สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค - ตอนที่ 44 Festina Lente
ชั้นปล่อยลุงไอส์ที่ยังร้องไห้อยู่ไว้อย่างนั้น จากนั้นก็เดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปที่เมืองหลวง
กระโปรงนี่มันทำให้ขยับยากจัง
เพราะชั้นเป็นเซนต์ เลยช่วยไม่ได้ที่ต้องแต่งตัวอย่างนี้ แต่ก็อยากได้อะไรที่มันใส่สบายกว่านี้อ่ะ เจอร์ซี่ย์ไรงี้
ยังใงข้างในชั้นก็ยังเป็นผู้ชาย ไม่ชินกับการใส่กระโปรงหรอกนะ
แค่คิดภาพตัวชั้นสมัยยังเป็นเพศผู้มาใส่กระโปรงแบบนี้ก็ทำเอาอยากอ้วกแล้ว
ไม่สิ ถ้าร่างเป็นผู้ชายอาจจะดีกว่าก็ได้ อย่างน้อยมันก็ยังพอดูออกว่าทำเพื่อเอาฮา
ยิ่งน่าตลกแค่ไหนก็ยิ่งน่าอายน้อยลง
เพราะว่าชุดเดรสนี่มันเข้ากับตัวชั้นในตอนนี้จนเกินไป เลยมองเป็นแค่เรื่องตลกไม่ได้เลย
เอาล่ะ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน
ถ้าชั้นเอาจริงล่ะก็ ไม่กี่นาทีก็คงถึงเมืองหลวงของบิลเบอรี่แล้ว
ระยะห่างประมาณ 40 กิโลเมตร ก็ไม่ได้ไกลอะไรขนาดนั้น
น้อยกว่าระยะในการวิ่งมาราธอนอีก พอจะเรียกได้ว่าเป็นแถวบ้านอยู่
ถ้านกสตีลตัวแค่นั้นสามารถเดินทางได้ภายในเวลาชั่วโมงนึง นักวิ่งมืออาชีพก็คงใช้เวลาสักสองชั่วโมงได้
ถ้าชั้นบินด้วยความเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงล่ะก็ แค่แปดนาทีก็เพียงพอแล้ว
แน่นอนว่าตอนที่บินอยู่ ชั้นก็จะใช้แสงปริศนาเพื่อบังใต้กระโปรงไว้ไม่ให้ใครเห็น
จริงๆก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้น ใช่ว่าชั้นจะอายกะอีแค่นี้ซะเมื่อไหร่ แต่พอลองคิดว่าโดนตัวผู้คนอื่นมองด้วยสายตาโลมเลียก็ทำเอาขนลุกแล้ว…
รีบบินไปแล้วก็รีบจัดการให้มันเสร็จๆดีกว่า
“ช้าก่อนครับท่านเอลริส! ช่วยพาผมไปกับท่านด้วยได้ไหมครับ?”
คนที่วิ่งตามมาพร้อมพูดแบบนั้นคือตัวเอกเวอร์เนลคุง
ให้พาไปด้วยเหรอ…ก็ใช่ว่านายจะช่วยอะไรได้มากอ่ะนะ…
ก็ไม่อยากจะโหดร้ายเกินไปนะ แต่ถึงนายมาก็คงทำได้แค่เกะกะนั่นแหละ…
ก็นะ เพราะนายเป็นตัวเอก ก็คงมีพล็อตอาร์เมอร์กันตายอยู่บ้างนั่นแหละ
จะพาไปเก็บเวลด้วยแล้วกัน
“อะไร นายอยากจะเท่คนเดียวรึไง”
“ใช่แล้ว พวกเราเองก็จะไปด้วย”
พวกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเวอร์เนลก็คือตัวประกอบเอและเอเทอร์น่า
พวกคนอื่นๆในกลุ่มอย่างไอ้แว่นโรคจิตเองก็อยากจะมาด้วย…อย่าพูดเหมือนว่าชั้นจะพาพวกแกไปด้วยสิ
ยิ่งมากันเยอะก็ยิ่งมีตัวถ่วงมากขึ้น พวกนายอยู่นี่แหละดีแล้ว…แต่บรรยากาศดันไม่เป็นใจให้พูดแบบนั้นแฮะ
ส่วนเลย์ล่าที่ปกติจะยืนอยู่ข้างๆชั้น ตอนนี้ก็เอาแต่มองอยู่ห่างๆ
ถึงเอาเธอไปด้วยก็คงไม่ได้ช่วยอะไรมาก แต่ถ้าไม่เอาไปด้วยชั้นก็จะรู้สึกไม่ดีน่ะนะ
เลย์ล่าในตอนนี้อย่างกับลูกหมาที่ถูกทอดทิ้งเลย
เธอทำเหมือนว่าอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เพราะเปิดปากแล้วไม่มีเสียงออกมา ก็เลยเงียบอยู่แบบนั้น
ว่าไงดีล่ะ…แบบว่านั่นไง เหมือนกับเด็กโดดเดี่ยวที่พยายามจะเข้ากลุ่มกับคนอื่น แต่ก็ไม่มีความกล้าที่จะพูดชวนออกไป สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรเลยจนจบ…เลย์ล่าในตอนนี้ให้ความรู้สึกแบบนั้นเลย
ถ้าชั้นทำเป็นไม่เห็นเธอแล้วบินจากไป…เธออาจจะถึงขั้นฆ่าตัวตายก็ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนา
“เลย์ล่า”
ชั้นเลยเรียกเลย์ล่ามาด้วย
เรามีเวลาไม่มากนา อย่าเอาแต่ยืนเฉยๆอย่างนั้นสิ
ไม่ใช่หมาที่โดนดุเพราะกัดเสื้อผ้าขาดซะหน่อย
ไม่มีเวลามามัวรีรอมากนั้น ก็สั่งให้ไปด้วยกันนี่แหละ
“มาร่วมสู้ด้วยกันกับชั้นสิจ๊ะ”
โดนบัญชาสวรรค์เข้าให้
เพราะเป็นคำสั่งของชั้น เลย์ล่าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหรอกนะ
เธอค่อยๆเดินเข้ามาหาช้าๆ แต่ว่า…โอ้ย เราไม่มีเวลาทั้งวันนะเฟ้ยสต๊อกโกะ!
รีบเดินเร็วๆดิ๊
“ดิฉัน…ไม่มีสิทธิ์ให้สู้เคียงข้างท่านได้หรอกค่ะ…”
ดูเหมือนจะยังกังวลเรื่องที่ทรยศชั้นไปก่อนหน้านี้สินะ เลย์ล่าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
ไม่ต้องคิดมากไปหรอก
อาจจะฟังดูโหดร้ายไปบ้าง แต่ไม่ว่าเลย์ล่าจะเลือกทำแบบไหน ผลลัพท์ก็ไม่เปลี่ยนไปหรอก
ต่อให้เป็นเลย์ล่าก็สู้กับพวกองครักษ์คนอื่นๆทั้งหมดรวมกันไม่ได้หรอก หรือต่อให้ทำได้ก็คงรอดมาด้วยสภาพปางตาย
ปล่อยให้โดนจับโดยไม่ขัดขืนนี่ถือว่าฉลาดเลือกแล้ว
ถ้าเลย์ล่าดึงดันจะอยู่ข้างชั้น ป่านนี้เธออาจจะกลายเป็นศพไปแล้วก็ได้
“เลย์ล่าซัง ไม่ว่าใครก็สามารถผิดพลาดได้ทั้งนั้นล่ะครับ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คืออย่าให้ความผิดพลาดนั้นมาหยุดเราไม่ให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง ตอนนี้เราต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้ก่อน”
“สิ่งที่ข้าสามารถทำได้…”
“ใช่ครับ ถ้าคุณทำผิดพลาดไป แบบนั้นก็ไม่ควรที่จะหนีจากมัน ถ้าความผิดพลาดของคุณทำร้ายผู้อื่น ถ้าอย่างนั้นก็แก้ไขมันด้วยการยกดาบขึ้นปกป้องคนคนนั้นซะ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่คุณสามารถทำได้”
คนที่พูดแบบนั้นกับเลย์ล่าที่กำลังหดหู่ก็คือเวอร์เนล
สมกับเป็นตัวเอก พูดอะไรดีๆก็เป็นนี่
ในเกมเจ้านี่ก็พูดอะไรคล้ายๆแบบนี้ตอนที่เลย์ล่าจะเข้าเป็นพวกนั่นแหละ
เลย์ล่าคือองครักษ์ส่วนตัวของเอลริส(ตัวจริง)ในเกม เธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับความทุกข์ของผู้คนมากมาย อย่างการป้องกันไม่ให้ไอน่าลอบสังหารเอลริสก็นำไปสู่ความตายของไอน่า
หลังจากที่เอลริสตัวจริงโดนลงทัณฑ์ เธอก็พยายามที่จะฆ่าตัวตาย จนโดนเวอร์เนลหยุดไว้ด้วยบทพูดแบบนี้นี่แหละ
“สิ่งที่ข้าทำได้จากนี้ไปงั้นหรือ…”
เลย์ล่าหลับตาไปชั่วครู่ จากนั้นก็หันมามองที่ดาบ
ก็ไม่รู้หรอกนะว่าคิดอะไรอยู่…อาจจะสมองแปรปรวนจนได้ผลลัพท์มั่วๆออกมาก็ได้
จากนั้นเธอก็หันมาหาชั้น
“ท่านเอลริสคะ…ดิฉันได้ก่อบาปที่ไม่อาจยกโทษให้ได้ลงไป ถึงอย่างนั้น…หากท่านยังต้องการคนอย่างดิฉันอยู่ล่ะก็…อย่างน้อยที่สุด ดิฉันก็จะเป็นโล่ให้แก่ท่านเองค่ะ”
โอ้ย สต๊อกโกะเอ๊ย…
คิดเป็นแบบนั้นได้ไงเนี่ยยัยสต๊อกโกะ
สงสัยจะโดนความรับผิดชอบทับถมจนคิดว่าอยากจะตายในฐานะโล่เนื้อของชั้นอะไรแบบนั้นเหรอ
ทำไงดีล่ะ? ถ้าพาไปด้วย เธอจะกระโจนเข้ามาบังชั้นจากการโจมตีที่จะไม่มีผลอะไรกับชั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แล้วก็ตายไปน่ะสิ
ขนาดเวอร์เนลยังอึ้งไปเลย
ทำไมถึงคิดว่าตัวเองต้องตายหลังจากที่โดนบอกว่า “ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตัวเองทำได้”ล่ะ
…ไม่มีทางเลือก ดูท่าชั้นเองคงต้องพูดอะไรสักอย่างด้วยแล้ว
“ถ้าเธอคิดจะมาเพื่อเป็นโล่ให้ชั้น ชั้นก็จะไม่พาเธอไปด้วยหรอกนะ ที่ชั้นต้องการก็คือดาบที่จะร่วมตัดผ่านความมืดมิดไปกับชั้น เพราะอย่างนั้นเลย์ล่า…ช่วยกลายเป็นดาบเล่มนั้นให้กับชั้นทีเถอะจ้ะ นี่คือบทลงโทษที่ชั้นจะมอบให้แก่เธอ”
“…อึก! ค่ะ!”
เสียงของเลย์ล่าเหมือนจะร้องไห้ แต่ก็ยังตอบชั้นได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ
น่าจะโอเคแล้ว
ไว้ค่อยดุเธอทีหลัง ตอนนี้ต้องรีบไปที่เมืองหลวงก่อน
เอาล่ะ ได้เวลาออกเดินทาง…ก็ว่าจะทำแบบนั้น แต่พวกอัศวินทรยศทั้งหลายกลับเดินมาคุกเข่าต่อหน้าชั้น
มีไร? เห็นมั้ยเนี่ยว่าคนเค้ารีบอยู่
“ท่านเอลริสขอรับ…กรุณาพาพวกเราไปปกป้องเมืองหลวงด้วยเถอะขอรับ”
ดูเหมือนว่าอยากจะไปด้วย
ก็ไม่เป็นไรแหละ แต่จะขอให้ชั้นแบกพวกเอ็งไปด้วยงั้นสิ?
เอาจริงๆถึงไปด้วยก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกนะเออ
ยังไงชั้นก็กะจะใช้ท่าโจมตีหมู่กวาดปีศาจเกลี้ยงทั้งกองทัพในการโจมตีไม่กี่ทีอยู่แล้ว
แต่ถึงชั้นจะแฏิเสธไป เจ้าพวกนี้ก็คงจะยังตามมาด้วยแม้จะต้องเดินเท้า น่ากลัวอ่ะ
“ชั้นอณุญาตค่ะ แต่ผู้ที่พวกคุณจำเป็นที่จะต้องปกป้องจริงๆก็คือผู้คนและบ้านเมือง อย่าคิดที่จะใช้ชีวิตมาเสี่ยงเพื่อปกป้องชั้นเชียวนะคะ”
ต้องบอกให้ชัดเจน
ถ้าไม่พูดแบบนี้ อาจจะมีใครใช้ตัวมาเป็นโล่ให้ชั้นจนตายเปล่าก็ได้
ยังไงก็ไม่มีใครตีผ่านโล่สะท้อนของชั้นได้อยู่แล้ว โล่เนื้อนี่มีไปก็ไร้ประโยชน์ เอาชีวิตไปทิ้งเปล่าๆปลี้ๆ
แถมอัศวินพวกนี้ควรจะเป็นของเซนต์ตัวจริง…หรือก็คือเอเทอร์น่า
จะให้มาทิ้งชีวิตเพื่อนายตัวปลอมนี่มันจะไม่เข้าท่า
“ท่านเอลริส…ช่างเมตตาอะไรขนาดนี้…”
พวกอัศวินเอาแต่ซึ้งอยู่นั่นแหละ แต่ชั้นไม่แคร์ เตรียมพร้อมใช้งานเวทมนตร์ต่อไป
ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเวทมนตร์ที่สามารถขนย้ายผู้คนจำนวนมากได้
ชั้นคิดค้นเวทมนตร์ที่คล้ายๆกับเทเลพอร์ตขึ้นมาในเวลาว่าง
ไม่เร็วเท่าเทเลพอร์ตก็จริง แต่ก็ยังสามารถเคลื่อนย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่ได้ด้วยความเร็วสูง แถมยังสามารถพาคนอื่นไปด้วยได้
ก็กะจะใช้เวทย์นี้ไล่ตามแม่มดไปในทันทีที่เธอใช้เทเลพอร์ตน่ะนะ…แต่ก็มานึกได้หลังคิดค้นเสร็จแล้วว่าชั้นก็ไม่รู้จุดหมายของเธออยู่ดี
สมมติว่าแม่มดเทเลพอร์ตจากญี่ปุ่นไปอเมริกา ชั้นก็จะสามารถตามเธอไปอเมริกาได้ในทันทีด้วยเครื่องบินเจ็ต
ปัญหาก็คือว่าชั้นไม่รู้ว่าแม่มดเธอเทเลพอร์ตไปอเมริกาจริงๆรึเปล่า
ก็ประมาณนั้นแหละ
“Festina Lente”(จงรีบทำ แต่ทำอย่างช้าๆ/ระมัดระวัง)
คิดชื่อเท่ๆไม่ออก ก็ขอใช้สุภาษิตต่างชาติมาแบบมั่วๆนั่นแหละ
ทุกๆคนรวมถึงตัวชั้นถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเสาที่สร้างจากแสง แล้วก็ลอยขึ้น
ไม่มีใครเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นนอกจากชั้น แต่เราก็ลอยอยู่ในเสานี้นี่แหละ
คล้ายๆลิฟต์ไงล่ะ
พอขึ้นสูงถึงจุดหนึ่ง เสาแห่งแสงนั้นก็แปรสภาพกลายเป็นรูปนก แต่นี่ไม่ได้มีไว้เพื่อขนย้าย แต่เป็นบาเรียต่างหาก
เพราะว่าเรากำลังจะเดินทางด้วยความเร็วสูง ก็ต้องกันแรงต้านอากาศไว้หน่อย
ในส่วนปีกจะมีวงจรพลังเวทย์ไหลเวียนอยู่แล้ว จากนั้นก็บีบอัดพลังเวทย์ใส่เข้าไปเยอะๆ
บีบ บีบ บีบ…จากนั้นก็ปล่อยพลังเวทย์พวกนั้นออกไปด้านหลัง
ส่งบาเรียที่ห่อหุ้มพวกเราอยู่พุ่งไปด้านหน้า
เป็นเครื่องบินแบบใช้พลังเวทย์ไงล่ะ
เพระาใช้พลังเวทย์แทนที่เชื้อเพลิง และพลังเวทย์ในโลกนี้ก็มีะพลังงานที่สูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้พุ่งไปเร็วยิ่งกว่าเครื่องบินในโลกเก่าอีก
“นะ นี่คือ!?”
“กะ กำลังขยับอยู่?”
พวกอัศวินแตกตื่นกันใหญ่ เพราะมีบาเรียแสงห่ออยู่เลยเห็นข้างนอกไม่ได้นี่นะ
ถ้าเห็นได้นี่คงร้องกรี๊ดกันเป็นแถบ มองจากที่สูงขนาดนี้ลงพื้นนี่นะ
ใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที
มาถึงท้องฟ้าด้านบนจุดหมายปลายทางแล้ว บาเรียเปลี่ยนสภาพกลับเป็นเสาแห่งแสงอีกครั้งเพื่อพาเราลงไป ทุกๆคนมองลงด้านล่าง
ถ้ามองจากด้านนอกก็คงเห็นเป็นว่าจู่ๆเสาแห่งแสงก็โผล่มาจากไหนไม่รู้
เอาล่ะ ขอเสียมารยาทหน่อยแล้วกัน
.
ณ ด้านหน้าเมืองหลวงของราชอาณาจักรบิลเบอรี่ถูกเปลี่ยนเป็นสนามรบชี้เป็นชี้ตาย
เหล่าทหารและอัศวินพยายามต่อต้านเหล่าปีศาจที่รุกรานเข้ามาเพื่อจะทำลายดินแดนนี้
เจ้าพวกปีศาจจำนวนขนาดนี้มาจากที่ไหนกัน…บางทีอาจจะมาจากดินแดนที่ยังไม่ได้ถูกยึดคืนกลับมา พวกมันจึงรวมกลุ่มกันกลายเป็นกองทัพ
ปีศาจนั้นก็คือสัตว์ป่าที่ถูกเสริมความแข็งแกร่งด้วยพลังของแม่มด
สติปัญญาของพวกมันนั้นสูงกว่าสัตว์ธรรมดาเพียงเล็กน้อย โดยส่วนมากแล้วพวกมันจึงไม่ได้จับกลุ่มกันเป็นกองทัพใหญ่ขนาดนี้
พวกมันจะพยายามสู้กันเองเสียด้วยซ้ำ พวกปีศาจที่แปรสภาพมาจากสัตว์กินเนื้อจึงพยายามที่จะกินพวกที่แปรมาจากสัตว์กินพืช
ก็ไม่ใช่ว่าพวกมันจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวตลอด
พวกปีศาจที่แปรสภาพมาจากสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นสูงเช่นปีศาจสุนัข…ก็มักจะอาศัยอยู่ด้วยกันกับเผ่าพันธุ์ใกล้เคียงกัน
แต่ก็จะไม่ไปรวมกับปีศาจหมูหรือปีศาจแมว
มีเพียงเหตุผลเดียวที่ปีศาจจะสามารถมารวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ได้ขนาดนี้
ก็ต่อเมื่อมีผู้ที่สามารถออกคำสั่งแก่พวกมันได้…หรือก็คือ แม่มดหรือมหามารจะต้องอยู่ที่นี่ จึงจะสามารถสร้างเป็นกองทัพขนาดนี้ได้
กองทัพเบื้องหน้านี้อยู่ภายใต้การบัญชาของมหามาร
จำนวนของปีศาจนั้นลดน้อยลงในทุกๆวันตั้งแต่ที่ยุคของเซนต์เอลริสเริ่มขึ้น น้อยกว่าหนึ่งในสิบส่วนจากยุครุ่งเรืองของพวกมันเสียอีก
ยิ่งกว่านั้นหัวหน้าสูงสุดของพวกมันอย่างแม่มดก็หายหัวไปซ่อนตัว ปล่อยให้พวกปีศาจค่อยๆตกตายลงทีละตัวเหมือนเรือที่ไร้หางเสือ
วันหนึ่ง ปีศาจที่มีสติปัญญาสูงตัวหนึ่งก็คิดขึ้นได้…หากเป็นแบบนี้ต่อไป พวกมันจะต้องสูญสิ้นเป็นแน่
ปีศาจตนนี้เคยเป็นอีกามาก่อน สติปัญญาพื้นฐานของมันจึงค่อนข้างสูง
เพื่อต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างเซนต์ ปีศาจที่เหลือจึงมารวมกันเพื่อหวังจะบุกโจมตีเธอในทีเดียว เมื่อไม่มีแม่มดคอยสั่งการ พวกปีศาจจึงต้องพึ่งตัวเองแล้ว
มันจึงรวบรวมปีศาจอีกาตัวอื่นๆมาปรึกษากันในเรื่องนี้—จากนั้นก็เริ่มฆ่ากันเอง
พวกมันรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าจะต้องฆ่าปีศาจด้วยกันเพื่อไปให้ถึงระดับที่สูงยิ่งขึ้น
หลังจากที่แข็งแกร่งขึ้นจากการสังหารหมู่เผ่าพันธุ์เดียวกัน มันก็เริ่มออกล่าปีศาจสายพันธุ์อื่น
จนในที่สุด…มันก็กลายมาเป็นมหามาร ผู้บงการปีศาจทั้งหลายที่ซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ต่างๆให้มารวมตัวกัน เพื่อสร้างเป็นกองทัพปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุด
แม่มดซ่อนตัวไม่ยอมออกมา พวกมันจึงต้องทำอะไรสักอย่างเองด้วยพลังที่มีเหลืออยู่
ปีศาจเคยปกครองโลกด้วยอัตราเจ็ดต่อสิบส่วน แต่เมื่อมาถึงยุคของเซนต์เอลริส พวกมันกลับเหลือพื้นที่ในครอบครองอยู่เพียงไม่ถึงหนึ่งต่อสิบส่วนเสียด้วยซ้ำ
ต่อให้เอลริสไม่ทำอะไรเพิ่มและพวกปีศาจก็เอาแต่หลบซ่อน สุดท้ายพวกมันก็จะถูกทหารและอัศวินจากนานาประเทศกวาดล้างอยู่ดี
นี่จึงถือเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายสำหรับพวกมัน
มหามารผู้เคยเป็นอีกาตัวเล็กๆ บัดนี้นำทัพปีศาจเข้าต่อสู้กับมนุษยชาติเพื่อความอยู่รอดของพวกมันเอง
“เวรเอ๊ย! ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เมืองหลวงก็จะ…!”
“กำลังเสริมยังไม่มาอีกเหรอ?!”
“เป็นเพราะว่าราชาพาองครักษ์ทั้งกองไปกับมันนั่นแหละ! พวกโง่ที่ไม่รู้สถานการณ์ที่แนวหน้าทำอะไรตามใจชอบ มันเลยกลายเป็นแบบนี้ไงล่ะ!”
“หุบปากซะ อยากโดนข้อหากบฏรึไง!”
“เออ กบฏแล้วจะทำไม! ยังไงอาณาจักรนี้ก็คงอยู่ไม่รอดจนข้าโดนลงโทษหรอก!”
กองอัศวินที่ไร้องครักษ์และเหล่าทหารพยายามสู้รบกับพวกปีศาจอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ยังด้อยกว่า
เพราะมีอัศวินอยู่บ้าง จึงถือว่ารับมือได้ดีกว่าที่อาณาจักรรูติน แต่พวกปีศาจก็ถอยไม่ได้เหมือนกัน
พวกปีศาจเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
พวกมันจะต้องเอาชนะในที่แห่งนี้ ลดจำนวนอัศวินที่คอยปกป้องเอลริสให้ได้มากที่สุด จากนั้นก็ใช้ปีศาจที่เหลือทั้งหมดทุ่มกำลังเพื่อสังหารเอลริสเพียงคนเดียว
พวกมันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเอาชนะ แม้จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำได้หรือไม่
มองจากสนามรบในปัจจุบันนี้ ความเป็นไปได้นั้นถือว่าต่ำ
“ก๊าาาา—!”
มหามารแม่ทัพปีศาจ—ผู้ถูกขนานนามโดยเหล่าทหารว่า”อีกา”จากรูปลักษณ์ของมัน บินขึ้นฟ้าและกระพือปีก
สร้างเป็นลมหมุนใหญ่ กวาดเศษหินกรวด อาวุธที่ตกอยู่ และศพของทหารผู้เสียชีวิตถาโถมเข้าใส่กองทัพบิลเบอรี่
ศพสวมเกราะพุ่งเข้าใส่ทหารที่ยังมีชีวิตด้วยความเร็วสูง นำทหารเหล่านั้นตกตายตามไป พวกดาบที่ถูกพัดขึ้นมาก็เข้าเสียบแทงทหารคนอื่นๆ
“อีกา”ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้านั้นมีขนาดใหญ่กว่าแปดเมตร
ถึงแม้อัศวินทั้งหลายจะพยายามยิงมันด้วยเวทมนตร์ สิ่งที่มันต้องทำก็แค่บินสูงขึ้น จนเวทย์นั้นไปไม่ถึงหรือพลาดเป้าไป
ในการต่อสู้กับศัตรูที่บินได้ หากตัวเองบินไม่ได้ก็จะเสียเปรียบอย่างมาก
ต่อให้สามารถโจมตีระยะไกลได้ ก็ยังยากที่จะโดนเป้าที่บินอยู่
พวกที่ยืนอยู่บนพื้นนั้นอย่างมากก็หลบได้แค่ซ้ายขวาหน้าหลัง
กับศัตรูที่บินได้ ถ้าอีกฝ่ายแค่หลบไปด้านหน้าหรือด้านหลังก็ว่าไปอย่าง
แต่เพราะว่ามันสามารถบินได้ จึงสามารถหลบได้ทั้งขึ้นและลงเพิ่มขึ้นมา นอกจากนี้ลูกธนูจากด้านล่างนั้นจะถูกแรงโน้มถ่วงดึงลง เพียงแค่ถอยขึ้นหน่อยเดียวก็ทำให้พลาดเป้าแล้ว
ต่อให้เป็นเป้านิ่ง ก็ยังยากที่จะยิงโดนเป้าที่ลอยอยู่สูง
ถ้าหากเป็นเป้าเคลื่อนไหว ให้ผู้เชี่ยวชาญมาเองก็ยังยากจะยิงโดน
ยิ่งกว่านั้นมันยังควบคุมลมได้ ลูกธนูไม่มีทางทำอะไรมันได้อยู่แล้ว เพราะจะถูกพัดออกก่อนที่จะไปถึง
พวกอัศวินจึงเปลี่ยนมาใช้เวทมนตร์ยิงแทน แต่ด้วยสถานการณ์วุ่นวายข้างล่าง มีศพและอาวุธปลิวว่อนเต็มไปหมด การจะยิงให้โดนนั้นก็ยากเกินไป
ในขณะเดียวกัน “อีกา”ตัวนั้นสามารถโจมตีได้ตามใจชอบ
แค่ใช้ลมพัดไปมั่วๆก็สามารถส่งสิ่งของและอาวุธเข้าจู่โจมเหล่าทหารได้แล้ว ยิ่งเป็นลมที่แรงพอจะพัดคนเป็นลอยตามไปอีกยิ่งแล้วใหญ่
เรื่องมันก็ง่ายๆ จะให้สู้กับพายุหมุนด้วยดาบและเกราะนี่ ใครทำได้ก็บ้าแล้ว
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร สิ่งสมเหตุสมผลเดียวในสถานการณ์นี้ก็มีแค่”รีบเผ่นให้ไวที่สุด”เท่านั้น
แต่พวกเขาไม่สามารถหนีได้ เพราะด้านหลังของพวกเขาคือเมืองที่จำเป็นต้องปกป้อง
พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยายามใช้ดาบในมือฟาดฟันผ่านพายุใหญ่นั้น