธอไม่ทิ้งผู้ใดไป ไม่ยอมให้ผู้ใดต้องตาย ตราบที่มือคู่นั้นสามารถเอื้อมถึง
แม่มดหวาดกลัวสัญลักษณ์แห่งความหวังนั้น โลกใบนี้ถูกย้อมไปด้วยแสงสว่าง
และยุคทองนี้ได้อยู่มาร่วมเจ็ดปีแล้ว เป็นเรื่องที่ประหลาดเกินคำบรรยาย
ตราบเท่าที่เอลริสยังอยู่ ปาฏิหารย์เหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ
“ข้าจึงคิดได้…ยุคสมัยนี้…เซนต์ผู้นี้จะต้องอยู่ต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นี่คือปาฏิหารย์แรกและท้ายสุดที่โลกนี้จะเคยมี จะไม่มีเซนต์เช่นเธออีกแล้ว…ป่าไม้ที่เธอฟื้นคืนกลับมา รู้หรือไม่ว่าต้องใช้เวลากี่ศตวรรษถึงมันจะสามารถฟื้นฟูกลับมาได้ตามธรรมชาติ? พื้นที่ที่ท่านเอลริสชิงคืนกลับมาได้ภายในสามวัน รู้หรือเปล่าว่าอัศวินและเซนต์ในรุ่นก่อนๆต้องพยายามแค่ไหนเพื่อชิงมันกลับมา? ก่อนที่สุดท้ายจะต้องล้มเลิกเพราะไม่คุ้มค่ากับชีวิตที่ต้องเสียไป? ราชอาณาจักรรูตินที่เธอช่วยเอาไว้ได้ภายในเวลาไม่กี่นาที รู้ไหมว่าจะต้องเสียทหารไปเท่าไรถึงจะทำให้ได้ผลเช่นเดียวกัน?”
เมื่อพูดเช่นนั้น ไอส์ก็หัวเราะ
เป็นการหัวเราะเย้ยหยันความพยายามที่สูญเปล่าของตัวเอง ที่สุดท้ายก็ไร้ค่าเมื่อเทียบกับปาฏิหารย์แห่งแสงที่โลกให้ถือกำเนิดขึ้น
“เข้าใจหรือเปล่า? ช่วงชีวิตของท่านเอลริสหนึ่งปีนั้นเทียบเท่ากับหลายสิบปีของเซนต์รุ่นก่อนๆ…การจะปล่อยให้เธอปราบแม่มดนั้นเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้เด็ดขาด! ไม่ว่าจะอย่างไร แค่ปีสองปีก็ยังดี! เพื่อให้เธอคงอยู่บนจุดสูงสุดต่อไปเรื่อยๆ! นี่คือหน้าที่ของคนที่ผ่านยุคสมัยก่อนๆมาแล้วต้องแบกรับ!”
ราชาคำรามโดยไร้ซึ่งความลังเล
.
“นี่ท่านพี่ จะทำแบบนี้จริงๆหรือ?”
ในช่วงที่ปราสาทกำลังยุ่งวุ่นวายกับผู้บุกรุก คนกลุ่มหนึ่งก็พยายามใช้จังหวะนี้ดำเนินแผนการบางอย่าง
คนเหล่านี้คือบุตรชายสามคนของราชาไอส์ที่ตามเขามาถึงปราสาทแห่งนี้
กษัตริย์คนอื่นๆไม่สามารถปล่อยประเทศให้ไร้ซึ่งผู้บริหารได้นาน จึงต้องกลับไปก่อน เหลือเพียงไอส์ที่ยังอยู่รอดูสถานการณ์
นั่นก็หมายความว่าทั้งสามคนนี้ก็ยังต้องอยู่ต่อเช่นกัน
ผู้ที่กล่าวเมื่อครู่คือเจ้าชายคนสุดท้อง มากะ อายุ 14 ปี
ใบหน้าของเขานั้นยังคงไว้ซึ่งความเยาว์วัย มีเสน่ห์แบบหนุ่มน้อย
“เหอะ ถ้าเจ้าไม่กล้าก็อยู่เงียบๆแล้วก็ไม่ต้องมา ผะ-ผู้หญิงแบบนั้นน่ะ หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว”
ผู้ที่หัวเราะอย่างน่ารังเกียจนี้คือ อูคอน เจ้าชายคนโต
ด้วยอายุ 19 ปี เขาใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยจนร่างกายอ้วนท้วน
ในโลกที่ผู้คนมักจะตายจากความอดอยากเช่นนี้ คนที่มีน้ำหนักมากกว่าหนึ่งร้อยกิโลกรัมอย่างเขานั้นหาได้ยากยิ่ง เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าเขานั้นกินอยู่กินดีแค่ไหน
“ฟุ…ดอกไม้ที่บริสุทธิ์ งดงาม และไร้มลทินแบบนั้นน่ะ ก่อให้เกิดความรู้สึกว่าอยากทำให้มันแปดเปื้อนเสียเหลือเกิน ในตอนนี้ยามที่คอยคุ้มกันเธออยู่นั้นมีจำนวนน้อยลงมากแล้ว แน่นอนว่านี่เป็นอาชญากรรมครั้งใหญ่…ถ้าโดนจับได้ล่ะก็ ต่อให้พวกเราเป็นเจ้าชายก็คงไม่พ้นโทษ…แต่-ถ้าเรามีโอกาสที่จะสามารถทำอะไรก็ได้กับผิวขาวๆนั่น ก็เป็นเหตุผลมากพอให้เสี่ยงชีวิตใช่มั้ยล่ะ!”
คนที่พูดเรื่องบ้าๆเช่นนี้คือองค์ชายคนรอง อามิโน่
แม้จะมีใบหน้าหล่อเหลา แต่จิตใจกลับสกปรกที่สุดในหมู่สามพี่น้อง
สิ่งที่พวกเขาต้องการที่จะทำ…ก็คือการใช้โอกาสที่เวรยามหละหลวมจากการยุ่งวุ่นวายกับผู้บุกรุกนี้เพื่อลักลอบเข้าไปยังห้องของเซนต์ และข่ม-ืนเธอซะ
แน่นอนว่าเรื่องแบบนั้นถือเป็นอาชญากรรมในหมู่อาชญากรรม ถ้าถูกจับได้ก็ถือว่าชีวิตจะหาไม่ในทันที แค่โดนจับทรมาณแล้วลากไปทั่วเมืองยังน้อยเกินไป
แต่พวกเขาได้เสียสติไปแล้ว
ความงดงามของเอลริสนั้นนำมาซึ่งการบูชาและโหยหาจากผู้ชายทุกคน
นำมาซึ่งกิเลสตัณหา
อยากจับเส้นผมที่เป็นดั่งเส้นด้ายทองคำนั้น อยากทำสิ่งที่ต้องการกับผิวพรรณขาวๆนั้น
ไม่มีผู้ชายคนใดที่ไม่คิดเช่นนี้
แต่สำหรับคนทั่วไปแล้ว กิเลสนั้นจะไม่เติบโตมากนัก
รูปลักษณ์ของเอลริสนั้นเกินจริงจนยากที่จะกลายเป็นเป้าหมายของกิเลสนั้น
ผู้ชายส่วนใหญ่จึงทำได้เพียงมองเธอ และรู้สึกขอบคุณในตัวตนของเธอ
สามารถบอกได้ว่า พวกเขาไม่ได้มองเอลริสเป็น”หญิงสาว”
เธอเป็นตัวตนที่แตกต่างจากพวกเขา…เป็นตัวตนที่สูงส่งเกินเอื้อม จึงไม่ทำให้เกิดตัณหามากจนเกินไป
แต่สำหรับเหล่าองค์ชายที่ได้พบกับสตรีมามากมายในช่วงชีวิต–แม้ผู้หญิงเหบ่านั้นจะเทียบเอลริสไม่ได้แม้แต่ปลายก้อย แต่ก็ยังนับว่าเป็นสาวงาม
พวกเขาถูกห้อมล้อมไปด้วยสาวงามที่ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล แต่งหน้าและประดับประดาด้วยเครื่องประดับที่สามัญชนไม่มี เพราะเช่นนั้น พวกเขาจึง”เคยชิน”กับความงาม
พวกเขาจึงสามารถมองเอลริสเป็นหญิงสาวได้ แถมยังเป็นสาวงามในระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อน…และจะไม่มีวันได้เจอในที่ใดอื่นอีกแล้ว เป็นคนงามในระดับที่ไม่น่าเชื่อ
เหตุผลและมโนธรรมในใจถูกทำลายด้วยความงามของเอลริส หลงเหลือไว้เพียงกิเลสตัณหา
ถึงขั้นที่กลายเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าชีวิตตน…
เพราะแบบนั้น…จึงมีเพียงคนเสียสติเช่นเดียวกันเท่านั้นที่สามารถมองความคิดขององค์ชายเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“—โฮ่ว พูดเรื่องที่น่าสนใจเช่นนี้ออกมา ขอให้กระผมร่วมวงสนทนาด้วยคนสิ”
องค์ชายทั้งสามสั่นไหวเมื่อได้ยินเสียงนั้น
เมื่อหันกลับไป พวกเขาก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ภายใต้เงามืด แว่นตาของเขาสะท้อนแสงเอาทิตย์เล็กน้อยอย่างน่าฉงน…ซัปเปิ้ล เมนต์ได้มายืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาแล้ว