สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค - ตอนที่ 46 เสียสละตนเอง
เวอร์เนลโดดมาบังชั้นจากจะงอยปากของเจ้ากาอย่างไร้ประโยชน์
แกทำบ้าอะไรเนี่ย…?
ถ้าตัวเอกมาตายตรงนี้แล้วจะทำไงล่ะ? นี่มันตัดเข้าฉากจบแบดเอนดิ้งแล้วนะเว้ย
ไม่มีทางเลือก ชั้นยิงลำแสงสลายอีกาคุงให้กลายเป็นผุยผง ดึงจะงอยที่เสียบอยู่ออกมา จากนั้นก็ร่ายเวทย์ฟื้นฟูเพื่อสมานแผล
จากนั้นก็เช็กลมหายใจ ถ้าแค่ยังไม่ตาย ชั้นก็จะสามารถรักษาได้ทุกอย่างไม่ว่าจะบาดเจ็บหนักแค่ไหน
เพราะเวอร์เนลมีพลังความมืดที่จะกันไม่ให้ผู้ถือครองตายอยู่ การโจมตีส่วนมากจะไม่สามารถฆ่าเขาได้ ขอแค่รอดนานอีกหน่อยก็งรักษาได้ไม่มีปัญหา
ดูซิ…ไม่มีลมหายใจ ไม่มีชีพจร ไม่ใช่เรื่องใหญ่
…
……
ไม่ เดี๋ยวดิ ฉิบหายแล้ว ตายแล้วนี่หว่า…
เอ๊ะ? ไม่ เดี๋ยว นาย…
โย่ โย่ โย้ว!? โย่โย่โย่โย่โย่โย่!
ใจเย็น! ใจเย็น! ใจเย็น!
มะ-มะ-ไม่เป็นไร แค่ตายนิดเดียวเอง ศพยังใหม่ๆอยู่-ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงไปปปปปปปปปปป….
“โกหกน่า…เวอร์? นี่เป็นเรื่องโกหกใช่มั้ย…?” เอเทอร์น่าพูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเธอ ขนาดชั้นยังอยากให้นี่เป็นเรื่องโกหกเหมือนกันเลย
ดูเหมือนว่ากระทั่งพลังความมืดก็ยังไม่เพียงพอแฮะ
เพราะว่าปีศาจมีพลังที่สามารถฆ่าเซนต์ได้…เพราะงั้นการที่พวกมันจะฆ่าเวอร์เนลได้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
เขาตายทั้งที่บาดแผลถูกรักษาแล้ว คิดว่าน่าจะตายคาที่ในเฉียบพลัน
ก็เพราะว่ามันแทงทะลุหัวใจน่ะนะ
…ยิ่งคิดหนักเข้า ชั้นก็ยิ่งตระหนักได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเลวร้ายแค่ไหน ถ้าตัวเอกตายเนื้อเรื่องก็จบมันตรงนั้นเลยน่ะสิ
เอ่อ เอ่อ…เอิ่ม…เอาล่ะ
ชั้นยังช่วยชีวิตเขาได้ บาดแผลก็ถูกปิดแล้ว ความเสียหายน่าจะยังไปไม่ถึงสมอง
เป็นแผลถึงตายก็จริง แต่เวลาก็เพิ่งจะผ่านมาไม่นาน สมองคนเราจะหยุดทำงานก็หลังจากที่หยุดหายใจไปแล้วสักสี่ถึงหกนาทีได้
ถึงหัวใจหยุดเต้นไปแล้วก็ยังไม่ถือว่าตายดี ต้องรอให้สมองตายตามไปก่อน
แม้หัวใจจะหยุดเต้น ชั้นก็ยังสามารถช็อตไฟฟ้าให้มันกลับมาเต้นใหม่ได้ ถ้าแบบนั้นก็ยังพอช่วยชีวิตเจ้านี่ได้
ปกติโโนแทงทะลุหัวใจแบบนั้นคือตายแหงแก๋ไปแล้ว แต่โชคดีนะที่มีสูตรโกงเดินได้อย่างชั้นอยู่รอบๆน่ะ แถมแผลภายนอกก็หายหมดแล้วด้วย
เอาล่ะ…ใช้เวทย์สายฟ้าเพื่อกระตุ้นหัวใจให้กลับมาเต้นอีกครั้ง! แล้วก็ใช้มืออีกข้างจ่อปากเวอร์เนลไว้ค่อยๆใช้เวทย์ลมสร้างเป็นลมหายใจ!
ทีนี่ล่ะ กลับมาซะเวอร์เนล!
“…กะฮะ”
เยี่ยม กลับมาแล้ว!
กิริกิริเซฟฟุ! นักกีฬาเอลริสฟอร์มดีจริงๆครับวันนี้!
ทำโฮมรันพลิกสถานการณ์ได้อย่างงดงามจริงๆครับท่านผู้ชม!
ชั้นดึงเวอร์เนลกลับมาจากความตายได้แล้ว แต่ก็ยังไม่เสร็จดีนักเพราะมันยังไม่ตื่นมา น่าจะไม่มีปัญหาใหญ่อะไรแล้วล่ะ แต่ก็ว่าแล้ว ชุบคนตายกลับมานี่ไม่ง่ายเลย
เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่ชั้นทำแบบนี้ เลยไม่รู้ว่าจะมีผลข้างเคียงอะไรรึเปล่า พลาดอะไรขึ้นมาล่ะยุ่งเลย
เพราะงั้น—เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง ยิงต่อเนื่อง โทษนะ แต่พวกแกคงต้องตายได้แล้วล่ะเจ้าพวกปีศาจเอ๋ย
“เลย์ล่า! พาเวอร์เนลคุงไปที่โบสถ์ใกล้ๆทีจ้ะ!”
“คะ-ค่ะ!”
หลังจากจัดการพวกปีศาจซะเรียบแล้ว ชั้นก็ปล่อยให้พวกอัศวินจัดการเก็บกวาดแล้วก็ให้เลย์ล่าเป็นคนอุ้มเวอร์เนล ในโลกนี้ไม่มีโรงพยาบาลหรือคลินิกเป็นเพราะว่ามีของสะดวกสบายอย่างเวทย์รักษาอยู่ การแพทย์เลยไม่คืบหน้า ผู้คนจึงไปใช้บริการรักษาจากทางโบสถ์แทน
อาจจะดูแปลกบ้าง เพราะถึงจะเป็นโบสถ์แต่ก็ยังต้องจ่ายเงินเพื่อทำการรักษา แต่ว่า…
มันก็นะ ทางโบสถ์เองก็ต้องใช้เงินนี่นา ใช่ว่าจะอิ่มทิพย์ซะหน่อย โลกก็เป็นงี้แหละ ไม่ต้องคิดมากไป
แล้วก็เพราะว่าโบสถ์ในโลกนี้บูชาเซนต์ ชั้นจึงถือว่าเป็นเหมือนผู้นำในทางศาสนาอะไรแบบนั้น
ชั้นสามารถเข้าออกได้ตามใจเลย
…จริงๆก็แค่ผู้นำในชื่อน่ะนะ ประมุขตัวจริงของศาสนาน้คือตาแก่ที่มีตำแหน่งเป็น อาร์คบิชอป
เพราะว่าเซนต์จะต้อถูกเปลี่ยนเป็นแม่มดในวันใดวันหนึ่ง จึงไม่สามารถเป็นผู้นำตัวจริงได้อยู่แล้วล่ะนะ เซนต์เลยเป็นเหมือนสัญลักษณ์บนหิ้งซะมากกว่า
แต่ชั้นเป็นของเก๊นะเออ
ไงก็ตาม ชั้นสามารถที่จะใช้โบสถ์ได้ตามใจชอบเลย
ตอนที่เวอร์เนลโดนหามไปที่เตียง ชั้นก็ใช้อำนาจเพื่อขอยืมห้องครัวมาใช้—เพราะว่าถ้าปล่อยไว้อย่างนั้น เจ้าพวกนี้ก็คงไม่เอาอาหารดีๆอะไรมาให้หรอก
สาวกของโบสถ์จะแบ่งเป็นสองประเภท พวกชั้นล่างที่ไม่รู้ความจริง และคิดว่าเซนต์เป็นผู้นำตัวจริงของศาสนา
พวกนั้นเชื่อในการใช้ชีวิตอย่างสำรวม คิดว่ากินเพื่ออยู่ก็พอแล้ว
เลือกที่จะไม่กินเนื้อสัตว์หรือเนื้อปลา และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่ได้รับอนุญาตก็มีแค่ชีสเท่านั้น
ถ้าปล่อยให้พวกนี้เข้าครัว อาหารที่ออกมาก็จะไร้รสชาติแถมมีปริมาณพอแค่ให้หนูแทะ
เพราะว่าชั้นถือครองตำแหน่งเซนต์อยู่ ก็เลยถูกเชิญไปเข้าร่วมงานพิธีอะไรพวกนั้นหลายครั้งแล้ว
เมนูอาหารก็มีแค่ขนมปังที่แข็งระดับตีหัวหมาแตกกับผักโง่ๆเหี่ยวๆเอาไปลนไฟนิดหน่อย
อยากจะถามเหลือเกินว่าเข้าใจบ้างมั้ยว่า การทำอาหาร มันแปลว่าอะไรน่ะ
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งก็คือพวกที่ถือครองอำนาจตัวจริง เจ้าพวกนี้จะมีชีวิตที่หรูหราและฟุ่มเฟือย
เจ้าพวกนี้กินผัก ปลา เนื้อได้ตามใจชอบ แต่ห้ามไม่ให้พวกชนชั้นล่างกิน เพราะส่วนของตัวเองจะลดลง
เพราะว่าอยากจะเก็บอาหารดีๆไว้ให้พวกตัวเองเท่านั้น ก็เลยบอกพวกที่ด้อยการศึกษาไปว่าการกินอยู่อย่างหรูหรานั้นเป้นบาป ก็ปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาอย่างนั้นแหละ
ชั้นก็เคยถูกเชิญไปงานเลี้ยงแบบนั้นเหมือนกัน ได้แต่ตั้งคำถามว่า ไอ้แบบนี้มันชีวิตแบบสำรวมตรงไหนกัน ทั้งที่ออกกฏเคร่งครัดกับชนชั้นล่างขนาดนั้นแท้ๆ
เอาจริงๆอาหารแบบนั้นก็ไม่ได้ถูกปากชั้นเท่าไรหรอกนะ
ง่ายๆก็คือ ในครัวตอนนี้ไม่มีวัตถุดิบดีๆเลย
มีเศษผัก ธัญพืชคุณภาพต่ำ ผลไม้โง่ๆ เหล้าแล้วก็น้ำ จากนั้นก็ขนมปังแข็งๆกับชีสที่เป็นอาหารที่กักเก็บได้นาน
จะเอาอาหารหมาไม่แดกไปให้เวอร์เนลที่เพิ่งรักษาตัว ไม้สิ เพิ่งฟื้นจากความตายเสร็จมาหมาดนี่ก็โหดร้ายเกินไป กระทั่งสำหรับคนที่มีมโนธรรมเล็กกระจ้อยร่อยเท่ามะเขือเทศสีดาแบบชั้นก็เถอะ
ไม่ต้องรอแล้ว มาทำอาหารแบบสั่วๆกันดีกว่า!
ชั้นหยิบพวกเศษผักที่เตรียมจะถูกเอาไปทิ้งขึ้นมา
พวกคนอื่นๆรวมทั้งเลย์ล่าและเหล่าอัศวินได้แต่ทำหน้างงๆ คงจะคิดว่า “จะเอาขยะแบบนี้ไปให้คนป่วยกินเนี่ยนะ?” อะไรแบบนั้นแหงเลย แต่ชั้นก็ไม่ใส่ใจหรอกนะ
จากนั้นชั้นก็เทน้ำใส่หม้อ โยนเศษผักที่ล้างแล้วลงไปราวกับโยนทิ้งถังขยะ ใส่เหล้านิดหน่อยจากนั้นก็เร่งไฟ! ทำแบบนี้เพื่อให้กลิ่นผักเหี่ยวๆหายไป
จากนั้นชั้นก็ปล่อยให้มันต้มอยู่ประมาณยี่สิบนาที แล้วจะทำยังไงกับรสขมน่ะเหรอ? ใครสนล่ะ? ตูไม่ได้กินเองนิ
เอาน้ำออกผ่านกระชอน
เสร็จละ!
อาหารคู่มือชายโสด ซุปผัก!
ราคาถูก ทำง่าย แถมยังเร็วด้วย นอกจากนั้นยังรสชาติพอใช้ อุดมด้วยวิตามินซะด้วย
โอเคเลย์ล่า มาชิมซิ
“เอ๋? แต่ท่านเอลริสคะ…ไม่ใช่ว่านี่คือ เอ่อ เศษผักเหลือทิ้ง… ไม่ใช่ว่าท่านทำซุปจาก…ขยะเหลือหรอกหรือคะ?”
เฮ้ เสียมารยาทนา
เลย์ล่ามาจากตระกูลขุนนางคงจะไม่เคยกินอะไรแบบนี้ แต่พอชั้นยื่นช้อนไปใกล้ เธอก็หน้าแดงแล้วจึงยอมกิน
“หืม…!? นี่มัน…รสชาติดีมากเลยค่ะ!? ทั้งที่ท่านเพียงแค่ต้มเศาผักที่เหลือแท้ๆ…”
เออ โทษนะที่ทำแค่นั้นน่ะ
แต่ก็มีแค่พวกขุนนางเท่านั้นแหละที่มองเศษผักพวกนี้เป็นขยะน่ะ ถ้าเป็นชาวบ้านปกติก็คงกินกันได้แหละ
มีแต่พวกชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะสามารถมองว่าเศษผักนั้นไร้ค่าได้
วิธีคิดแบบนั้นน่ะไม่เข้าท่า ชั้นเลยบอกให้พวกระดับสูงของโบสถ์เอาซุปผักไปแจกจ่ายซะ
ยังไงสำหรับทางโบสถ์แล้วของพวกนี้ก็เป็นแค่เศษเหลือทิ้ง ให้ไปก็ไม่มีอะไรเสียอยู่แล้ว
มันจะทำให้ภาพลักษณ์ของทางโบสถ์ดูดีขึ้น ทำให้โดนชื่นชมและกอบโกยเงินบริจาคได้ง่ายขึ้น
การทำเรื่องดีโดยมีจุดประสงค์ที่ดีน่ะเป็นเรื่องยาก เพราะว่าจะต้องเป็นการทำโดยไม่คำนึงถึงสิ่งตอบแทนหรือประโยชน์ใดๆ
ถ้าเอาแต่ให้อย่างเดียวล่ะก็ สุดท้ายแล้วก็จะไม่เหลืออะไรเลย
โลกนี้น่ะมันดำเนินด้วยระบบกิฟแอนด์เทค การจะทำความดี ก็จำเป็นต้องคิดถึงสิ่งที่จะได้รับคือด้วย
การทำความดีด้วยใจที่บริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์น่ะดูดีก็จริง แต่คำถามก็คือ…มันจะไปได้สักแค่ไหนกันเชียว?
สำหรับชั้นแล้ว ไม่มีอะไรที่น่าเชื่อถือน้อยไปกว่าการทำดีโดยไม่หวังอะไรตอบแทนเลย
มนุษย์น่ะไม่ใช่สัตว์ที่เมตตาอะไรขนาดนั้นอยู่แล้ว
พวกเบื้องบนของโบสถ์ก็คงเข้าใจในเรื่องนี้ เลยยอมรับคำขอของชั้นเพราะว่ามันจะเป็นผลประโยชน์
พวกมันบอกว่าจะเริ่มแจกจ่ายซุปผักตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป จากนั้นภาพลักษณ์ของโบสถ์ก็จะพุ่งขึ้นสูง และให้การสนับสนุนโบสถ์แห่งเซนต์มากขึ้น
จริงๆแค่นี้ก็เอาให้เวอร์เนลได้แล้วล่ะ แต่…เพิ่มอะไรสักหน่อยแล้วกัน
เพื่อกระตุ้นความอยากอาหาร ชั้นก็ขูดกระเทียมใส่ลงหม้อ แล้วก็เทซุปผักเมื่อกี๊ลงไปต้มเพิ่ม
ระหว่างที่ต้มก็ใส่ข้าวลงไป เคี่ยวด้วยความร้อนปานกลางจนน้ำเริ่มระเหย
ใส่เกลือปรุงรสนิดหน่อย…จากนั้นก็ใช้เวทมนตร์ป่นชีสให้เป็นผงแล้วก็เทโปะหน้าไป ได้มาเป็นอะไรที่คล้ายๆกับรีซอตโต้
มีสารอาหาร แต่ก็เบาพอจะให้ผู้ป่วยกินได้ เป็นอาหารที่ใครๆก็ทำได้ด้วยวิตถุดิบที่มีอยู่ทั่วไป
ชั้นทำแบบไม่ใส่ใจเหรอ? …หนวกหูน่ะ ชายชาตรีเค้าก็ทำอาหารกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ
ก็อยากจะใส่พริกไทยลงไปด้วยน่ะนะ แต่ในโลกนี้พริกไทยถือเป็นของหรูหรามากๆ ฉะนั้นเวอร์เนลเอาไปเท่านี้ก็พอแล้วล่ะ
พอชั้นทำเสร็จ อัศวินคนนึงก็เข้ามารายงานว่าเวอร์เนลตื่นแล้ว
ข่าวดีนะเนี่ย ชั้นเลยไปหาเจ้านั่นในทันทีเลย นึกว่าจะหลับนานกว่านี้อีกหน่อย แต่ตอนนี้ต้องด่าให้จำก่อนว่าอย่าทำอะไรบ้าๆแบบนั้นอีก
ไม่ต้องมาปกป้องชั้นเลย มันไม่เกิดประโยชน์อะไรหรอก
หมอนี่พยายามจะเถียงอีกว่า “แบบนั้นก็ไม่ต่างจากให้ท่านสู้คนเดียวเลยไม่ใช่หรือ”
ก็ขอบอกตรงๆเลยแล้วกันว่าชั้นจัดการทุกอย่างคนเดียวได้
ปกติคนมักจะเข้าใจสิ่งที่ชั้นพูดผิดไป คิดเองเออเองกันทั้งนั้น…ฉะนั้นครั้งนี้ต้องพูดกันตรงๆให้รู้เรื่อง
ชั้นคนเดียวก็พอแล้ว! พวกแกมันกาก เพราะงั้นก็ถอยไปซะ!
พอพูดแบบนั้นเขาก็เงียบลงไป ค่าความชอบลดแล้วล่ะมั้ง? เอาเหอะ ดีกว่าไปตายแล้วกัน
แต่ชั้นก็ไม่ลืมที่จะเตือนเวอร์เนลให้ดูแลร่างกายตัวเองให้ดีกว่านี้ แหม ทำไมตูข้าถึงเป็นคนดีที่ขี้เป็นห่วงผู้อื่นอะไรขนาดนี้กันนะ
.
ไม่ใช่ว่าเขาเลือกที่จะทำเช่นนี้โดยไม่คิด แต่ร่างกายของเขาขยับไปเองก่อนที่จะรู้ตัวเสียอีก
มหามารพุ่งตรงเข้ามาเพื่อจะโจมตี แต่เอลริสกลับไม่หลบไปทั้งที่สามารถทำได้ เพราะว่าด้านหลังของเธอมีนายทหารที่ตัวแข็งทื่อจากความกลัวอยู่
อาจจะเป็นลูกขุนนางสักคนที่ถูกส่งมาที่สนามรบเพราะกำลังคนไม่พอ แต่เพราะว่าไม่คุ้นเคยกับสนามรบ เขาจึงเลือกที่จะยืนอยู่แนวหลังใกล้กับเอลริส
ไม่ใช่การตัดสินใจที่แย่ ถึงอยู่ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้มากอยู่แล้ว แต่เพราะแบบนั้น เขาจึงกลายมาเป็นตัวถ่วงให้แก่เอลริส
“ถ้าชั้นหลบการโจมตีนี้ไป นายทหารด้านหลังชั้นจะตาย…” เธอคงจะคิดแบบนี้อยู่อย่างแน่นอน เพราะแบบนั้นแทนที่เธอจะหลบไป เธอกลับกางแขนเพื่อเป็นโล่ให้แก่ทหารนายนั้น
ความคิดของเวอร์เนลยุ่งเหยิงไปหมดเมื่อเห็นภาพนั้น
อา อีกแล้ว…อีกครั้งแล้วสินะที่คนคนนี้พยายามที่จะปกป้องผู้อื่นแม้จะต้องเอาตัวเองเข้าแลก
เธอจะไม่ทอดทิ้งใครไป
เธอจะให้ความสำคัญกับผู้อื่นเหนือตัวเองเสมอ จิตใจอันดีงามของเธอพยายามที่จะช่วยเหลือทุกคนโดยไม่คิดคำนึงถึงสิ่งตอบแทน
เป็นภาพที่งดงาม สดใส เป็นประกาย แต่ก็เลือนลางเหลือเกิน
โลกนี้น่ะไม่ได้ใจดีถึงขนาดที่ผู้คนจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยความเมตตาเพียงอย่างเดียว
จิตใจของมนุษย์นั้นเต็มไปด้วยความโลภและผลประโยชน์ ไม่สวยงามเลยสักนิด เพราะแบบนั้นแล้ว ผู้ที่มีจิจใจงดงามอย่างแท้จริงเช่นเธอจึงมีชีวิตที่เลือนลาง
เมื่อเขาคิดเช่นนั้น ร่างกายของเขาก็ขยับไปเอง
เขารู้ดีว่าเอลริสนั้นแข็งแกร่ง การต่อสู้ที่ผ่านมาแสดงเรื่องนั้นให้เห็นอย่างชัดเจน
เขารู้ดีว่าเธอนั้นยืนอยู่ในจุดสูงเกินกว่าเขาจะเอื้อมถึงได้
ถึงจะถูกมหามารโจมตี เธฮก็คงจะสามารถรับมือได้ด้วยตัวเองแม้จะไม่มีใครช่วย
เธอคงจะไม่เป็นไร สีหน้าของเธอเองก็ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว
หลังจากสงบลงแล้ว พอลองดูดีๆ เวอร์เนลก็เข้าใจได้ว่าการกระทำของเขานั้นไร้ความหมาย
ถ้าเขาหยุดคิดดีๆ ก็คงจะมองภาพรวมได้ชัด และเลือกคำตอบที่ถูกต้องอย่างการ ถอยไปตั้งหลัก ออกมาได้
ถึงจะพยายามปกป้องเธอ ก็มีแต่จะเกะกะซะเปล่าๆ
แต่เขาไม่มีเวลาคิด ในตอนนั้นนั้นเขามีเวลาเลือกทางเลือกอยู่เพียงไม่กี่วินาที…ส่งผลให้เวอร์เนลเลือกคำตอบที่ผิด
ความเจ็บปวดของแารถูกแทงนั้นอยู่เพียงชั่วขณะ ในพริบตานั้นภาพตรงหน้าเขาก็ดับลง
แม้เป็นเพียงชั่วขณะ แต่เขาก็เข้าใจได้ว่าตัวเองกำลังตาย เขาสัมผัสได้
“…ผมยังมีชีวิตอยู่”
พอตื่นขึ้นมา ความรู้สึกแรกที่มีเลยก็คือความสงสัย
แม้จะยินดีที่ตัวเองยังไม่ตาย แต่ก็ได้แต่สงสัยว่าทำไมเขาถึงยังมีชีวิตรอด
เขารู้ว่าตัวเองนั้นตายคาที่—ความรู้สึกที่กล้ามเนื้อถูกเสียบแทง ความรู้สึกที่กระดูกถูกบดขยี้…ความรู้สึกที่หัวใจของเขาถูกทำลาย
จิตสำนึกค่อยๆลอยออกจากร่าง สัมผัสของเขาถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเงามืดของความตาย
เขารู้สึกเช่นนี้จริงๆ
ไม่ว่าจะคิดยังไง เขาก็ไม่น่าจะฟื้นกลับมาได้ แต่เขาก็อยู่ที่นี่แล้ว ในภพของคนเป็น…และคนที่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้นั้น…มีอยู่คนเดียว
“อ๊ะ เวอร์เนลคุง… ตื่นแล้วหรือจ๊ะ ดีใจจัง”
เซนต์ผู้นั้นที่อยู่ในความคิดของเขาเดินเข้ามาในห้อง สิ่งแรกที่เขาคิดเลยก็คือความรู้สึกดีใจที่เธอไม่เป็นอะไร
หลังจากนั้นเขาก็สังเกตเห็นถาดที่เธอถืออยู่ กลิ่นหอมที่โชยมาแตะจมูกทำให้ท้องของเขาเริ่มร้อง
เอลริสหัวเราะเบาๆกับเสียงนั้น และวางถาดนั้นไว้ด้านหน้าของเวอร์เนล
“อาหารง่ายๆน่ะจ้ะ แต่ชั้นใช้วัตถุดิบที่ย่อยง่ายแล้ว พอจะทานได้หรือเปล่าจ๊ะ?”
“คะ-ครับ คงจะไม่เป็นไรครับ…เอ่อ นี่คือ ท่านเอลริสเป็นคนทำเองหรือครับ?”
“ใช่จ้ะ”
อาหารทำมือของเอลริส…แค่ได้ยินแบบนั้นก็ทำให้เวอร์เนลตัวแทบลอยขึ้นฟ้าแล้ว เขาจะคู่ควรที่จะได้ลิ้มรสอาหารที่ทำโดยตัวเซนต์เองได้อย่างไร
อาหารที่ถูกทำมานั้นดูประหลาด เป็นข้าวที่มีสีแปลกๆแต่ส่งกลิ่นหอมของผัก สีนั้นออกจะส้มๆหน่อย
กลิ่นกระเทียมเตะจมูก กระตุ้นความอยากอาหารเข้าไปอีก
เขายกช้อนไม้ตักเข้าปาก ทันใดนั้นเอง ความหวานของข้าวและรสอุมามิของผักก็กระจายไปทั่วปาก
รสชาตินี้ยิ่งถูกยกระดับขึ้นไปอีกด้วยความเค็มของเกลือและความหอมของกระเทียม ความนุ่มนวลของชีสทำให้สัมผัสของทุกวัตถุดิบเข้ากันได้พอดิบพอดี
เป็นรสชาติที่ยอดเยี่ยมมาก เป็นการตัดสินอย่างไม่ลำเอียงก่อนที่เขาจะจำได้ว่าเอลริสเป็นคนทำเสียอีก
“มันอร่อย…อร่อยมากเลยครับ!”
“ดีใจที่ชอบนะจ๊ะ”
เอลริสยิ้มอย่างยินดีให้กับท่าทีของเวอร์เนล
หลังจากนั้นเวอร์เนลก็จดจ่อกับการกินไปสักพัก เมื่อเขากินเสร็จ เอลริสก็ถามเสียงต่ำ
“เวอร์เนลคุง ทำไมเธอถึงทำอย่างนั้นล่ะ?”
คงจะเป็นเรื่องที่เขาพยายามปกป้องเธอ
ถึงจะถูกถามแบบนั้น เขาเองก็ไม่รู้คำตอบ
บอกได้แค่ว่าตัวเขาขยับไปก่อนที่จะรู้ตัว
เขาจะต้องปกป้องเธอให้ได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม…มันก็แค่นั้น
“ไม่รู้เหมือนกันครับ…ร่างกายของผมขยับไปเอง ผมคิดว่าจะปกป้องท่านได้ ผมถึง…”
“ชั้นดีใจที่เธอคิดแบบนั้นนะจ๊ะ แต่ขอร้องล่ะ อย่าทำแบบนั้นอีกเลยนะ ถ้าเธอจะต้องเสียสละตัวเอง…ไม่สิ ไม่ใช่แค่เธอ ไม่มีใครสมควรที่จะต้องมาเสียสละเพื่อชั้น”
ต้องมาเป็นตัวแทนของตนเอง และต้องรับเคราะห์เพราะเหตุนั้น
สำหรับเด็กสาวที่จิตใจดีจนเกินไปคนนี้แล้ว นี่อาจจะเจ็บปวดยิ่งกว่าการที่ตนเองต้องรับเคราะห์เสียอีก
แต่เวอร์เนลเองก็เหมือนกัน
เทียบกับการที่ตนเองต้องเจ็บ เขาอยากที่จะปกป้องเธอมากกว่า
ทั้งคู่คิดถึงคนอื่นมากกว่าตนเอง และเพราะแนวคิดที่คล้ายกันเช่นนั้น กลับทำให้ทั้งสองขัดแย้งกัน
“แต่ถ้าเป็นแบบนั้น…ท่านเอลริสเพียงคนเดียวก็จะต้อง…”
“ดีแล้วจ้ะ”
เอลริสเพียงคนเดียวที่ต้องเจ็บปวด เวอร์เนลถูกขัดเอาไว้ก่อนที่จะพูดจบประโยค การตัดสินใจของเธอนั้นเด็ดขาดและสามารถรับรู้ได้จากคำพูดของเธอ
“มันควรจะมีแค่ชั้นคนเดียวมาตั้งแต่ต้นแล้ว ถ้าเพียงชั้นต้องรับเคราะห์อยู่คนเดียว ก็จะไม่มีใครต้องเจ็บปวดอีก ไม่ว่าจะเป็นพวกอัศวินหรือเลย์ล่า…หรือว่าเธอเองก็ด้วย เพราะแบบนั้น การจะเอาชีวิตตัวเองมาทิ้งเพื่อช่วยชั้นน่ะ อย่าได้คิดทำอีกเลยนะ”
ถึงเธอจะต้องแบกรับความเจ็บปวดไว้คนเดียวก็ไม่เป็นไร
ภาพของเซนต์ผู้ยิ่งใหญ่ แผ่รัศมีเรืองรองไปยังทุกที่ที่เธอผ่าน ไม่เคยคิดถึงตัวเองเลย
เธอถูกเรียกว่าเซนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ก็เพราะว่าเธอนั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว
เพื่อปกป้องผู้อื่น มีแค่เธอคนเดียวที่ต้องทนรับความเจ็บปวด…และจะเป็นเช่นนี้ต่อไปจนกระทั่งเธอจากไป
เวอร์เนลรู้สึกได้ถึงความโดดเดี่ยวนั้น
เธอนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าใคร สูงส่งยิ่งกว่าใคร
แต่เวอร์เนลนั้นอ่อนแอ ไม่คู่ควรที่จะยืนเคียงข้างเธอ
แม้เขาจะฝึกพิเศษกับครูใหญ่ฟ็อกซ์และเลย์ล่า และรับรู้ว่าตัวเองนั้นแข็งแกร่งขึ้น…แต่จากการต่อสู้ที่ผ่านมา เขาก็ตระหนักได้ว่าเขายังอยู่ห่างจากเอลริสเป็นพันเป็นหมื่นก้าว
แตกต่างกันราวที่ราบกับยอดเขาสูงเหนือเมฆ ถึงจะพยายามแค่ไหน เขาก็ยังสูงได้เดียงระดับของบ้านสองชั้น พวกเขานั้นแตกต่างกันถึงขนาดนั้น
“ถึงผมจะอ่อนแอ แต่…ผมก็อยาก…ที่จะปกป้องท่าน…”
“เวอร์เนลคุง เธอน่ะไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำแบบนั้นได้หรอก ชั้นจะพูดให้ชัดเจนนะ…ถึงแม้ว่าเธอพยายามที่จะปกป้องชั้น แต่เธอก็มีแต่จะสร้างปัญหาให้ เป็นแค่ภาระสำหรับชั้น”
เป็นคำตอบที่ไร้ความปราณี
ความลังเลของเวอร์เนลถูกเอลริสผ่าออก ประกาศอย่างชัดเจนเลยว่าเขานั้นอ่อนแอ
เธอมีเหตุผล ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถแย้งในเรื่องนั้นได้
เอลริสหันหลังให้แก่เวอร์เนลที่พูดไม่ออก และก็จับลูกบิดประตู
แต่เธอคงจะไม่อยากจากไปทั้งอย่างนั้น เธอจึงเปลี่ยนกลับมาเป็นน้ำเสียงที่ใจดีเช่นเดิม
“…ถึงแม้เธอจะฟื้นกลับมาแล้ว แต่ก็ต้องพักผ่อนให้มากกว่านี้นะจ๊ะ อย่าฝืนตัวเองมากเกินไป”
พอพูดจบ เอลริสก็ออกจากห้องไป
น่าท้อแท้นัก
ไม่ใช่เพราะว่าเอลริสบอกว่าเขาอ่อนแอ
แต่เพราะว่าเขานั้นดูน่าสมเพชแค่ไหนหลังจากที่เธอพูดเช่นนั้น
เอลริสบอกว่าเขานั้นอ่อนแอด้วยน้ำเสียงเย็นชา นี่เป็นวิธีที่เธอใช้เพื่อผลักไสเขาออกจากภัยอันตราย
เขารู้เรื่องนี้ดี แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกท้อแท้
เอลริสไม่ได้มองว่าเขาจะปกป้องเธอได้ แต่เป็นเธอเองที่ต้องปกป้องเขา…สำหรับลูกผู้ชายแล้ว ไม่มีความสมเพชใดที่หนักหนาไปกว่านี้อีกแล้ว
‘ผมจะต้องแข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่านี้’
เวอร์เนลยังคงไม่ยอมที่จะปล่อยความหวังนี้ไป