สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค - ตอนที่ 48 ฟุโดว นิอิโตะ
ตั้งแต่ที่เขาเริ่มรู้สึกตัวว่าตัวเองนั้นบิดเบี้ยวต่างจากคนอื่นก็ผ่านมานานแล้ว
ฟุโดว นิอิโตะ น่ะพังมาตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว
เขาพังตรงจุดไหนน่ะเหรอ? จะให้ชี้เป็นจุดๆเลยมันก็ยาก
มันไม่ใช่อะไรที่จะสามารถบอกได้ง่ายๆ อย่างน้อยที่สุด—ถ้ามองแค่ภายนอก ชีวิตเขาก็พอจะเรียกได้ว่าปกติ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่แสดงอารมณ์หรือแสดงมันมากเกินไปด้วย เขาไม่ใช่คนดี แต่ก็ไม่ใช่อาชญากรเช่นกัน
เขาไม่ได้ทำผิดกฏหมาย แต่ก็เคยคิดถึงมันมาก่อน
เขาอิจฉาพวกที่โชคดีกว่า แต่ก็ดูถูกคนที่ไม่มีชีวิตดีเท่าตัวเอง
เป็นคนประเภทที่สามารถเจอได้ทุกที่ ธรรมดา…บิดเบี้ยวเล็กน้อยและไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนดี…แต่ก็ยังสามารถหาเจอได้ทุกที่
ภายนอกดูจริงจังแต่ภายในกำลังคิดถึงเรื่องตลกอยู่…แต่นั่นก็ใช่ว่าจะแปลก ในยุคสมัยนี้ พวกที่ทำตัวกร่างในเน็ตแต่ความจริงเป็นแค่คนอ่อนแอก็มีอยู่ถมเถไป
อย่างน้อยที่สุด ก็ไม่มีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับเขาที่สามารถเห็นได้ในทันที
ไม่ใช่ว่าเขาจะมีงานอดิเรกในการทำร้ายสัตว์ขนาดเล็กหรือแมลง งานอดิเรกของเขาก็ปกติสำหรับคนยุคใหม่ ดูหนังต่างประเทศและเสพเรื่องราว
บางคนอาจจะมองว่านั่นแปลก แต่ก็ยังเป็นความแปลกแบบทั่วไป
เป็นระดับที่ว่า “เขาอาจจะแปลกนิดหน่อย แต่ที่ไหนก็มีคนแบบนี้”
แต่เขาเป็นคนที่บิดเบี้ยวอย่างแน่นอน
ยกตัวอย่างเช่น ในสมัยที่เขายังเด็ก—
ในระหว่างที่เดินไปโรงเรียน เขาพบศพหนึ่งอยู่บนถนน เป็นร่างของแมวที่ตายจากการถูกรถชน
เพื่อนๆของเขาหวาดกลัวและพยายามที่จะไม่หันไปมอง
แต่ฟุโดวกลับไม่รู้สึกถึงความกลัวหรือความขยะแขยงใดๆทั้งที่มองมันอยู่ตรงๆ
อาจจะรู้สึกสงสารเจ้าแมวอยู่บ้าง ไม่ก็รู้สึกว่าคนขับรถที่ชนแมวนี่ไม่มีความรับผิดชอบเลย
แต่ที่สุดแล้ว เขาก็ขาดซึ่ง”บางอย่าง”ที่คนอื่นๆมีไป
ยกตัวอย่างเช่น ในสมัยที่เขายังอยู่ชั้นมัธยมต้น—
มีเพื่อนร่วมชั้นหญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่เพียงเพราะว่าเธอไปเตะตาเพื่อนร่วมชั้นชายคนอื่นเข้า เธอจึงถูกรังแกโดยกลุ่มนักเรียนชาย
นักเรียนชายจำนวณมากกับเด็กผู้หญิงคนเดียวน่ะเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว เธอจึงกลายเป็นเหมือนของเล่นเพื่อความหรรษาของคนอื่นๆไป
พวกเขาทำร้ายเธอ ทำให้เธอร้องไห้ และอัดคลิปเสียงร้องของเธอเอาไว้ในโทรศัพท์
เขารู้สึกรังเกียจการกระทำเช่นนั้น คุณธรรมในใจเขาบอกว่านี่เป็นเรื่องที่ผิด
เขาจึงจะรังแกพวกมันคืนบ้าง
ไม่ใช่ว่าเขาถูกรังแกเอง และเชาก็ไม่ได้สนิทอะไรกับนักเรียนหญิงคนนั้นด้วย
ในตอนแรก เขาพยายามที่จะตีสนิทกับกลุ่มนักเรียนชายพวกนั้น
แต่เขาไม่สามารถทนพวกน่ารังเกียจนี้ได้ เขาจึงพยายามที่จะเปลี่ยนเป็นวิธีอื่นที่ตัวเองยอมรับได้
เขาจึงพยายามที่จะเกลี้อกล่อมหัวโจกให้เลิก–แต่ก็ไม่สำเร็จ เขาจึงต่อยหัวโจกคนนั้นเข้าให้
แน่นอนว่าหัวโจกเองก็พยายามสู้กลับ แต่ฟุโดวกลับไม่รู้สึกอะไรเลย
ก็ใช่ว่าจะไม่เจ็บ เอาจริงๆแล้วคือเจ็บมากด้วย แต่ถ้าเขาถูกต่อยก็จะต้องต่อยคืนเป็นสองเท่า เขาจึงเหวี่ยงหมัดต่อไป
ไม่ว่าจะช่วงพักเบรก ระหว่างคาบ ในช่วงทัศนศึกษา ถ้าเขาเห็นหัวโจกคนนั้น ก็จะพุ่งเข้าไปต่อย ครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อยจนกว่าจะร้องไห้
ไม่ว่าจะถูกครูดุสักกี่ครั้ง ไม่ว่าจะโดนเชิญผู้ปกครองมาเทศน์ เขาก็ยังไม่ยอมเลิก
ครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดอีกฝ่ายก็ไม่ยอมมาโรงเรียนอีกเลย…เขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่เด็กขี้รังแกคนอื่นแทน
‘อา สนุกจังเลย’
‘ในที่สุดชั้นก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าพวกนั้นถึงทำเรื่องน่ารังเกียจแบบนี้’
‘สนุก สนุกมากเลย เสพติดได้เลยนะเนี่ย’
‘ได้ทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่า แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม รู้สึกดีเป็นบ้า’
ถ้ามองอย่างเป็นกลาง ก็จะเห็นได้ว่าฟุโดวในช่วงเวลานี้น่าสะพรึงกลัวมากแค่ไหน
แต่ในขณะเดียวกัน จิตใจของฟุโดวก็ยังเป็นไปตามปกติ
ในตอนที่ต่อยหรือถูกต่อย เขารู้สึกว่าตัวเองนั้นอยู่บนโลกอื่น ทำทีเหมือนกับว่ากำลังบรรยายการแข่งเกมให้กับผู้ชมที่ไม่มีตัวตนอยู่
โอ้ ผู้เล่นนิอิโตะจัดท่าไม้ตายใหญ่แล้วครับ! คริติคัลฮิต!
อู้ว โดนเคานเตอร์เข้าให้แล้วล่ะครับท่านผู้ชม! สถานการณ์ชักจะไม่สู้ดีกับทางฝั่งนี้แล้ว!
เขายังไม่ยอมครับ! หมัดตรงเมกะตันพันช์! สำเร็จแล้วครับท่านผู้ชม! เขาสามารถก้าวข้ามความแม่นยำต่ำเตี้ยเรี่ยดินของตัวเองและโจมตีโดนจุดอ่อนได้ในที่สุด!
ไปเลย พั๊นจิ! ตู้ม
KO! อีกฝ่ายน็อกไปแล้วครับท่านผู้ชม! ผู้เล่นนิอิโตะคว้าชัยชนะมาได้สำเร็จ!
ตูนี่โคตรเก่งเลยเว้ย!
ถ้าลองเรียบเรียงความคิดของเขาเป็นบทพูด ก็คงจะออกมาประมาณนี้
ถึงเข้าจะสู้กับคนอื่นๆไปมากเท่าไร ในใจของเขาก็ยังคิดถึงแต่ฉากแบบนี้ แน่นอนอยู่แล้วว่ามันแปลก
เหมือนกับตอนที่เขาเล่นเกมหรืออ่านการ์ตูนกับเพื่อนฝูง–เขายังเป็นฟุโดว นิอิโตะอารมณ์ดีคนนั้นคนเดิม
ในช่วงเวลาที่เขาเป็นแบบนั้น เขาไม่ได้รู้สึกถึงความเกลียดชังหรือความโกรธใดๆเลย
บางครั้งเขาก็รู้สึกผิดเล็กน้อย บางครั้งเขาก็รู้สึกถึงความเมตตาที่ก่อตัวขึ้นในใจ
หลังจากที่เขารังแกพวกเด็กอันธพาลทุกคนจนพวกนั้นไม่กล้ามาโรงเรียนอีกแล้ว เขาก็เดินเข้าหานักเรียนหญิงที่ถูกรังแกคนแรกราวกับเขาเป็นผู้ช่วยชีวิตเธอ
ไม่เป็นไรแล้วล่ะ คนพวกนั้นถูกปิดปากไปหมดแล้ว
ในระหว่างที่พูดแบบนั้น เขาก็รู้สึกว่าจัวเองกำลังปักธงบางอย่าง หรือไม่ก็แบบ ถ้าเธอเกิดหลงรักชั้นขึ้นมานี่แย่เลยน้า–เป็นความคิดปกติที่ไม่ปกติแบบนั้น
“อย่านะ…อย่าเข้ามานะ! น่ากลัวจะตาย!”
สิ่งที่รอเขาอยู่คือการถูกปฏิเสธ
เมื่อเขามองไปรอบๆ ก็พบว่าสายตาที่คนอื่นๆมองมาที่เขานั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ครูที่เคยปฏิบัติกับเขาตามปกติตอนนี้กลับมองด้วยสายตาเย็นชาเหมือนเขาเป็นเด็กมีปัญหา กระทั่งครอบครัวของเขาเองก็มองเขาเหมือนเป็นขยะ
เขาถูกพักการเรียน และข่าวของเขาเองก็ได้ออกรายการทีวีในเวลาต่อมา
เป็นผลลัพท์ที่แน่นอนอยู่แล้ว…ขนาดคนโง่ยังรู้เลย
เขาเคยอ่านแฟนฟิคห่วยๆที่มีเนื้อเรื่องประมาณว่า “ชั้นกระทืบพวกคนชั่ว แล้วตอนนี้ชั้นก็เนื้อหอมขึ้นมาแล้ว” แต่…ความเป็นจริงน่ะไม่ใช่อะไรอย่างนั้นเลย
คนที่แปลกแบบนั้นคือพวกที่โดนรังเกียจ
ถูกผลักไสโดยสังคม เป็นที่ว่าร้ายนินทา จนในที่สุดฟุโดวก็เริ่มคิดได้–
“อ้า…เข้าใจล่ะ การรังแกผู้อื่นเป็นสิ่งไม่ดี และเพราะว่าชั้นรังแกพวกที่รังแกผู้อื่น ชั้นเลยกลายมาเป็นผู้รังแกซะเอง แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ต้องพิจารณาตัวเองบ้างแล้วสิ”
ตัวเขาเองยังทำตัวตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วคนรอบข้างจะคิดยังไงล่ะ?
แน่นอนว่าเขาเองก็รู้สึกเศร้าที่ถูกครอบครัวและเพื่อนฝูงปฏิบัติด้วยอย่างเย็นชา แต่เพราะเขารู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ จึงไม่เก็บมันมาคิดสักเท่าไร
ถึงอย่างนั้น เมื่อมองจากปฏิกิริยาที่คนอื่นมีต่อเขา เขาก็รู้ตัวแล้วว่าตัวเองนั้นแปลกแยก
แต่ถึงจะรู้อย่างนั้น เขาก็ยังไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
–อ้า เข้าใจล่ะ ชั้นเป็นคนประเถทนั้นนี่เอง…พวกที่ถูกเรียกว่าเป็นขยะน่ะ
เอาเถอะ ขยะก็มีวิธีของขยะที่จะสามารถทำตัวให้กลมกลืนกับสิ่งรอบด้านได้
ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีปัญหาเลย
พยายามนิดหน่อยก็ได้แล้ว
สิ่งที่เขาขาดไปนั่นก็คือ “สัมผัสถึงความเป็นจริง”
เขาคิดว่าตัวเองเป็นเพียงตัวละครในเกมที่ถูกควบคุมอยู่
ในเกมเองก็เหมือนกัน ถ้ามีตัวร้ายที่เลวมากๆก็สมควรถูกเกลียด
เขารู้สึกไม่ดีเมื่อเห็นฉากที่น่าเศร้าที่ตัวละครต้องประสบ เขาจึงพยายามที่จะแก้ไขมัน
มันจะมีตัวละครที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนเลวมากๆในเนื้อเรื่องอยู่ แต่พอเป็นตัวเอกทำเรื่องเลวๆอย่างการฆ่าชิงทรัพย์บ้าง หลับสามารถทำได้อย่างสนุกสนาน ถ้าเทียบกันแล้วตัวร้ายคงจะเลวไม่เท่าด้วยซ้ำ
นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก และมโนธรรมในใจเขาก็ไม่ได้หายไปไหน
ไม่ใช่ว่ามีสองบุคลิกที่ขัดแย้งกันเองในตัว ตัวเขานั้นยังเป็นปกติ
เพราะยังไงซะ สำหรับเขาแล้ว นี่ไม่ใช่ความเป็นจริง
ในโลกของเรื่องราว จะสามารถทำอะไรก็ได้ สนุกเท่าไรก็ได้ตราบเท่าที่ยังอยู่ภายในกฏเกณฑ์ของโลกนั้น
ฟุโดว นิอิโตะเป็นคนแบบนั้น
เขามองโลกจากมุมมองบุคคลที่สาม เขาไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นตัวตนของเขาเองด้วยซ้ำ
เขามองว่าตัวเองเป็นเพียงตัวละครในเกม
เขาเข้าใจดีว่าตัวเองนั้นไม่ปกติ แล้วจึงพยายามที่จะอดกลั้นมันไว้ในใจจนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่
เพราะแบบนั้น เขาถึงเลือกเส้นทางชีวิตที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่นให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขาจึงกลายมาเป็นนักเขียนเว็บและทำงานที่บ้าน
ทั้งความเป็นจริงและงานอดิเรกของเขานั้นยึดติดอยู่กับฟิคชั่น เขาจึงไม่สนใจในชีวิตของตัวเองมากนัก คิดเพียงแค่ว่า “ชีวิตก็อย่างนี้แหละ” ในทางกลับกัน…เขากลับยึดติดกับเรื่องราวในเกมเป็นอย่างมากราวกับว่ามันเป็นเรื่องจริง
เอลริสและฟุโดวนั้นมีเนื้อในที่เหมือนกัน
ทั้งคู่ต่างบิดเบี้ยวในจุดใดจุดหนึ่ง
จริงจังกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่พอเป็นเรื่องที่สมควรจะจริงจังก็กลับทำเหมือนเป็นเรื่องของคนอื่น
แต่ฟุโดวเริ่มที่จะสังเกตได้ว่าเอลริสนั้นเปลี่ยนไป
อาจจะเพราะว่ามีร่างกายที่ต่างกัน หรือไม่ก็เพราะมีการดำเนินชีวิตที่ต่างกัน
ทั้งเอลริสและตัวเขานั้นกำเนิดจากรากเหง้าเดียวกัน แต่ว่า ทีละนิดทีละน้อย…เธอและเขาก็เริ่มที่จะแยกออกจากกัน
นี่เป็นเพียงการคาดเดาที่ไม่มีหลักฐาน
แต่เขาก็คาดหวังอยู่ในใจนิดหน่อย
หากเป็นที่โลกฟากนั้นล่ะก็…กระทั่งตัวเขาเองก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ฝากความคาดหวังให้กับตัวเองอีกคนหนึ่งที่แยกออกจากตัวเขามา ฟุโดว นิอิโตะก็เริ่มเคลื่อนไหว
.
หลังจากที่ผ่านมาหลายสถานี ในที่สุดฟุโดวก็มาถึงสถานที่ตั้งบริษัทเกมที่ถูกเขียนไว้หลังกล่อง
เพราะว่าเป็นบริษัทที่สร้างเกมชื่อดังแบบนั้น เขาก็นึกว่าจะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่จริงๆแล้วก็เป็นแค่บริษัทเล็กๆที่เช่าชั้นของตึกไว้ใช้เป็นพื้นที่บริษัท
มีป้ายติดอยู่กับตัวตึก แสดงให้เห็นชื่อของบริษัทเกม
อยู่ที่ชั้นห้า
ฟุโดวเข้าตึกไปในทันทีและขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่ห้า
เขามาถึงและตรงไปที่ประชาสัมพันธ์ในทันที
“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?”
“ผมเป็นฟรีแลนซ์ชื่อฟุโดว นิอิโตะที่ติดต่อมาทางโทรศัพท์ก่อนหน้านี้น่ะครับ อิจูอินซังอยู่หรือเปล่าครับ?”
“อ๊ะ ค่ะ รอสักครู่นะคะ…อิจูอินซัง! คนที่คุณนัดไว้มาถึงแล้วนะคะ!”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์มีข้อกังขากับรูปลักษณ์ของฟุโดวเล็กน้อย แต่ภายนอกเธอก็ยังคงเป็นมืออาชีพอยู่
เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมากและเรียกหาคนที่อยู่ในบริษัท
ก่อนที่ฟุโดวจะมาที่นี่เขาก็ได้นัดล่วงหน้าไว้แล้ว และอิจูอินซังคนนี้ก็คือหัวหน้าโปรเจ็คท์ของ “บุปผานิรันดร์ร่วงโรย”
ตามปกติคนระดับนี้คงไม่มาพบกับฟรีแลนซ์อย่างเขาด้วยตัวเอง แต่ในระหว่างที่คุยกันผ่านโทรศัพท์ เขาก็สามารถที่จะล่ออีกฝ่ายได้ด้วยคำบางคำ
คำพวกนั้นคือ…”เอลริส” และ “102”
สำหรับคนอื่นแล้วนี่คงไม่มีอะไรมาก แต่ 102 กิโลกรัม คือน้ำหนักของเอลริสคนเก่า
เอลริสที่มีวิญญาณร่วมกับฟุโดวนั้นมีน้ำหนักเพียง 44 กิโลกรัม ถ้าถามแฟนเกมก็จะถูกตอบมาแบบนั้น
ถ้าลองพูดกับแฟนเกมว่า “เอลริสเป็นอีอ้วนน้ำหนัก 102” ก็คงจะโดนจับกระทืบมันตรงนั้นเลย
หรือก็คือ หากอีกฝ่ายไม่มีความรู้เกี่ยวกับก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป ก็จะไม่มีปฏิกิริยาอะไรออกมา เป็นรหัสลับแบบนั้น
และคนที่สามารถเข้าใจรหัสลับนั้นได้ก็คืออิจูอินซัง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาต้องรู้อะไรบางอย่างแน่นอน
เมื่อแน่ใจถึงเรื่องนั้นแล้ว ฟุโดวก็ยิ้มอย่างไร้ซึ่งความกลัว