สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค - ตอนที่ 85 เมฆทะมึน
ชั้นกำลังร่วงลงไป
ชั้นรู้สึกได้ว่าตัวเองค่อยๆดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ เหมือนกับว่าถูกความมืดด้านล่างดึงดูด และสติก็ค่อยๆล่องลอยออกไปในทุกขณะ
ในครั้งแรกที่ตายน่ะ ชั้นไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยซ้ำ แค่หลับไปแล้วพอตื่นมาก็อยู่ในต่างโลก ต้องบอกว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้สัมผัสกับความตายจริงๆ ก็นะ เอาจริงๆคนส่วนใหญ่ก็คงไม่ได้มีโอกาสตายเป็นครั้งที่สองกันหรอก
ความมืดที่ปกคลุมตัวชั้นมันแน่นหนาจนทำให้ดุไม่ออกว่ารอบๆมีใครอยู่รึเปล่า แต่ก็คงไม่มี ตอนนี้รอบด้านมันเงียบไปหมด ชั้นอยู่ตัวคนเดียว มองกลับไปยังชีวิตที่ผ่านมา
ชั้นตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ในเกมจีบสาวเกมโปรด [บุปผานิรันดร์ร่วงโรย -Fiore Caduto Eterna-] แต่ดันมาอยู่ในร่างของตัวละครที่เกลียดที่สุดอย่างยัยเซนต์ตัวปลอม เอลริส ซะนี่
ชั้นใช้โอกาสนี้ในการเปลี่ยนทิศทางของเนื้อเรื่อง เพื่อเปลี่ยนแปลงฉากจบที่น่าเศร้าของเกม ตั้งแต่นั้นมา…ก็เกิดอะไรขึ้นหลายเรื่องเลยอ่ะนะ เป็นชีวิตที่ไม่น่าเบื่อเลยจริงๆนั่นล่ะ ต้องเจอกับเรื่องไม่คาดฝันตั้งมากมาย แต่ก็ต้องบอกว่าชั้นรับมือกับสถานการณ์พวกนั้นได้ยอดเยี่ยมพอตัวเลยนะเออ
หลังจากนั้นก็พบว่าวิญญาณของชั้นไม่ได้กลับมาเกิดในโลกนี้แบบเต็มตัว ส่วนหนึ่งของชั้นที่ยังหลงเฟลือบนโลกใบเก่าบอกว่าการกระทำของชั้นส่งผลต่อเนื้อเรื่องของเกมในโลกนั้นด้วย
ชั้นกวาดพวกปีศาจจนเกลี้ยง ทำให้แน่ใจว่านางเอกหลักอย่างเอเทอร์น่าจะต้องรอดแน่ๆ แล้วก็ช่วยตัวละครหลายตัวจากชะตากรรมที่จะต้องตาย ได้เจอตัวละครใหม่ๆอย่างเซนต์คนแรก นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ตัวเอกมาชอบชั้นได้ยังไงก็ไม่รู้ด้วยนะเนี่ย
ในท้ายที่สุด ชั้นก็ยอมสละเป็นตัวตายตัวแทนให้กับเวอร์เนลด้วยการชิงจัดการแม่มดอเล็กเซียตัดหน้า
ต้องบอกว่าเป็นฉากจบที่เท่ไม่หยอกเลย
ชั้นทำทุกอย่าง…ก็ไม่ขนาดนั้น แต่ก็ทำเท่าที่พอจะทำได้ไปแล้ว หลังจากนี้ก็จะเป็นเรื่องราวของเจ้าพวกนั้นเอง ชะตากรรมของโลกน่ะก็ต้องให้คนของโลกนั้นเป็นคนจัดการเอาเอง ไม่ใช่ตัวปลอมที่โผล่มาจากไหนไม่รู้แบบชั้น
และแล้วชั้นก็มาถึงก้นลึกสุด และก่อนที่สติของชั้นจะหายไป ก็รู้สึกได้ว่ามีใครสักคนอยู่ตรงนั้น
น่าจะเป็นผู้หญิง แต่ทั้งตัวโดนย้อมเป็นสีดำอย่างกับไปตกถังสีที่ไหนมา เธอนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่มุมห้อง
พอลองสังเกตดูดีๆ ไม่ได้มีเธออยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว เอาจริงๆก็หลายคนเลยล่ะ ทุกๆคนต่างร้องไห้มีสีหน้าเศร้าโศกกันทั้งนั้น
ไม่รู้ทำไม แต่ชั้นรู้สึกได้ว่าเธอพวกนี้ก็คือแม่มดรุ่นก่อนๆ ชั้นพยายามจะเอื้อมมือไปหาพวกเธอ แต่ก็เหมือนมีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นไว้อยู่ สงสัยเพราะเป็นตัวปลอมเลยไปจอยกับเค้าไม่ได้ล่ะมั้ง
จะข้ามไปอีกฟากยังไงดี…? อา…บ้าจังนะชั้นเนี่ย ตัวเองตายไปแล้วแท้ๆ มามัวกังวลอะไรอยู่ได้
ไม่มีอะไรที่ชั้นทำได้อีกแล้ว แถมยังไม่ต้องมาแสดงเป็นเซนต์ผู้สมบูรณ์แบบอีกแล้วด้วย ที่ชั้นทำก็เพียงแค่หันหลังให้เธอพวกนั้นแล้วก็เดินไปในฝั่งตรงข้าม
ที่ตรงนั้นมีแสงอะไรอยู่
.
ฝนตกลงมาจากท้องฟ้าสีดำ ปกคลุมด้วยเมฆทะมึน
ทั้งๆที่ยังเป็นเวลากลางวันแท้ๆ แต่ความมืดกลับปกคลุมท้องฟ้าราวกับเป็นเวลากลางคืน
ราวกับว่าโลกนี้กำลังร่ำไห้ไปพร้อมกับเหล่าประชากร ผู้คนจำนวนมหาศาลเปียกโชกไปด้วยสายฝน ฝนที่ไหลผ่านใบหน้าพาน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาตกลงสู่พื้นไปด้วย
หากเทียบกันแล้ว สีหน้าของผู้คนทั้งหลายนั้นก็มืดมนไม่ต่างจากท้องฟ้าเลย
ไม่มีใครเงยหน้าขึ้นมา ตาของทุกคนมองต่ำ บางคนถึงกับเข่าทรุดลงกับพื้นร้องไห้
— ความตายของเซนต์เอลริส
ข่าวนี้สะพัดไปทั่วทุกสาราทิศในเวลาฉับพลัน
นี่รวมไปถึงความจริงที่ว่าเธอไม่ใช่แม้กระทั่งเซนต์อีกด้วย แต่ด้วยคุณูปการและผลงานมากมายที่เธอทำไว้ให้แก่มนุษยชาติ ไม่มีทางเลยที่ใครจะกล้ากล่าวหาว่าเธอเป็นตัวปลอม… โบสถ์แห่งเซนต์จึงจัดตั้งตำแหน่งที่สูงยิ่งกว่าเซนต์ “เกรทเซนต์(มหานักบุญ)” ขึ้นมา
งานศพของเธอถูกจัดขึ้นภายใต้คำสั่งของราชาไอส์ จะถูกจัดให้เป็นในระดับนานาชาติ ผู้คนทั่วโลกจะมารวมตัวกันเพื่อไว้อาลัยเธอ
ในโลกนี้มีประเพณีในการฝังศพผู้เสียชีวิตอยู่ แต่ไม่มีใครกล้าที่จะฝังร่างของเอลริสเอาไว้ใต้พื้น อัลเฟรียจึงทำตามคำขอของซัปเปิ้งด้วยการผนึกร่างของเธอเอาไว้ในคริสตัลเพื่อเป็นการรักษาความงดงามนั้นไว้
เอลริสภายในคริสตัลนั้นยังคงสง่างามเช่นเดียวกับครั้งที่เธอยังมีชีวิต ใครเห็นก็คงคิดเพียงว่าเธอแค่หลับไป
สุสานของเธอจะถูกจัดสร้างขึ้นในไม่ช้า ในตอนนี้ทางโบสถ์จึงมารับหน้าที่คอยดูแลคริสตัลที่ผนึกร่างของเธอเอาไว้ก่อน
ผู้คนนับไม่ถ้วนเดินทางมายังโบสถ์เพื่อไว้อาลัยแก่เธอ ก่อนที่จากไปทั้งน้ำตาทุกคราไป
องครักษ์ส่วนตัวของเธอ เลย์ล่า ไม่เคยออกห่างจากร่างนั้นเลยแม้แต่ครู่เดียว เธอจะอยู่ในตำแหน่งเดิมเช้าจรดค่ำ สวดภาวนาให้แก่เอลริสอยู่ตลอดเวลา
ในช่วงแรกนั้นเธอเอาแต่ร้องไห้จนสลบไป ส่วนในตอนนี้ ก็คงบอกได้แค่ว่าบ่อน้ำตาของเธอเหือดแห้งไปแล้ว ใบหน้าของเธอไม่ต่างอะไรจากคนตาย
ถึงแม้อัศวินคนอื่นๆพยายามที่จะให้การดูแลเธอก็ไม่เป็นผล เลย์ล่ามีแต่จะซูบผอมลงในแต่ละวัน และในอีกไม่นานก็คงจะตามนายหญิงของเธอไป
นั่นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
ไม่ใช่เพียงเลย์ล่าเท่านั้นที่รู้สึกเช่นนี้ต่อความตายของเอลริส เหล่าอํศวินและองครักษ์ทั้งหลายเองก็เกลียดชังในความด้อยค่าและอ่อนแอของตนเอง
หลังจากการตายของเอลริส…พินัยกรรมของเธอก็ถูกพบอยู่ในห้องส่วนตัว
ในนั้น เธอเขียนคำสารภาพในฐานะของเซนต์ตัวปลอมเอาไว้ แต่กลับไม่มีความเกลียดชังปนอยู่ในนั้นเลย
“หากพินัยกรรมนี้ถูกพบเข้า ก็หมายความว่าตัวชั้นได้เสียชีวิตลงหลังจากจัดการแม่มด หรือไม่ก็ถูกเปิดโปงว่าเป็นเซนต์ตัวปลอมและถูกประหารลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
เป็นพินัยกรรมที่ไม่มีความมุ่งร้ายใดๆต่อโลกใบนี้และผู้คนทั้งหลายอยู่แม้แต่น้อย
หากเธอจะเกลียดสถานการณ์ที่เธอต้องพบเจอก็คงไม่แปลก หากจะชิงชังในตัวผู้ใหญ่ที่บังคับให้เธอต้องมาพบกับสถานการณ์เหล่านั้นก็เป็นเรื่องธรรมชาติ
การที่เอลริสกลายมาเป็นเซนต์ตัวปลอมนั้นไม่ใช่ความผิดของเะอแม้แต่น้อย เป็นความผิดของคนอื่นๆที่เข้าใจผิดไปเองต่างหาก
แต่กลับไม่มีการกล่าวโทษใดๆอยู่เลย
ตั้งแต่ต้นจนจบ สิ่งเดียวที่เธอเป็นห่วงก็คือผู้คนทั้งหลาย…ในพินัยกรรมนั้นถูกเขียนย้ำแล้วย้ำอีกว่าเหล่าอัศวินที่รับใช้เธอไม่มีความผิดหรือสมรู้ร่วมคิดใดๆทั้งสิ้น
ยิ่งอ่านไปเรื่อยๆ เหล่าอัศวินก็ยิ่งไม่อาจที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้
พวกเขาโกรธแค้นในความไร้ประโยชน์ของตนเอง
…ไม่มีใครเคยสังเกตเห็นถึงความยากลำบากที่เธอต้องพบเจอ หรือความพยายามที่เธอทุ่มเทลงไป
ความรับผิดชอบใหญ่หลวงถูกผลักไสให้กับเด็กสาวธรรมดาๆคนหนึ่งที่ไม่ใช่แม้กระทั่งตัวแทนของโลก แต่เธอกลับทำเพียงยิ้มและพยายามต่อไปโดยไม่ปริปากบ่น จนสามารถทำในสิ่งที่ใครอื่นก็ทำไม่ได้
นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีทางที่มันจะง่ายอยู่แล้ว
แต่พวกเขากลับเอาแต่ปรบมืออยู่ห่างๆ ชื่นชมใน”ปาฏิหาริย์”พวกนั้นอย่างน่าสมเพช
—ไม่มีใครรู้ว่าเด็กสาวคนนั้นทุ่มเทเลือด เหงื่อ และน้ำตาไปมากเพียงใด
เธอคงจะหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา เพียงการใช้ชีวิตปกติก็ยังเป็นเรื่องยาก
เด็กสาวที่ถูกพรากจากพ่อแม่และโดนยัดเยียดตำแหน่งของเซนต์ให้ ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่านั่นจะเป็นที่ยากต่อตัวเธอขนาดไหน
ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังเตรียมใจไว้แล้วว่าจะถูกประหารเมื่อความจริงหลุดออกไป…แต่เธอกลับไม่มีความแค้นต่อผู้ใด กระทั่งเป็นห่วงเหล่าผู้คนที่ผลักชีวิตอันแสนยากลำบากนี้ให้แก่เธอเสียด้วยซ้ำ
อัศวินรู้สึกสมเพชในตำแหน่งของตน ในการคงอยู่ของตนเอง
มีใครในนี้ที่ช่วยแบ่งเบาภาระของเธอได้บ้าง?
มีใครในนี้ที่เห็นตัวตนภายในของเธอ และช่วยทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นได้บ้างรึเปล่า?
…ไม่มี ไม่มีสักคนเดียว
อัศวินเหล่านี้ก็เป็นเพียงตัวตลกที่เรียกความทุ่มเทของเธอว่าเป็น”ปาฏิหาริย์”และรู้สึกขอบคุณในเรื่องนั้น ไม่มีใครที่ช่วยเหลือเธอได้แม้แต่คนเดียว
จิตวิญญาณอัศวินอะไรกัน…น่าหัวเราะสิ้นดี
เลย์ล่าเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
ไม่สิ สำหรับเลย์ล่าที่เป็นองครักษ์ส่วนตัวและคนสนิทแล้ว เธอคงจะเกลียดชังในตนเองในระดับที่คนอื่นไม่อาจเทียบได้
เหล่าผู้ที่สนิทสนมกับเอลริสอย่างจอห์นและฟิโอร่าเองก็มาสวดภาวนาแก่เธออยู่ทุกๆวัน
ไม่มีความต่างชั้นระหว่างชนชั้น ไม่ว่าจะเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง หรือสามัญชน ต่างก็มารวมตัวกันเพื่ออำลาเธอ
…แต่กลับไม่เห็นวี่แววของซัปเปิ้ลและเวอร์เนลอยู่เลย
“นี่เวอร์…กินอะไรสักหน่อยได้มั้ย?”
“ไม่ต้องมาห่วงผม”
ในห้องของเวอร์เนล เอเทอร์น่านำถาดอาหารมาให้เวอร์เนลที่ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
เสียงเรียบ คงจะเรียกได้แบบนั้น
ไม่มีความรู้สึกใดๆเจือปนอยู่เลย
ไม่มีความโกรธ เกลียด หรือโศกเศร้า
ตาของเขาไม่สะท้อนแสงใดๆ แค่รู้สึกตัวได้ว่าเอเ้ทอร์น่าอยู่ตรงนั้นด้วยก็ยังถือว่าดีมากแล้ว
ความสิ้นหวังของเวอร์เนลนั้นเทียบไม่ได้กับคนอื่นๆ
เอลริสตายแทนตัวเขา
นี่ไม่ใช่ความผิดของเวอร์เนล เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป้ฯอุบัติเหตุ พลังในร่างกายเขาเพียงขยับไปตามความต้องการของแม่มด
ถึงอย่างนั้น ถ้าเพียงแค่เรื่องนั้นไม่ได้เกิดขึ้น เอลริสก็คงจะยังมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกหน่อย
ตั้งแต่แรกแล้ว การที่อายุขัยของเธอสั้นลงก็เป็นผลมาจากตัวเขาเอง
เขาไม่อาจตอบแทนบุญคุณใดๆที่ได้รับจากเธอมาได้ แล้วยังเป็นคนที่นำพาเธอไปสู่ความตายอีก
ความรู้สึกผิดและความเกลียดชังในตังเองที่เขามีนั้นเหนือกว่าใครอื่นไปเป็นโยชน์
ยิ่งมีใครสักคนมาเป็นห่วงสวะเช่นเขา ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
ใครก็ได้ช่วยฆ่าเขาที ชีวิตนี้มันไม่มีค่าอะไรเลย
สำหรับเวอร์เนลในตอนนี้ การที่เขาตายไปซะก็อาจเรียกได้ว่าเป็นความเมตตาด้วยซ้ำ
เขาอย่างให้เลย์ล่าคลั่งและพลั้งมือฆ่าเขาตาย ดีกว่าจะให้เอเทอร์น่ามาคอยดูแลเขาอยู่อย่างนี้เสียอีก
การที่เลย์ล่าจะเกลียดชังเขานั้นเป็นเรื่องที่ไม่ผิดไปเลย
ถ้าแค่เขาตายในตอนนั้น…
ทำไมถึงต้องรอดกลับมาด้วย?
ยังมีอะไรให้เขาต้องทำอีกรึยังไง?
“นี่เวอร์เนล ก็รู้นะว่าตอนนี้นายรู้สึกแย่แค่ไหนน่ะ แต่ทำตัวแบบนั้นกับคนที่ห่วงนายนี่ไม่เกินไปหน่อยเหรอ?”
รูมเมทของเวอร์เนล ซิลเวสเตอร์ ลอร์ดไนท์ ที่หล่อเกินความจำเป็นพูดกับเวอร์เนล
เวอร์เนลเมินตัวประกอบแบบนั้นไป แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง
ถึงแม้โลกจะสงบสุขแล้ว แต่ฝนก็ยังไม่จางหายไป
ไม่ว่าจะสงบสุขแค่ไหน โลกที่ขาดดวงตะวันก็ย่อมไร้แสงสว่าง
“ถ้าไม่กินอะไรบ้างมันจะไม่ดีต่อร่างกายนะ ซัปเปิ้ลเซนเซย์เองก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในแล็ป… ขอล่ะ รีบๆกลับมาเป้นเหมือนเดิมทีเถอะ”
ตัวเขาจะตายยังไงก็ช่าง
ยังไงพลังนี้ก็ไม่ยอมให้เขาตายอยู่ดี
ถ้าตายๆไปซะได้ก็คงดีกว่า…เขาพยายามที่จะฆ่าตัวตายหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผล
จนถึงตอนนี้ พลังต้องสาปนี้ก็ยังไม่ยอมให้เวอร์เนลตาย
บาปของเขามันมากเกิดกว่าจะให้ไปสบายได้ง่ายๆอย่างนี้ โลกอาจจะพยายามบอกเช่นนั้นกับเขาอยู่ก็ได้
เวอร์เนลในตอนนี้ การมีชีวิตต่อไปก็ไม่ต่างกับการทรมาณ
เขามองขึ้นไปบนฟ้าด้านนอก เอลริสตอนนี้จะอยู่บนนั้นรึเปล่านะ
ถึงยังไงตัวเขาก็คงไม่ได้ไปอยู่ในที่แบบนั้นด้วยอยู่แล้ว
ถ้าเขาตายไปจริงๆ ก็รู้ได้เลยว่าจะไม่ได้ไปสวรรค์แน่ๆ
…ถึงอย่างนั้น ฟ้ามันมืดจนออกจะผิดปกติ แถมเมฆก็หมุนแปลกๆ
โลกที่ไร้ซึ่งแสงสว่างมันเป็นแบบนี้เองเหรอ?
เมฆบนฟ้านั้นให้ความรู้สึกที่ไม่ดี พวกมันมารวมตัวกันราวกับมีความคิดเป็นของตนเอง
ไม่รู้ทำไม มันทำให้เขานึกถึงพลังความมืดภายในตัว…
“…!”
เวอร์เนลรู้สึกตัวขึ้นมาได้ เขาลุกขึ้นด้วยความเร็วราวกับถูกไฟดูด
นั่นมันไม่ใช่แค่”คล้าย”กับพลังความมืด
เขาสัมผัสได้เลย ว่าเมฆพวกนั้นคือกลุ่มก้อนของพลังความมืดเอง
ในช่วงไม่กี่วันมานี้ เมฆพวกนั้นค่อยๆหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ…ตั้งแต่ความตายของเอลริส มันพยายามที่จะแสดงตัวออกมา
ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกตัวจนถึงตอนนี้กัน? ถึงแม้คนอื่นจะไม่รู้สึกตัว แต่เอวอร์เนลสมควรที่จะรู้
…เรื่องนั้นก็ง่ายๆ ก็เพราะเขาไม่ได้ใส่ใจพอที่จะรู้สึกตัวได้ยังไงล่ะ
สมองของเขาแทบจะหยุดลงหลังจากความตายของเอลริส การรับรู้ของของทื่อในระดับที่ไม่อาจรับรู้ได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างรอบๆตัว การที่จะพลาดสิ่งนี้ไปก็ไม่แปลกเลย
นี่ยิ่งทำให้เขาเกลียดความโง่เง่าของตนเข้าไปอีก
“เกิดอะไรขึ้นเหรอเวอร์?”
เอเทอร์น่าถามด้วยความสับสน เธอไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เธอเพิ่งจะปลุกพลังเซนต์ขึ้นมาได้ไม่นาน การรับรู้พลังของเธอยังไม่เสถียรดีนัก
“เอเทอร์น่า เอาอาวุธของผมมา”
“เอ๋? ไม่ได้นะ! เดี๋ยวนายก็…”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น! การต่อสู้ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว!”
เอเทอร์น่านำอาวุธของเวอร์เนลไปซ่อนเพื่อกันไม่ให้เขาใช้มันฆ่าตัวตาย
แต่อาวุธเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการต่อสู้ที่ใกล่เข้ามานี้
พลังที่รวบรวมอยู่บนฟ้านั้นค่อยๆเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และอาจจะระเบิดออกมาตอนไหนก็ได้
หากเป็นเช่นนั้น โลกก็จะตกลงสู่ความโกลาหลอีกครั้งหนึ่ง
นี่คือโลกที่เอลริสเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องไว้ เขาจะยอม…ให้ใครมาเหยียบย่ำความพยายามของเธอไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าตัวเขาจะตกลงสู่ความสิ้นหวังลึกแค่ไหนก็ตาม
เขาควรจะรู้ตัวให้เร็วกว่านี้
นี่เป็นผลลัพท์จากการที่เขาเอาแต่จมปลักอยู่กับความสิ้นหวังของตัวเองทั้งวันทั้งคืน
นี่เป็นความผิดพลาดที่สมควรต้องชดใช้ด้วยชีวิตถ้าทำได้
“เร็วเข้า! เวลาไม่ค่อยมีแล้วนะ!”
.
ทหารและอัศวินทุกคนของราชอาณาจักรบิลเบอรี่ยกเว้นเลย์ล่า มารวมตัวกันที่เมืองหลวง
ผู้คุมทัพหน้าคือราชาไอส์และเซนต์คนแรก อัลเฟรีย
โปรเฟตะยืนอยู่ข้างตัวเธอ พร้อมเงยคอมองขึ้นไปด้านบน
“ท่านอัลเฟรียขอรับ เรารวบรวมทหารมาเท่าที่จะทำได้แล้วขอรับ”
“อืม เหนื่อยหน่อยนะ”
อัลเฟรียตอบกลับไอส์ไปด้วยน้ำเสียงจริงจังเหลือเชื่อ
ตั้งแต่ที่เอลริสจากไป โปรเฟตะก็รู้สึกได้ถึงกลุ่มก้อนพลังบางอย่างที่ค่อยๆรวมตัวกันขึ้นมา
จึงทำให้สามารถทำนายช่วงเวลาที่มันจะปรากฏตัวออกมาได้
โปรเฟตะจึงรีบเตือนอัลเฟรียให้ใช้ฐานะของเซนต์เพื่อรวบรวมกำลังพลมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“นี่โปรเฟตะ นั่นมันอะไรกันน่ะ?”
“ส่วนที่เหลือของอีฟ…ล่ะมั้ง?”
อัลเฟรียรวบรวมพลังเวทย์มาไว้ที่มือ พร้อมกับถามถึงตัวตนที่กำลังโผล่ขึ้นมาจากเมฆนั้น
ที่เธอรวมพลังไว้เช่นนี้ ก็เพื่อที่จะโจมตีสุดกำลังใส่ได้ทันทีที่มันโผล่ออกมา
เธอไม่คิดที่จะออมมือหรอกนะ
ถึงอย่างนั้น เจ้าตัวที่อยู่บนฟ้านี่ ต่อให้เป็นการโจมตีทุ่มสุดตัวของเธอก็ใช่ว่าจะได้รับความเสียหายอะไรมาก
การจะออมแรงไว้จึงไม่ใช่ตัวเลือกด้วยซ้ำ
เธอกลัวว่าต่อให้ใช้พลังจนหมดก็ยังจะสู้ไม่ได้นี่สิ…
“อีฟ…แม่มดน่ะเป็นตัวตนที่สมควรจะเป็นตัวแทนของโลก เคยคิดมั้ยว่าทำไมถึงเกิดคลั่งขึ้นมาแล้วกลายเป็นศัตรูของมนุษยชาติไปได้น่ะ?”
“จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ในตอนที่เราเกิดมา ท่านแม่ก็กลายเป็นอาชญากรชื่อกระฉ่อนไปแล้วนะ”
ต่อหน้าอัลเฟรียแล้ว อีฟจะเป็นเพียงคุณแม่แสนใจดีธรรมดาๆ แต่ตั้งแต่จำความได้ อัลเฟรียก็รู้ว่าแม่ของเธอคืออาชญากรที่ถูกทุกประเทศในโลกไล่ตาม
หรือก็คือ ท่านแม่ของเธอน่ะคลั่งมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว
ก็คงไม่มีทางรู้ได้หรอกว่าอะไรที่ผลักดันให้เธอกลายเป็นแบบนั้น
“ใช้สมองคิดซะบ้างสิ เจ้ารู้จักหลักของการไหลเวียนพลังเวทย์ใช่มั้ยล่ะ? การที่ใช้พลังเวทย์ภายในจนหมดแล้วดูดจากภายนอกเข้ามา และโดยส่วนมากแล้วในพลังเวทย์เหล่านั้นก็มักที่จะมีอความรู้สึกของผู้ใช้ปนเปื้อนอยู่ด้วยน่ะ โดยเฉพาะความรู้สึกด้านลบแล้ว แต่ในการทำแบบนี้ ก็จะทำให้ปริมาณพลังเวทย์ที่สามารถบรรจุได้ในตัวคนคนนั้นเพิ่มขึ้นไปด้วย ผู้คนในโลกจะทำแบบนี้ได้โดยอัตโนมัติเหมือนกับหายใจ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วคนเราจะสามารถส่งพลังเวทย์ออกได้มากกว่านำเข้าโดยธรรมชาติ จึงไม่มีปัญหาอะไร แต่หากมีการเร่งกระบวนการดูดเข้าและถ่ายเทออกเพื่อจะพยายามเพิ่มการบรรจุพลังเวทย์ในตัวล่ะก็ ผลลัพท์ก็คือการดูดความรู้สึกแง่ลบเข้ามามากเกินไปจนบ้าคลั่งไปในที่สุด”
“เรื่องนั้นรู้อยู่แล้วน่า จะมาสอนพื้นฐานกันตอนนี้ทำไมเนี่ย?”
การไหลเวียนพลังเวทย์มีส่วนช่วยในการเพิ่มพูนพลังเวทย์ในตนเอง แต่หากทำมากเกินไปก็จะมีผลกระทบร้ายแรง
เรื่องนี้ใครๆก็รู้
โดนเต่ามาอธิบายความรู้เบื้องต้นแบบนี้ให้ อัลเฟรียรู้สึกว่ากำลังโดนปฏิบัติเหมือนเป็นคนโง่ชอบกล
“ที่จะบอกก็คือ สำหรับอีฟแล้ว สมดุลในการไหลเวียนพลังเวทย์ของเธอน่ะมันพังมาตั้งแต่แรกแล้วยังไงล่ะ เธอเกิดมาในฐานะตัวแทนของโลก ร่างกายของเธอมีการไหลเวียนพลังเวทย์ที่รวดเร็วกว่าคนทั่วไป และเป็นผลให้เธอดูดซับความรู้สึกด้านลบจากรอบด้านเข้าไป…แล้วก็คลั่งไปในที่สุด หลังจากที่เธอตายไป วิญญาณของเธออาจจะไปสู่สุขติก็จริง แต่พลังเวทย์และความรู้สึกด้านลบที่รวบรวมมานั้นก็ยังไม่หายไปไหน และนั่นก็คือส่วนที่อีฟหลงเหลือทิ้งไว้ พลังเวทย์และความรู้สึกด้านลบ…การที่เซนต์กลายเป็นแม่มดไปได้ก็เพราะความรู้สึกด้านลบเหล่านั้นถูกถ่ายทอดไปยังพวกเธอ และย้อมพวกเธอด้วยความบ้าคลั่ง ที่เห็นอยู่ตรงนี้ ก็คือพลังเวทย์และความรู้สึกด้านลบที่สะสมมาตลอดหนึ่งพันปีนี้ ควบแน่นจนออกมาเป็นตัวตนแบบนี้ยังไงล่ะ”
“…ท่านแม่ จะจากไปก็ยังทิ้งของแบบนี้ไว้…”
“ยังจะพูดแบบนั้นอีก? ที่อีฟผนึกเจ้าเอาไว้ก็คงเพราะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้านั่นล่ะ คิดว่านั่นคงจะเป็นความรักสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ในตัวของเธอที่นำมาซึ่งการตัดสินใจนั้นยังไงล่ะ”
เมื่อฟังคำของโปรเฟตะ อัลเฟรียก็หลับตา ระลึกถึงอดีต”
เธอคงจะยกโทษเรื่องที่จับเธอผนึกไว้เป็นพันปีให้ไม่ได้ ตอนนี้ก็ยังโกรธในเรื่องนั้นอยู่นะ
แต่ถ้านั่นไม่ได้เกิดขึ้น เธอก็คงไม่ได้มายืนอยู่ที่นี่ในตอนนี้
เธอมองขึ้นฟ้าอีกครั้ง เมฆทะมึนนั้นค่อยๆก่อตัวเป็นรูปร่าง ใบหน้าของแม่มดในแต่ละรุ่นค่อยๆผุดขึ้นมาให้เห็นพร้อมกับเสียงร้องโหยหวน
เป็นภาพที่น่าขยะแขยง ทำเอาพวกทหารขนลุก
“สรุปว่าต้นตอของทั้งหมดก็คือความรู้สึกด้านลบของมนุษย์ที่ทำให้ท่านแม่ตกลงสู่ความบ้าคลั่งสินะ ฮะ…สุดท้ายแล้ว สาเหตุของความเจ็บปวดที่มนุษยชาติต้อเผชิญ ก็คือความเจ็บปวดพวกนั้นเอง เป็นวงจรอุบาทว์จริงๆแฮะ”
“เอลริสเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว”
เมื่อได้ยินชื่อของเด็กสาวที่จากไปเมื่อไม่กี่วันก่อน อัลเฟรียก็ทำได้เพียงปิดปากเงียบ
“มีความเป็นไปได้สูงที่เอลริสจะมีอาการเช่นเดียวกับอีฟ การไหลเวียนพลังเวทย์ของพวกเธอนั้นแตกต่างจากคนอื่นๆ แต่ก็เป็นผลให้สามารถบรรจุพลังเวทย์ในร่างกายไว้ได้มากกว่าใครเช่นเดียวกัน แต่ในเวลาเดียวกันนั้น ก็จะทำให้จิตใจถูกย้อมเป็นสีดำ…ในประวัติศาสตร์เองก็มีคนอื่นๆที่แสดงอาการแบบเดียวกันอยู่ ทุกๆคนในนั้นล้วนมีความสามารถในด้านเวทมนตร์สูงส่ง และทุกๆคน…ก็เป็นวายร้ายต่ำช้าเช่นเดียวกันหมด เอลริสเองที่มีพลังเวทย์มากถึงขนาดนั้นก็เองก็คงมีอาการเช่นเดียวกัน ที่เธอแข็งแกร่งในระดับที่จะถูกเข้าใจว่าเป็นเซนต์ได้น่ะ ไม่ใช่เพราะว่าพรสวรรค์ เรียกว่าเป็น”โรคร้าย”คงจะเหมาะสมกว่า”
“แต่ว่า เด็กคนนั้นน่ะ…เป็นคนที่จิตใจงดงามบริสุทธิ์เท่าที่เราเคยเห็นมาเลยนะ ยังคิดเลยเนี่ยว่ามนุษย์นี่สามารถเป็นคนดีได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ”
“ถึงได้บอกว่าเป็นข้อยกเว้นยังไงล่ะ”
โปรเฟตะเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเอลริสที่ผ่านการไหลเวียนพลังเวทย์เช่นนั้นมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง สามารถคงจิตใจที่งดงามเช่นนั้นไว้ได้อย่างไร
เธอไหลเวียนพลังเวทย์ในร่างกายอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง แทบจะไม่มีทางเลยที่เธอจะไม่คลุ้มคลั่งกลายเป็นแบบอีฟ แต่กลับไม่มีสัญญาณแบบนั้นอยู่เลย
โปรเฟตะคิดได้ถึงความเป็นไปได้สามอย่าง
หนึ่งคือถ้าเอลริสมีจิตใจดำมืดมาตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะดูดซับความรู้สึกด้านลบเข้าไปมากเท่าไรก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง เพราะว่าเธอนั้นคลั่งมาตั้งแต่แรกแล้ว
แต่นั่นคงเป็นไปไม่ได้สำหรับเอลริส
สองคือการที่เอลริสสามารถมองจากมุมมองบุคคลที่สาม และคิดว่าความรู้สึกด้านลบที่ตนเองมีอยู่เป็นเพียงเรื่องของคนอื่น และเลือที่จะไม่สนใจ
นั่นก็ไม่น่าใช่ ทำไมคนที่ไม่สนใจเรื่องของคนอื่นถึงจะมาทุ่มเทให้กับการกอบกู้โลกถึงขนาดนั้นด้วย
หรือสาม ก็คือหากจิตใจของเธอนั้นกว้างขวางและบริสุทธิ์ในระดับที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปนเปื้อนได้…
แต่นั่นจะยังนับว่าเป็นมนุษย์ได้อีกหรือ ขนาดเทพธิดาอาจจะทำแบบนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ
จะอย่างไรก็ตามแต่…เรื่องที่เอลริสเสียสละตนเองเพื่อกอบกู้โลกนี้ไว้ก็เป็นเรื่องจริง
มีแค่เรื่องเดียวที่ต้องสะสางให้เสร็จ
“ในที่สุดก็รู้แล้วล่ะ ว่าทำไมเราถึงต้องติดอยู่ในคริสตัลนั่นมาเป็นพันปี”
“บังเอิญจังนะ ข้าก็รู้แล้วเหมือนกันว่าทำไมถึงอุตส่าห์มีชีวิตมาได้นานถึงขนาดนี้”
อัลฟรียเสริมพลังเวทย์ ส่วนโปรเฟตะก็ก้าวออกมา
ศัตรูคือตัวตนที่คงอยู่มาตั้งแต่พันแีที่แล้ว การจะกำจัดมันน่ะเป็นหน้าที่ของคนที่มาจากยุคเดียวกัน
นี่คือความตั้งใจของทั้งสอง
“เพื่อยุคสมัยนี้…เพื่อโลกที่เธอคนนั้นปกป้องเอาไว้ เรารอมาตั้งเป็นพันปีเพื่อเวลานี้โดยเฉพาะ! ไปกันเถอะทุกคน! การต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!”
“เป็นแค่เซนต์ไม่ได้เรื่องแท้ๆ แต่พูดได้ถูกใจดีนี่! การต่อสู้ครั้งนี้นี่ล่ะ ที่ชีวิตยาวกว่าพันปีนี้จะได้ใช้เป็นประโยชน์สักที!”
ทุกคนพยายามที่จะปลุกความฮึกเหิมเพื่อสร้างกำลังใจ
และในจังหวะนั้น ความแค้นที่สั่งสมมากว่าพันปีของเหล่าแม่มด ก็ก่อร่างเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา
“กะฮะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! อะฮะฮะฮะฮะฮะฮะฮะ–!”
–เสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งดังขึ้นมาจากบนท้องฟ้า