สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค - ตอนที่ 75 ความจริง
–ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นแค่การแสดง แต่ความจริงที่ผมถูกท่านช่วยไว้ในวันนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป
เวอร์เนลเริ่มสังเกตความผิดปกติได้ก็ในตอนที่เขาเห็นอัลเฟรียเข้าร่วมในการต่อสู้ด้วย
บุคลิกของอัลเฟรียนั้นเรียกได้ว่าอิสระหรือป่าเถื่อน…ถึงแม้เธอจะแตกต่างจากภาพลักษณ์ของเซนต์คนแรกที่เขาคิดไว้ แต่พลังที่ถูกแสดงออกมานั้นเป็นของจริง
ปีศาจโดยส่วนมากจะถูกจัดการในการโจมตีครั้งเดียว และเธอจะไม่รับความเสียหายจากการโจมตีใดๆนอกเหนือจากเซนต์และแม่มด
เมื่อมองไปยังเธอที่ขจัดปีศาจได้ด้วยพลังแห่งแสงสว่าง ก็คงคิดได้แต่ว่าเธอนั้นสมกับผู้มีตำแหน่งเซนต์จริงๆ
แต่สำหรับเวอร์เนลแล้ว เขากลับรู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก
เธอก็สุดยอดจริงๆนั่นแหละ เธอก็แข็งแกร่งจริงๆนั่นแหละ
แต่ไม่ว่าอย่างไร พลังของเธอก็ยังอยู่ในระดับที่เข้าใจได้
ไม่มีดาบแห่งแสงร่วงหล่นจากฟากฟ้า ไม่มีลำแสงทำลายล้างจำนวนนับไม่ถ้วนถาโถมเข้าใส่ศัตรู ไม่มีการโจมตีที่สามารถกวาดล้างปีศาจทั้งหมดให้หายไปได้ในพริบตา
เธอไม่สามารถควบคุมสภาพอากาศหรือฟื้นฟูธรรมชาติได้
เทียบกับ”ปาฏิหาริย์”ของเอลริสแล้ว พลังของอัลเฟรียนั้นธรรมดาเกินไป
เธอไม่ได้มีพลังราวกับเทพธิดาจุติลงมา…เธอก็เป็นแค่นักเวทย์ที่เก่งกาจและพลังที่สามารถต่อกรกับปีศาจได้
พลังของอัลเฟรียนั้น ถึงแม้จะมากกว่า ก็คงบอกได้แค่ว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเอเทอร์น่า
พลังของเอเทอร์น่านั้น เป็นพลังที่คล้ายกับเซนต์แต่ด้อยกว่า
เพราะว่าเมื่อเทียบกับพลังของเอลริสแล้ว เอเทอร์น่านั้นสู้ไม่ได้เลย
แต่นั่นเป็นความเข้าใจผิดของเวอร์เนล ตามที่ท่านโหรบอกมานั้น พลังของอัลเฟรียนั้นถือว่าพอๆกับเซนต์ของยุคสมัยอื่นๆนั่นล่ะ
พลังของเอเทอร์น่าเองก็ไม่ได้ต่างกัน หากไม่มีเอลริสอยู่ล่ะก็ เธอคงถูกเข้าใจว่าเป็นเซนต์แทนไปแล้ว
…แต่ว่าความเข้าใจนั้นเป็นเรื่องที่ผิดจริงๆหรือ?
ความสงสัยของเวอร์เนลค่อยๆขยายตัวขึ้น
และในวันนี้ คำตอบของความสงสัยนั้นก็ได้มาถึง
เขานึกย้อนกลับไปที่การสนทนาระหว่างอัลเฟรียและครูใหญ่ฟ็อกซ์
“เราชอบสีเขียวนะ เป็นสีโปรดของเราเลยล่ะ”
“ใช่แล้ว ในทางตรงข้าม เราเกลียดสีแดงน่ะ มันทำให้เรานึกถึงเลือดของพวกปีศาจน่ะ เห็นแล้วทำให้รู้สึกคลื่นไส้”
“ขอรับ เป็นเพราะว่าสีเขียวเป็นสีที่โปรดปรานของท่านเซนต์รุ่นแรกจึงทำให้ชุดนักเรียนของเรามีสีเช่นนี้ เช่นเดียวกันที่เราหลีกเลี่ยงการใช้สีแดงในการทำชุด”
ชุดนักเรียนของสถาบันหลีกเลี่ยงที่จะใช้สีแดงในการทำชุด
ความทรงจำในตอนนี้เขาตกลงไปยังถ้ำด้วยกันกับเอลริส
ในตอนนั้น เวอร์เนลเห็นบาดแผลบนแขนของเอลริส
เมื่อเขาชี้ให้ดู เอลริสก็ดึงเส้นด้าย/แผลนั้นออกมาแล้วพูดว่า
“อ๊ะ ดูเหมือนจะมีด้ายติดอยู่นั่นล่ะจ้ะ คิดว่าน่าจะหลุดจากชุดตอนที่เราตกลงมา”
เขาก็เออออตามไปด้วยในเวลานั้น
บาดแผลของเธอนั้นไม่มีอยู่ เป็นเพียงแค่ด้ายที่ติดอยู่บนแขน
แต่เมื่อลองมาคิดดู นั่นเป็นเรื่องที่น่าสงสัยมาก
บนชุดนักเรียนนั้น ไม่มีส่วนไหนของผ้าที่ใช้ด้ายสีแดงอยู่เลย
สิ่งที่เขาเห็นในตอนนั้นเป็นด้ายจริงๆอย่างนั้นหรือ?
สำหรับเอลริสผู้สามารถบินบนท้องฟ้า เรียลมพายุหรือดาวตกได้แล้ว การจะเสกเส้นด้ายเล็กๆขึ้นมาในเวลานั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่หลักฐานอะไร
เอลริสอาจจะพกตุ๊กตาที่ทำจากด้ายสีแดงติดตัวอยู่ในเวลานั้นก็ได้
และด้ายก็หลุดมาจากตุ๊กตานั้น
อย่างไรเสีย เอลริสก็สามารถทำสิ่งที่มีเพียงเซนต์เท่านั้นที่จะสามารถทำได้
เพราะเช่นนั้น…
“ไม่เป็นไร…ไม่เป็นไรหรอก อย่ากลัวไปเลยนะ สักวันหนึ่งพลังนี้จะเป็นประโยชน์แก่ตัวคุณ แต่ว่าในตอนนี้ คุณอาจจะต้องเจ็บปวดหากไม่สามารถควบคุมมันได้…เพราะแบบนั้น ขอชั้นยืมพลังไปใช้สักพักก่อนนะคะ”
เขายังจำคำที่เธอพูดกับเขาในวันนั้นเมื่อสามปีก่อนได้
ไม่สิ ไม่ใช่แค่จำ
การพบกันกับเอลริสในวันนั้นถูกจารึกเอาไว้ในจิตวิญญาณของเวอร์เนล
เป็นความทรงจำล้ำค่าที่ชั่วชีวิตนี้จะไม่มีวันตกพร่องไป…เขาสามารถนึกทุกประโยคขึ้นมาได้อย่างไม่มีผิดเพื้ยน
อา เข้าใจล่ะ
ในวันนั้นท่านเอลริสยืมพลังของผมไปนี่เอง
เพราะแบบนั้น ถึงแม้เธอจะไม่ใช่เซนต์…เธอก็ยังสามารถทำในสิ่งเดียวกับที่ผมทำได้
นั่นนำมาซึ่งคำถาม
เธอเป็นเซนต์ตัวจริงหรือเปล่า?
…สำหรับเวอร์เนลแล้ว เรื่องนั้นน่ะไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย
ความจริงที่เขาถูกเอลริสช่วยเอาไว้จะไม่มีวันเปลี่ยน ความจงรักภักดีที่มีต่อเธอจะไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย
ต่อให้เอลริสไม่ใช่เซนต์ คนธรรมดาที่สามารถทำในสิ่งที่มีแค่เซนต์ถึงจะทำได้น่ะ ยิ่งสุดยอดกว่าไม่ใช่รึไง
ความรู้สึกในอกนี้จะไม่เปลี่ยนไป
…เขารักเอลริส
ในฐานะเพศตรงข้าม
สำหรับเขาแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของเอลริสจะเป็นอย่างไรก็ช่าง
เพราะแบบนั้น —การที่เขามาพบกับเธอในตอนกลางคืนโดยบังเอิญ— ทำให้เขาไม่อาจอดกลั้นความรู้สึกนี้ไว้ได้ และต้องการที่จะสารภาพออกไป
เลย์ล่าไม่ได้อยู่กับเธอด้วย นี่เป็นโอกาสดี ต้องบอกว่าคงจะไม่มีโอกาสแบบนี้ให้เห็นอีกแล้ว
เพราะเลย์ล่าตามติดอยู่ด้วยตลอดในเทศกาลวันประสูติของเซนต์ ทำให้เขาไม่อาจสารภาพออกไปได้
เพราะอย่างนั้นถึงต้องเป็นในครั้งนี้ ในตอนนี้…
“ไม่ได้นะคะ!”
เอลริสส่งเสียงขัดจังหวะเวอร์เนลเอาไว้ก่อน ราวกับว่าเธอกลัวคำพูดที่จะหลุดออกมา
เอลริสนั้นไม่ใช่คนหัวทึบ เธอคงจะพอรู้อยู่แล้วว่าเวอร์เนลกำลังจะพูดอะไร
แต่เอลริสก็ยังหยุดเขาไว้ ไม่อย่างที่จะได้ยินคำพูดนั้น
“คำพูดนั้น…ไม่ควรจะเอามาพูดกับชั้นค่ะ ไม่ควรที่จะเป็นชั้น”
เป็นเหมือนคำปฏิเสธ…แต่ก็ไม่ใช่
เธฮคิดว่าตนเองนั้นไม่คู่ควร คิดว่าตัวเองนั้นต่ำต้อยเกินไป
เวอร์เนลอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“ท่านเอลริส…ไม่ใช่เซนต์ตัวจริงใช่ไหมครับ?”
เขารู้สึกได้ถึงเอลริสที่ชะงักไปโดนกะทันหัน
ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจ
ปฏิกิริยาเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะเป็นคำตอบแล้ว
ข้อสงสัยของเขาถูกยืนยันว่าเป็นความจริง
“…รู้ตัวตอนไหนหรือคะ?”
“ปฏิกิริยาของท่านเมื่อครู่เป็นคำตอบน่ะครับ”
เอลริสยอมรับว่าตนนั้นไม่ใช่เซนต์ตัวจริง
เป็นอย่างนั้นจริงๆด้วย
เอลริสเป็นเพียงคนที่ยืมพลังจากเวอร์เนลไปทำให้สามารถใช้พลังแบบเดียวกับเซนต์ได้ ส่วนเซนต์ตัวจริงในยุคสมัยนี้ก็คือเอเทอร์น่า
ต้นตอพลังเหนือธรรมชาติของเอลริสยังไม่สามารถยืนยันได้ก็จริง…แต่ก็ไม่ใช่พลังของเซนต์อย่างแน่นอน
เวอร์เนลอธิบายให้ฟังว่าเขาเริ่มรู้สึกตัวตอนไหน
“ความสงสัยของผมเริ่มมาตั้งแต่ตอนที่พลังของเอเทอร์น่าตื่นขึ้นมาน่ะครับ พลังของเธอนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเซนต์รุ่นก่อนๆเลย ท่านอัลเหรียเองก็ด้วย และคำพูดของครูใหญ่ฟ็อกซ์ก็ นั่นทำให้ผมคิดได้ ที่ท่านกล่าวว่า”เธอจะได้พบกับเซนต์ของเธอ”ต่อผมในวันนั้น ท่านไม่ได้กล่าวถึงตนเอง แต่เป็นเอเทอร์น่า”
เมื่อลองคิดกลับไป ก็รู้สึกตัวได้ว่าคำพูดของเธอนั้นมันแปลก
ทั้งที่เซนต์ก็ยืนอยู่ต่อหน้าแล้วแท้ๆ กลับบอกขึ้นมาว่าเขาจะได้พบ”เซนต์ของเขา”ราวกับเป็นคนอื่น
นี่เป็นข้อพิสูจน์
ว่าเอลริสรู้ตัวตนที่แท้จริงและที่อยู่ของเซนต์มาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
“…ถูกต้องแล้วจ้ะเวอร์เนลคุง ตัวชั้นนั้นไม่ใช่เซนต์ ชั้นเกิดในหมู่บ้านเดียวกับเอเทอร์น่าซังแล้วถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเซนต์เนื่องจากพลังเวทย์ที่สูงน่ะจ้ะ เป็นเพียงตัวปลอมที่ยังคงเสแสร้งรับตำแหน่งเซนต์อยู่มาจนถึงตอนนี้”
“แล้ว พลังของท่าน…”
“อย่างที่คิดนั่นล่ะจ้ะ พลังที่ชั้นใช้ในการแสดงเป็นเซนต์นั่นชั้นก็ได้มาจากเธอนั่นล่ะเวอร์เนลคุง ส่วนที่เหลือก็เป็นแค่เวทมนตร์”
อย่างที่คิดเลยว่าพลังเซนต์ของเธอเป็นสิ่งที่เธอรับไปจากเวอร์เนล
แต่ที่น่าตกใจก็คือ ปาฏิหาริย์ต่างๆที่เธอทำมานั้นเป็นเพียงผลจากเวทมนตร์ธรรมดา
เวทมนตร์มีพลังในการทำถึงขนาดนั้นได้ยังไง?…ตั้งแต่แรกแล้ว เธอไปเอาพลังเวทย์มากมายมาจากไหนในการใช้เวทมนตร์พวกนั้น
คำตอบของเอลริสนั้นน่าตกใจยิ่งกว่า
“ความลับของความจุพลังเวทย์ที่ชั้นมีน่ะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกจ้ะ…ทุกๆวัน รวมถึงตอนที่ชั้นนอนหลับ ชั้นจะคอยโคจรพลังเวทย์เข้าออกจากร่างกายเอาไว้ตลอดเวลา ทำให้ความจุค่อยๆขยายขึ้นเรื่อยๆ”
ความพยายาม
คือต้นตอของปาฏิหาริย์เหล่านั้น
การโคจรพลังเวทย์เข้าออกเพื่อเพิ่มความจุพลังเวทย์ในร่างนั้นเป็นวิธีที่เวอร์เนลเองก็รู้
เขาเคยเรียนมาก่อน เคยทดลองด้วยตัวเองก็หลายครั้ง
แต่นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้โดยที่ขาดสมาธิและสติ…การโคจรพลังเวทย์นั้นจะนำมาซึ่งภาระที่หนักหน่วงต่อจิตใจของผู้ใช้
พลังเวทย์นั้นปนเปื้อนไปด้วยจิตของผู้ใช้
การที่รับพลังเวทย์จากภายนอกเข้ามาจะเป็นการดูดซับความคิดของผู้อื่นเข้ามาด้วย โดยเฉพาะความคิดด้านลบ
ความโกรธ ความเกลียด ความแค้น ความริษยา…เป็นด้านมืดจากจิตใต้สำนึก หากดูดความคิดเหล่านั้นเข้าไปจะย้อมจิตใจให้กลายเป็นสีดำ
เป็นการนำสีแปลกปลอมจากด้านนอกสาดเข้าไปยังผืนกระดาษที่เรียกว่าจิตใจ
ไม่มีใครที่สามารถทนนิ่งเฉยกับเรื่องเช่นนั้นได้
แต่เอลริสกลับสามารถทำเช่นนั้นได้โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง…อยู่ตลอดเวลา
ผู้คนที่ที่คิดจะทำเรื่องเช่นเดียวกันนี้น่าจะโดนความรู้สึกเหล่านั้นกดทับจนจิตแตกสลาย กลายเป็นตัวตนที่ใกล้เคียงกับแม่มดไป…เวอร์เนลเองก็ไม่รู้ว่าเอลริสสามารถทนเรื่องเช่นนั้นไว้ได้อย่างไร คงเป็นเพราะสภาพจิตใจที่พิเศษของเธอล่ะมั้ง
“ตามที่บอกไปเลยจ้ะ เธอคงจะเข้าใจแล้วใช่ไหม? ว่า’เซนต์เอลริส’ที่เธอหลงไหลน่ะก็เป็นเพียงการแสดง เป็นเพียงฉากหน้า…ชั้นก็ทำเพียงแสดงตัวเป็นเซนต์ในอุดมคติของทุกคน ความรักของเธอน่ะ มีให้กับภาพลวงตาที่ไม่มีอยู่จริงยังไงล่ะ”
“ผิดแล้วครับท่านเอลริส!”
เวอร์เนลปฏิเสธคำพูดดูแคลนตนเองของเอลริส
เอลริสเข้าใจผิดแล้ว
เธออาจจะไม่ใช่เซนต์ก็จริง
ต่อให้การกระทำของเธอจะเป็นเพียงการแสดงบทบาทของเซนต์ในอุดมคติ
แต่การแสดงนั้นก็ได้ช่วยผู้คนไว้มากมาย
โลกนี้ได้ถูกเธอรักษาไว้
เธอนำผืนดินที่ถูกปีศาจรุกรานกลับคืนมา เธอนำสมดุลมาสู่ธรรมชาติ เธอช่วยชีวิตผู้คนไว้นับไม่ถ้วน
เหล่าเด็กๆมากมายที่รอดชีวิตจากความอดอยาก
รอยยิ้มที่เธอนำกลับมาสู่ผู้คนที่ยอมแพ้ต่อความสิ้นหวัง
เขาเอง…ที่อยู่ที่นี่ ก็เป็นเพราะว่าตัวเธอในวันนั้นผลักดันให้เขาก้าวไปข้างหน้า
ทั้งหมดนี้ไม่มีคำโกหกอยู่เลย
ภาพลวงตาที่เธอคิดไว้นั้นไม่มีอยู่จริง
“ท่านอาจจะไม่ใช่เซนต์ตัวจริง แต่ผู้คนที่ท่านช่วยเหลือไว้…คนเหล่านั้นมีอยู่จริงนะครับ! เพราะว่าท่านช่วยผมไว้ในวันนั้น ผมจึงมายืนอยู่ที่นี่ได้ในตอนนี้ ถึงแม้ตัวตนของท่านในฐานะเซนต์จะเป็นเพียงภาพลวง…แต่การกระทำของท่านน่ะ เป้นของจริงเสียยิ่งกว่าจริงอีกครับ! เพราะแบบนั้น จึงไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย…ความรู้สึกของผมเอง ตั้งแต่แรกแล้ว…เซนต์ของผมน่ะมีท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น! ท่านเอลริสครับ กับท่าน…กับคุณน่ะ…ผม…”
ใช่ ตัวเขาได้ตัดสินใจไว้แล้วตั้งแต่วันนั้น
สำหรับเวอร์เนลแล้ว ตั้งแต่ต้น…มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น
ถึงแม้เธอจะไม่ใช่เซนต์ที่แท้จริง ถึงแม้เธอจะเป็นเพียงนักแสดง แต่สำหรับเขา…เธอนั้นเป็นตัวจริง
“—ผมรักคุณครับ!”
เพราะเช่นนั้น เวอร์เนลจึงสามารถพูดเช่นนี้ออกไปได้โดยไม่ลังเล
เวอร์เนลไม่สามารถอ่านสีหน้าในตอนนี้ของเอลริสออกได้
แต่เขาก็ไม่เสียใจ นี่เป็นความรู้สึกที่ตัวเขาควรจะบอกออกไป
ถึงแม้จะรู้ดีว่าตนจะโดนปฏิเสธ…ถึงแม้จะต้องเจ็บปวด แต่เขาก็ไม่เสียใจเลยที่พูดออกไป
หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง เอลริสก็เปิดปากพูดออกมา
“ขอบคุณนะเวอร์เนลคุง เป็นเพราะเธอ…ทำให้ชั้นรู้สึกว่า ที่ทำไปจนถึงตอนนี้น่ะ ไม่ได้สูญเปล่าเลย”
เธอหันมายิ้มให้แก่เวอร์เนล
ไม่รู้เพราะอะไร รอยยิ้มนั้นกลับดูเศร้าสร้อย
ก่อนที่เหตุผลนั้นจะพุ่งเข้าใส่
“แต่ว่า…ขอโทษนะจ๊ะที่ชั้นไม่สามารถตอบรับความรู้สึกนั้นได้ เพราะว่าที่ปลายทางนั้นจะมีความทุกข์รออยู่ ชั้นไม่อาจปล่อยให้เธอต้องมาร่วมกับชั้นด้วยหรอกจ้ะ”
“นะ นั่นหมายความว่ายั…”
ความทุกข์ เธอพูดเรื่องอะไรน่ะ?
ก่อนที่จะได้ถามออกไป คำตอบของเอลริสนั้นทำให้เขาตกตะลึง
“อายุขัยของชั้นเหลืออีกไม่มากแล้ว อย่างมากก็ครึ่งปี…ชั้นคงจะอยู่ไม่ถึงวันเกิดครั้งต่อไปแล้วล่ะ”
สมองของเวอร์เนลขาวโพลน
เขาอยากให้นี่เป็นเรื่องโกหก
อยากให้เป็นเพียงข้ออ้างที่เธอใช้เพื่อปฏิเสธเขา
แต่…ไม่นาน เวอร์เนลก็รู้ถึงสาเหตุ
พลังของเวอร์เนลนั้นคือคำสาปที่ทำลายทุกสิ่ง
ในตอนที่เอลริสรับพลังของเขาไป เขาเพียงคิดว่าเอลริสสามารถควบคุมมันได้เพราะว่าเธอเป็นเซนต์
แต่เอลริสไม่ใช่เซนต์
สำหรับเธอแล้ว พลังนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากยาพิษเลย
เขาไม่อาจขยับเขยื้อนอะไรได้ เอลริสก็กล่าวต่อไป
“ไม่ต้องคิดมากไปหรอกจ้ะ ทั้งหมดนี้เป็นผลลัพท์ของเส้นทางที่ชั้นเลือกด้วยตัวเอง ชั้นรู้อยู่ตั้งแต่แรกแล้วว่าจุดหมายของเส้นทางนี้จะเป็นเช่นไร อีกอย่าง…ถ้าไม่มีพลังที่ชั้นยืมมาจากเธออยู่ล่ะก็ ชั้นก็คงไม่สามารถที่จะเสแสร้งเป็นเซนต์ต่อไปได้หรอกนะจ๊ะ จะเกลียดชั้นก็ไม่เป็นไรนะ เพราะว่าชั้นใช้เธอเป็นเครื่องมือในการแสดงเป็นเซนต์นี่นา”
เขาอยากจะตะโกนตอบไปว่า “นั่นผิดแล้ว!”
ไม่มีคนโง่ที่ไหนคิดจะบั่นทอนอายุขัยตนเองเพียงเพื่อจะใช้งานคนอื่นเป็นเครื่องมือหรอก
เอลริสไม่ใช่คนที่โง่ถึงขนาดที่จะไม่เข้าใจในเรื่องนั้น
เธอไม่ต้องทำอะไรแบบนั้นเลย ตั้งแต่ก่อนที่เธอจะพบกับเวอร์เนล เธอก็ถูกขนานนามว่าเป็นเซนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ต้นแล้ว
ที่ทำพูดเช่นนั้นก็เพียงเพื่อที่จะรับความผิดเอาไว้คนเดียว รับตำแหน่งวายร้ายเพื่อที่เวอร์เนลจะได้ไม่รู้สึกผิดต่อชะตากรรมที่เธอจะต้องพบ
เขาต้องการที่จะพูด แต่กลับไม่มีเสียงออกมา
ความจริงของเอลริสทำให้ลำคอของเขาแห้งผากจนไม่อาจเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาได้
เขาคิดว่าถึงแม้ตนจะถูกปฏิเสธไปก็ยังไม่เป็นไร
แต่นี่มันเกินกว่าที่เขาจะรับไหว
ต่อให้เขาจะต้องถูกปฏิเสธสักกี่ครั้ง ถ้าแค่เอลริสยังมีชีวิตต่อไปได้ เขาก็พอใจแล้ว
แต่นี่มัน…เขายอมรับมันไม่ได้
“เพราะแบบนั้น…เวอร์เนลคุงจะต้องหาใครสักคนที่ดีกว่าตัวชั้นได้อย่างแน่นอนจ้ะ ขอให้มีความสุขกับคนคนนั้นและมีอนาคตที่สดใสร่วมกันนะจ๊ะ… เพราะว่านั่นเป็นเส้นทางที่ดีที่สุดสำหรับเธอ”
ในอนาคตที่เธอพูดถึงนั้น ไม่มีเอลริสอยู่ด้วย
เอาแต่ใจจริงๆ
เธอมาช่วยผู้คนตามที่เธอต้องการ ทุ่มเทตนเองเพื่อความสงบสุขของโลก และเมื่อความสงบสุขนั้นมาถึง เธอกลับจะจากไปก่อนที่จะได้ใช้ชีวิตร่วมไปกับมัน
หายนะแบบนั้น…จะปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้
“ทะ ท่านพอใจกับเรื่องแบบนั้นจริงๆหรือครับ!? ท่านทุ่มเททุกอย่าง เพื่อทุกๆคน…แต่สุดท้าย…สุดท้ายแล้วท่านกลับ…”
เอลริสทำเพียงแค่ยิ้มให้กับคำพูดของเวอร์เนล
เธอรู้ดีอยู่แล้ว และยอมรับผลลัพท์นี้ไว้แต่โดยดี
ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเสียใจ เธอยังคงสูงส่ง…ยึดมั่นในความเอาแต่ใจของตนจนถึงที่สุด
“ถึงชั้นจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว…แต่ถ้าในท้ายที่สุด ทุกคนจะยังคงยิ้มแย้มอยู่ได้ล่ะก็ เท่านั้นชั้นก็มีความสุขที่สุดแล้วล่ะจ้ะ ชั้นไม่อยากให้ใครต้องเศร้าเสียใจไป เพราะว่านั่นคือความหวังของชั้น ชั้นอยากที่จะให้ทุกคนมีแต่รอยยิ้ม”
สีหน้าของเธอบ่งบอกว่านั่นเป็นความหวังจากเบื้องลึกของหัวใจ
ไม่มีความโศกเศร้าหรือเสียดายใดๆ นี่เป็นความต้องการของเธออย่างแท้จริง…
…และแล้วเอลริสก็เดินจากไป ปล่อยให้เวอร์เนลยืนอยู่ตรงนั้นแต่เพียงคนเดียว