สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค - ตอนที่ 42 พลิกสถานการณ์
ชั้นพังประตูออกมาเพื่อจะไปช่วยพวกเวอร์เนล แต่ก็ถูกพวกองครักษ์ที่เฝ้าประตูอยู่มาขวางไว้ ก็แหงล่ะนะ
ถึงจะเอามือวางไว้ที่ด้ามดาบ แต่ก็ไม่ชักออกมา
เป้าหมายของพวกนี้คือการให้ชั้นมีชีวิตต่อไปเป็นไอดอลของทุกคน เพราะแบบนั้นจึงไม่มีเหตุผลให้ต้องใช้ดาบ
ฮ่ะ ถ้าแน่จริงก็ชักดาบออกมาสิวะไอ้พวกสมองถั่ว ไม่กล้าอ่ะดิ?
ทำไม่ได้ใช่มั้ยล่า~? หืมม?
ไงล่ะ หงุดหงิดอ่ะดิ คับแค้นใจเลยใช่ป่าว? ฟุเฮะเฮะเฮะ
แหม กวนส้นคนอื่นได้โดยไม่ต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะสู้กลับนี่มันดีจริงๆ
“ชะ ช้าก่อนครับท่านเอลริส! พวกเราให้ท่านผ่านไปไม่ได้นะครับ! ถ้าคิดจะผ่านพวกเราไปให้ได้ ก็ต้องจัดการพวกเราไปก่อน!”
องครักษ์คนนี้ อัศวินทรยศเอ…ไม่ดิ จำได้เลาๆว่าอัศวินทรยศเอถูกส่งไปสู้กับตัวประกอบเอนี่นา
ชื่อ เซ็กซ์ มั้งถ้าจำไม่ผิด?
อุ๊บส์ ไม่ใช่ดิ ต้องเร็กซ์สิ เป็นแค่ตัวปลากรอบแท้ๆ ชื่อหรูจังนะเอ็งเนี่ย
ไปหัดเรียนรู้จากตัวประกอบเอเพื่อนเวอร์เนลบ้าง ไอ้หมอนั่นยังชื่อดาดๆว่า จอห์น เลยนะ
ถ้านี่ไม่ใช่อัศวินทรยศเอ นี่ก็คงเป็นอัศวินทรยศบี
เจ้านี่จำได้ว่าชื่อ ฟินลีย์ บลูอาย ตัวชื่อมีความหมายว่า วีรชนผมบลอนด์ แท้ๆ ทำไมแกถึงผมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำล่ะ?
ก็นะ ผมบลอนด์ส่วนใหญ่ก็มักจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มไปตามเวลา นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เมื่อก่อนเจ้านี่อาจจะมีผมบลอนด์สีทองสลวยแบบชั้นก็ได้ ใครจะรู้
แต่ตาแกดันเป็นสีเทานิ ชื่อบลูอายแท้ๆเลย
บ้านตระกูลบลูอายก็เป็นแบบนี้กันซะส่วนใหญ่ ตอนเด็กๆตาเป็นสีฟ้าสมชื่อ แต่โตขึ้นก็จะกลายเป็นสีเทา
ไปเปลี่ยนชื่อเป็น เกรย์อาย ซะเถอะแก
เกรย์อายคุงคนนี้เอาแต่พูดเหมือนอยากโดนตื้บอย่างนั้นแหละ เป็นมาโซคิสต์เรอะ
คงคิดประมาณว่า ถ้าถูกชั้นจัดการไปก็จะหาข้ออ้างที่ปล่อยชั้นหนีไปได้ กะจะใช้อ้างกันเสียหน้าสินะ
ไม่สนหน้าแกหรอกเว้ย
เมินๆไปแล้วกัน
“มือของชั้นคู่นี้ไม่ได้มีไว้เพื่อทำร้ายผู้คนค่ะ ดาบของคุณเองก็ด้วย ชั้นจะไม่ทำอะไรกับคุณ และชั้นเองก็เชื่อมั่นว่าคุณจะไม่ชักดาบเล่มนั้นออกมาด้วยเช่นกัน”
ชั้นพูดมั่วถั่วอ้างไป ก่อนจะเดินลงบันไดไปชั้นล่าง ทิ้งเกรย์อายคุงไว้ตรงนั้น
เชื่อม่งเชื่อมั่นอะไรนี่ไม่มีหรอก ชั้นร่ายเวทย์สะท้อนการโจมตีเผื่อไว้แต่แรกแล้ว
แต่สุดท้ายเกรย์อายคุงก็ไม่ได้ทำอะไร เขาแค่ทิ้งดาบกับนั่งคุกเข่า
โดนตราหน้าว่าเป็นอัศวินไร้ประโยชน์ที่ปล่อยให้นักโทษหนีไปได้ซะ!
“กลับไปเถอะครับท่านเอลริส!”
“พวกเราขอร้องล่ะขอรับ…!”
ยิ่งชั้นเดินลงบันไดไป อัศวินคนอื่นก็วิ่งตามมา แต่ก็ไม่มีใครกล้าโจมตีชั้น เอาแต่ยืนจ้องโง่ๆอยู่แบบนั้น
แต่มากันเยอะแบบนี้ก็กลายเป็นกำแพงมนุษย์ได้เหมือนกันนะ ชั้นเลยต้องใช้เวทย์แสงช่วยซักหน่อย
เมื่อคนมองไปยังสิ่งของ สิ่งที่คนเห็นจริงๆน่ะไม่ใช่ตัวสิ่งของ แต่เป็นแสงที่ตกกระทบบนสิ่งของนั้นและสะท้อนมายังดวงตาต่างหาก
สีเองก็เหมือนกัน นั่นไม่ใช่สีของสิ่งของ แต่เป็นสีของแสง
ถ้าพูดก็คือ หากสามารถควบคุมแสงได้ ก็จะสามารถควบคุมสิ่งที่ผู้อื่นเห็นได้อย่างใจนึก
ที่ชั้นทำก็แค่ฉายภาพเสมือนของตัวชั้นบนที่อื่น…
“ท่านเอลริส กรุณากลับไปที่ห้องเถอะขอรับ…!”
“พวกเราจะปล่อยให้ท่านผ่านไปไม่ได้”
พวกอัศวินหน้าโง่ก็ไปรุมตอมอยู่ในจุดที่ชั้นฉายภาพโฮโลแกรมของตัวเองทิ้งไว้
แล้วชั้นก็แค่เดินอ้อมผ่านพวกมันลงบันไดไป
ปราสาทนี้มีคุกใต้ดินอยู่ พวกเวอร์เนลก็น่าจะอยู่ที่นั่น
ไม่ต้องพูดไป ว่านี่คือคุกที่ถูกสร้างไว้ขังเซนต์ที่อยู่ในระหว่างการถูกเปลี่ยนเป็นแม่มด
ชั้นแอบย่องลงไปยังชั้นใต้ดิน…แต่พวกเวอร์เนลดันออกมานอกคุกกันได้เองแล้ว
ว่าไปแล้ว ไอ้นี่มันคุกจริงหรือเนี่ย…? นี่ไม่ใช่คุกแบบที่ขังคนไว้หลังลูกกรง แต่เป็นเหมือนหลุมขนาดใหญ่ที่ตกลงไปแล้วจะออกมาไม่ได้มากกว่า
ไม่หย่อนยานไปหน่อยเหรอ? ถ้าอีกฝ่ายบินได้นี่จะทำยังไง?
“ยอมแพ้ซะดีๆเถอะครับ…ฝ่าบาท”
โอ๋? นี่มันสถานการณ์แบบไหนเนี่ย?
นึกว่าพวกเวอร์เนลโดนจับไปแล้วแท้ๆ แต่นี่พวกเขากลับมาล้อมรอบราชาไอส์อยู่ สถานการณ์พลิกผันแล้ว
พวกทหารทางฝั่งไอส์โดนน็อกสลบหมด…ยิ่งกว่านั้น ไอ้แว่นโรคจิตที่ควรจะอยู่ทางฝั่งศัตรูกลับยืนอยู่กับพวกเวอร์เนลเหมือนว่าจริงๆมันอยู่ฝั่งนี้มาตั้งแต่ต้นแล้ว
เลย์ล่าถูกโกเลมจับไว้ทำให้ขยับตัวไม่ได้
นั่นเวทมนตร์ของไอ้แว่นโรคจิตสินะ? คงจะถนัดเวทย์ประเภทนี้จริงๆนั่นแหละ
ถ้าตามปกติ เลย์ล่าน่าจะสามารถหลุดออกมาได้แบบง่ายๆเลยแท้ๆ แต่ครั้งนี้เธอดูจะไม่ขัดขืนเลย
ชั้นที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์เลยต้องมาแอบดักฟัง จากที่ได้ยิน ดูเหมือนว่าไอ้แว่นโรคจิตแค่ทำทีไปอยู่ฝั่งนั้น แต่จริงๆแล้ววางแผนจะหักหลังมาตั้งแต่ต้นแล้ว
พอพวกเวอร์เนลถูกจับ เขาก็มาช่วยเอาไว้ก่อนที่จะถูกโยนลงไปในคุก จากนั้นก็ตลบหลังจับราชาขังคุก โดยคิดจะเรียกร้องให้ราชาปล่อยตัวชั้นไปแลกกับอิสรภาพ
จริงๆก็หนีออกมาได้เองแล้วอ่ะนะ
ในระหว่างที่ชั้นดูสถานการณ์อยู่ ทหารคนหนึ่งก็ลงมาที่ชั้นนี้เพื่อรายงานข่าว
“ฝ่าบาท! มีสารส่งมาจากเมืองหลวงขอรับ! ปีศาจขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะเป็นมหามารได้ยกทัพปีศาจจำนวนมากใกล้เมืองหลวงเข้าไปทุกทีแล้ว!”
“เจ้าว่าอะไรนะ!?”
คำพูดของคนส่งสารไม่ได้ทำให้แค่ราชาไอส์ตกใจ แต่พวกเวอร์เนลเองก็ด้วย
ถ้านี่เป็นมหามารนำทัพปีศาจมาโจมตีแบบที่ราชอาณาจักรรูตินเจอก่อนหน้านี้ สถานการณ์ก็คงจะเลวร้ายในระดับเดียวกัน คนที่สามารถที่จะพอต่อกรกับพวกมันได้มีแค่อัศวินเท่านั้น
แต่ราชาดันยกองครักษ์มาทั้งกองเพื่อเอามาเป็นผู้คุมชั้น
พวกอัศวินที่หลงเหลืออยู่อาจจะพอต้านได้บ้าง แต่นั่นก็คงอยู่ได้ไม่นาน
การส่งสารในโลกนี้จะใช้นกสตีลเป็นหลัก วัดจากระยะทางและความเร็วในการบิน ก็น่าจะใช้ประมาณชั่วโมงนึง
หรือก็คือนี่เป็นข้อมูลจากเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน ตอนนี้จะเป็นยังไงบ้างแล้วก็ไม่รู้
“พวกอัศวินที่เมืองหลวงเป็นยังไงกันบ้าง!!?”
“พวกเขาเตรียมพร้อมรบเรียบร้อยแล้ว แต่…อีกฝ่ายมีจำนวนมากเกินไป พวกเขาต้องการกำลังเสริมเดี๋ยวนี้เลยขอรับ!”
“ทำไมถึงไม่มีใครสังเกตถึงเรื่องนี้เลยล่ะ!!?”
“ไม่ ไม่มีใครทราบขอรับ…ราวกับว่าจู่ๆมหามารก็โผล่ขึ้นมากะทันหัน…”
เป็นเรื่องปกติที่ราชาไอส์จะกระวนกระวาย
พวกปีศาจและมหามารในละแวกเมืองหลวงน่ะโดนชั้นกวาดล้างไปเกลี้ยงแล้ว พวกที่เหลือก็มีแต่ตัวน้อยๆที่อัศวินและทหารสามารถจัดการกันเองได้
เพราะเขาคิดแบบนั้น ไอส์จึงมีความคิดที่จะจับชั้นขังได้
เขาคิดว่าไม่มีศัตรูที่จำเป็น”ต้อง”ให้ชั้นเป็นคนจัดการเหลือแล้ว
แต่…ก็ไม่ใช่ว่ามหามารจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ
ถึงความเป็นไปได้จะต่ำ แต่หากมีปีศาจอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ก็ทีโอกาสที่จะทำให้เกิดมหามารขึ้นมาได้โดยไม่มีแม่มดเกี่ยวข้องด้วย
บางทีปีศาจที่รอดมาได้อาจจะเริ่มฆ่ากันเอง จนเหลือรอดมาเป็นมหามาร
มหามารคงจะรวบรวมปีศาจที่เหลือมาเป็นกองทัพเพื่อบุกเข้าโจมตีเมืองหลวง
เหมือนกับที่อาณาจักรรูตินครั้งก่อน การที่พวกปีศาจรวมทัพใหญ่บุกโจมตีในเวลาไล่เลี่ยกันแบบนี้ก็แสดงให้เห็นว่าพวกมันเริ่มจะกลายเป็นหมาจนตรอกแล้ว
พวกมันไม่มีทางเลือกจึงต้องรวมตัวกันเพื่อบุกจู่โจม วัดดวงกันไปเลยว่าจะอยู่หรือจะไป
…สงสัยชั้นจะรังแกพวกปีศาจมันส์มือไปนิดนึงแฮะ
ประเทศอาจตกอยู่ในอันตรายก็จริง แต่ไม่ต้องห่วงมากขนาดนั้นหรอก
ชั้นไปสู้แป๊ปเดียวก็จบเรื่องแล้ว~
ยกเลิกเวทย์พรางกายแล้วเปิดเผยตัวดีกว่า
ดูเหมือนจะคุยกันอยู่ ประมาณว่า “ทำไมไม่ปล่อยท่านเอลริสออกมาล่ะ” กับ “เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มีทางที่เธอจะฟังคำขอของข้า” ไม่อ่ะ ชั้นก็ไม่ได้คิดมากอะไรขนาดนั้นนา…
การกระทำของราชาไอส์ไม่เกี่ยวกับประชาชนตาดำๆซักหน่อย
เอาจริงๆชั้นได้ใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์แบบนีทตั้งอาทิตย์กว่า ก็ขอบคุณลุงไอส์แกอยู่เหมือนกัน
“ท่านเอลริส…? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่…?”
ทำไมงั้นเหรอ…? ก็เพราะหนีออกมาแล้วไงล่ะ
จริงๆคือชั้นมาเพื่อช่วยพวกเวอร์เนลแบบหล่อๆอ่ะนะ แต่พวกนั้นดันหนีออกมาได้เอง ก็เลย…เอ๊ะ? แล้วตกลงตูมาทำไมล่ะเนี่ย?
แย่ล่ะ แบบนี้ไม่หล่อเลย
ชั้นโดนพวกพ้องหลอกว่าถูกจัดการ ปล่อยให้ชั้นเป็นห่วงอยู่คนเดียวอย่างกับคนโง่
เอ่ออ เอิ่ม…ไอ้นั่นไง!
ชั้นได้ยินเสียงจากก้นบึ้งของจิตใจลุงไงล่ะ!(เก๊ก)
แบบนั้นแหละ ไม่ต้องห่วงเรื่องที่จับชั้นไปขังมากก็ได้นะ
ไม่โกรธหรอก ชั้นให้อภัย เพราะว่าจิตใจชั้นนี่โคตรจะเมตตาเลยไงล่ะ
เอาจริงๆจะทรยศชั้นอีกก็ได้นะ ขอแบบนี้บ่อยๆเลยยิ่งดี
เชิญจับชั้นขังได้ตามใจชอบเลย จะกี่ร้อยกี่พันครั้งก็จะยกโทษให้หมดนั่นแหละ
ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เพราะตกอยู่ในวิกฤติชั้นเลยมาช่วยไงล่ะ ชั้นอยากใช้ชีวิตนีทแบบนั้นอีกรอบอ่ะ เคนะ~
พอบอกแบบนั้น ลุงไอส์แกก็ร้องไห้เลย 555
หน้าตอนร้องไห้น่าเกลียดว่ะ
จากนั้นเขาก็กุมมือชั้นเอาไว้ ใครอณุญาตให้แกจับมือชั้นหา?
แหวะ มือเหนียวเหงื่ออ่ะ น่าหยะแหยงเฟ้ย
.
พวกเวอร์เนลถูกจับและพามายังชั้นใต้ดินของปราสาท
เลย์ล่าที่ถูกสั่งให้เป็นผู้คุมตัวเวอร์เนลมาที่นี่มีสีหน้ารู้สึกผิด จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เวอร์เนลและเอเทอร์น่าไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย
ถึงขัดขืนไป รอบๆก็มีแต่พวกทหาร จำนวนคนมันต่างกันเกินไป ยังไงก็คงหนีไปไม่ได้
แทนที่จะเสียแรงขัดขืนโดยเปล่าประโยชน์ สู้เก็บแรงไว้จากนั้นค่อยหาช่องว่างหนีดีกว่า
แต่เมื่อมาถึงชั้นใต้ดิน พวกเขาก็รู้ตัวว่าคิดผิด
เพราะถูกเรียกว่าคุก จึงทำให้นึกถึงห้องขังเดี่ยวหลายห้องที่มีลูกกรง
ซึ่งก็ถือว่าถูกในทางเทคนิค…มันเป็นห้องขังเดี่ยวสำหรับเซนต์ก็จริง แถมยังมีลูกกรงด้วย
แต่ทว่า ทางเข้าของคุกนั้นไม่ได้อยู่ติดกำแพง แต่ว่าอยู่บนพื้น…หลุมลึกกว่าสิบห้าเมตร ผนังสร้างจากเหล็กทั้งหมด ไม่มีอะไรให้สามารถปีนได้ ทางเข้าถูกล้อมด้วยลูกกรงปิดกั้นเส้นทางหนี
ถ้าไม่สามารถบินได้อย่างเอลริส ก็ไม่มีทางที่จะขึ้นมาจนถึงลูกกรงจากด้านล่างนั้นได้เลย
เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง ดูเหมือนว่าพวกพ้องของเขาที่อุตส่าห์เบิกทางให้ก็ถูกทหารและอัศวินพาตัวมาขังไว้เช่นกัน
ผู้ที่มากับผู้คุมนั้นคือซัปเปิ้ล
“โอ๋ ดูเหมือนว่าทุกคนจะถูกจับกันหมดสินะ บุกเข้ามาโดยไม่มีแผนก็เป็นซะอย่างนี้นี่ล่ะ”
“ซัปเปิ้ลเซนเซย์…”
เวอร์เนลเอ่ยชื่อของอาจารย์ที่เปลี่ยนมาเป็นศัตรูในสถานการณ์เช่นนี้
แต่ซัปเปิ้ลก็ไม่สะทกสะท้านอะไร เขาเพียงเดินไปด้านหน้าพวกพ้องที่ถูกจับมัดอยู่
“ทำได้ดีมากซัปเปิ้ล เมนต์โดโน่ ดูเหมือนว่าผู้บุกรุกทุกคนที่มาเพื่อช่วยเหลือเซนต์จะถูกจับกุมเรียบร้อยแล้ว”
“อา นักเรียนดื้อรั้นแบบนี้ทำให้กระผมลำบากใจจริงๆ ช่างโง่เขลานักที่บุกเข้ามาซึ่งๆหน้า”
ซัปเปิ้ลหรี่ตาและยิ้มอย่างเยือกเย็นให้แก่พวกเวอร์เนล
จากนั้นเขาก็หันไปหาทหารคนอื่น
“ทำได้ดีมาก จากนี้ไปกระผมจะรับหน้าที่ต่อเอง”
“ไม่อณุญาตให้ทำเช่นนั้น”
“พวกเรามีหน้าที่ในฐานะผู้คุ้มกันของฝ่าบาท”
ซัปเปิ้ลบอกว่าพวกเขาหมดหน้าที่แล้วและควรจะไปได้แล้ว แต่พวกทหารไม่ทำตาม
ซัปเปิ้ลพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมพูดว่า “นั่นก็จริง”
ทันใดนั้น เขาใช้เวทย์ดินสร้างโกเลมจำนวนมากขึ้นมาในทันที
เขาจะใช้โกเลมพวกนี้จับผู้บุกรุกโยนลงไปในกรง…พวกทหารคิดเช่นนั้น แต่โกเลมกลับพุ่งตรงไปหาเลย์ล่าและจับเธอไว้
“ซะ ซัปเปิ้ลโดโน่!? นี่คิดจะทำอะไร…?!”
พวกทหารถูกโกเลมของซัปเปิ้ลน็อกจนสลบก่อนที่จะทันได้ถาม
พวกโกเลมเข้าไปล้อมรอบไอส์ ส่วนซัปเปิ้ลก็ตัดเชือกที่มัดพวกเวอร์เนลออก
“ซัปเปิ้ลเซนเซย์…นี่หมายความว่ายังไง?”
“พวกคุณนั้นโง่เขลานัก ก็เพราะทำอะไรแบบไม่คิดหน้าคิดหลังถึงโดนจับแบบนี้ เพราะแบบนั้นแผนของกระผมถึงพังหมดเลย อุตส่าห์วางแผนว่าจะค่อยๆซื้อใจพวกเขาทีละนิด จากนั้นก็ช่วยเหลือท่านเซนต์ออกมาแบบมีสไตล์”
ซัปเปิ้ลถอนหายใจพร้อมพูดออกมาอย่างไร้ความรู้สึกผิด
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยเห็นด้วยกับการจับเอลริสขังมาตั้งแต่แรกแล้ว
เขาเพียงต้องการที่จะให้พวกทหารและอัศวินลดการป้องกันลง จุดประสงค์หลักก็เพื่อช่วยเหลือเอลริส
เอเทอร์น่าที่ตามเรื่องไม่ทันได้แต่เบิกตากว้างด้วยความสับสน
“แต่…ไม่ใช่ว่าอาจารย์บอกเองว่าการจับท่านเอลริสขังไว้ให้ปลอดภัยนั้นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดหรือคะ…?”
“ฟุมุ กระผมเองก็ไม่แน่ใจถึงคำตอบที่ถูกต้องเช่นกัน จริงอยู่ที่นกที่ถูกเลี้ยงไว้ในกรงจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับธรรมชาติที่โหดร้ายและมีอายุยืนยาว แต่ในทางกลับกัน ก็มีนกที่เมื่อถูกจับขังไม่สามารถบินได้อย่างอิสระ ทำให้เกิดความเครียดสะสมและอ่อนแอลง นำไปสู่อาการป่วยได้เช่นกัน”
นกและมนุษย์นั้นใช้ชีวิตต่างกัน
อุณหภูมิ ความสว่าง เสียงรบกวน…หากปัจจัยใดคลาดเคลื่อนไป ก็อาจนำไปสู่ความตายของนกตัวนั้นได้
นกที่น่าสงสารเช่นนี้ถูกเจ้าของขังไว้เชยชม แต่ไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง
พวกมันลืมที่จะบิน ปีกอ่อนแรง ความเครียดสะสม สุดท้ายก็เสียชีวิตลงโดยที่การโบยบินบนท้องฟ้านั้นเป็นได้เพียงความฝัน
อุณหภูมิที่ปกติของมนุษย์นั้นอาจจะร้อนเกินไปหรือหนาวเกินไปสำหรับนก
ความสว่างกำลังดีสำหรับมนุษย์อาจจะสว่างเกินไปสำหรับนก
หากเจ้าของขาดความรู้ที่ถูกต้องในการเลี้ยงนก ก็มีแต่จะทำให้นกต้องทนทุกข์ทรมาณเท่านั้น
“นกในกรงจะมีชีวิตที่ยืนยาวและเหมาะสมแก่การเชยชม กระผมเห็นด้วยกับเรื่องนั้น แต่นั่นก็ต่อเมื่อเจ้าของมีความรู้ ความเอาใจใส่…และที่สำคัญที่สุด ความรัก”
เมื่อพูดเช่นนั้น ซัปเปิ้ลก็ดีดนิ้ว
โกเลมตัวหนึ่งเดินออกมาจากเงามืด และโยนบางสิ่งลงกับพื้น
สิ่งนั้นคือองค์ชายทั้งสามคนของราชอาณาจักรนี้ ที่ถูกมัดไว้อย่างแน่นหนาด้วยดินที่แข็งตัว
ซัปเปิ้ลปฏิบัติกับเจ้าชายของประเทศตนอย่างโหดร้ายโดยไม่ลังเลเลย เขามองที่ทั้งสามคนอย่างดูหมิ่น
“ท่านรู้หรือไม่ว่าเจ้าสิ่งพวกนี้คืออะไรฝ่าบาท? เจ้าขยะพวกนี้มองท่านเซนต์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยกามตัณหา พวกมันถึงขนาดพยายามที่จะบุกรุกเข้าไปยังห้องของเธอ นี่ไม่ดีเลยนะท่าน หากพยายามจะปกป้องเธอจริงๆ ทำไมถึงไม่เอาสิ่งสกปรกเช่นนี้ไปไว้ห่างๆเธอล่ะ”
น้ำเสียงของซัปเปิ้ลนั้นไร้ซึ่งความเคารพต่อผู้นำของประเทศ
เขาทำตัวเหมือนว่าตัวเองนั้นเหนือกว่า…หรือถ้าจะให้พูดคือมองว่าราชาของประเทศอยู่ต่ำกว่าตัวเอง
พวกเจ้าชายยิ่งถูกมองว่าเป็นขยะ…ไม่โดนนับว่าเป็นมนุษย์เสียด้วยซ้ำ…
“เพียงมองไปรอบๆกระผมก็เข้าใจ…ในปราสาทแห่งนี้นั้นขาดซึ่งความรักที่มีต่อเซนต์ ขาดซึ่งความเอาใจใส่ เช่นนั้นกระผมจึงขอปฏิเสธแนวทางเช่นนี้ ปราสาทแห่งนี้เป็นเพียงกรงขังสกปรกที่มีแต่จะทำให้ท่านเซนต์มัวหมอง อา นั่นไม่ดีเลย เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้โดยเด็ดขาด สภาพแวดล้อมของที่นี่ไม่คู่ควรกับเซนต์ของกระผม ต้องบอกว่าค่อนข้างที่จะน่าประทับใจที่พวกท่านนี่เอาภาษีประชาชนไปถลุงกับกองขยะเช่นนี้ได้”
ยิ่งพูด ซัปเปิ้ลก็ยิ่งมองราชาด้วยสายตาดูถูกมากขึ้น
ในใจของเขานั้นไม่มีความจงรักภักดีต่อราชาและอาณาจักรแม้แต่เศษเสี้ยว
สิ่งเดียวที่เต็มเปี่ยมอยู่ในหัวใจของเจ้าโรคจิตนี่ก็คือเซนต์ผู้สูงส่ง
หากมีสิ่งใดที่อาจเป็นอันตรายต่อเธอได้ สิ่งที่เขาต้องทำก็มีเพียงอย่างเดียว คือกำจัดมันทิ้งซะ