สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค - ตอนที่ 92 เรื่องราวของเธอคนนั้น
โปรเฟตะ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแทนของโลกเมื่อหนึ่งพันปีก่อน
ถึงจะบอกว่าหนึ่งพันปีแต่ก็ใช่ว่าจะเป๊ะๆ อาจจะหนึ่งพันสี่หรือหนึ่งพันห้าปีก็ได้ มันเองก็จำไม่ได้เช่นกัน เอาเป็นว่าตีกลมๆเป็นหนึ่งพันนั่นล่ะ
เพราะว่ามันถูกสร้างขึ้นมาในฐานะตัวแทนของโลก มันจึงได้รับมอบสติปัญญาทัดเทียมกับมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้มันไม่สามารถเข้ากับเผ่าพันธุ์ของตนได้ มันจึงแยกตัวออกจากฝูงเพื่อออกเดินทางตั้งแต่อายุยังน้อย
แม้จะไม่มีจุดหมายที่แน่ชัด แต่หน้าที่ของมันนั้นชัดเจน ก็เพื่อทำนายถึงการถือกำเนิดของเซนต์แต่ละยุค
ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นแค่เต่าตัวหนึ่ง ยิ่งในสมัยนั้นขนาดตัวของมันนี่เทียบกับในปัจจุบันไม่ได้เลย การเคลื่อนไหวของมันนี่สมกับคำว่า เต่าคลาน อย่างแท้จริง
เมื่อรู้ตัวอีกที มันก็มาอยู่ในสถานที่ที่ไม่สามารถอาหารกินได้ ในตอนนั้นก็เกือบจะตายอยู่แล้วเชียว
ตอนนั้นเอง คนที่ช่วยมันไว้ก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นแม่มดคนแรก อีฟ ในสมัยที่ยังคงสติไว้ได้อยู่
อีฟเองก็พอจะดูออกอยู่ว่ามันไม่ใช่เต่าธรรมดา ตามสัญชาตญาณแล้ว ทั้งสองฝ่ายสมควรที่จะเป็นศัตรูกัน
แต่เป็นเพราะว่าอีฟรู้ตัวดีว่าตนจะไม่สามารถคงสติสัมปชัญญะเอาไว้ได้อีกนาน จึงคิดที่จะฝากฝังลูกสาวของตนเอาไว้ให้โปรเฟตะเลี้ยงดู
นั่นจึงทำให้อัลเฟรียและโปรเฟตะถูกเลี้ยงดูและเติบโตมาด้วยกัน แทนที่จะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายและสัตว์เลี้ยง ควรจะเรียกว่าเป็นความสัมพันธ์ที่คล้ายคลึงกับพี่น้องเสียมากกว่า
และแล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่อีฟสูญเสียการควบคุมไป
เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเธอเองทำร้ายลูกสาว เธอจึงหนีห่างออกไปจากอัลเฟรียให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
อัลเฟรียคิดว่าตนเองถูกมารดาทอดทิ้งก็จริง แต่หากไม่ใช่เพราะความอดทนของอีฟแล้วล่ะก็ หลังจากที่เธอบ้าคลั่งไปแล้ว ก็คงไม่ลังเลเลยที่จะสังหารลูกสาวของตนเองที่ไม่สามารถสู้กลับได้
หลังจากที่อัลเฟรียถูกแยกออกจากอีฟได้ไม่นาน เธอก็ได้เรียนรู้ว่ามารดาของตนเองเป็นตัวตนเช่นไร จึงเลือกรับหน้าที่ในการหยุดท่านแม่เอาไว้ด้วยตัวของเธอเอง
อัลเฟรียอาจจะคิดว่านี่เป็นความตั้งใจของตัวเธอเอง…แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่านั่นเป็นผลลัพท์จากสัญชาตญาณของเซนต์ที่ถูกปลุกขึ้นมา
อัลเฟรียออกเดินทางพร้อมกับพาโปรเฟตะไปด้วย บางครั้งก็ใช้มันเป็นโล่ซะด้วยซ้ำ ในระหว่างทางก็ได้พบกับผู้คนและเพื่อนพ้องมากมาย เรียนรู้โลก แข็งแกร่งยิ่งขึ้น จนในที่สุดก็มาถึงตัวของอีฟได้สำเร็จ
และแล้วอัลเฟรียก็สามารถทำเป้าหมายของเธอได้…แต่นั่นเป็นเพียงการหลอกให้ตายใจโดยอีฟ ทำให้เธอถูกโจมตีทีเผลอและจับผนึกเอาไว้
ตั้งแต่นั้นมาโปรเฟตะก็มาพักอาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง คอยเฝ้ามองโลกภายนอกเรื่อยมา
ถึงอยากจะออกไปไหนมาไหน ตัวมันก็เชื่องช้าซะเหลือเกิน จะให้ใครยกพาไปก็ไม่ได้เนื่องจากขนาดตัวใหญ่ยักษ์ของมัน
ในป่านั้น มันได้พบกับสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์ที่ดูเหมือนจะวิวัฒนาการมาจากลิง ตอนแรกพวกมันก็ระแวงโปรเฟตะอยู่ไม่น้อย แต่หลังจากที่ใช้ความรู้ที่มีในการรักษาบาดแผลให้ พวกมันก็กลายมาเป็นผู้คุ้มครองของโปรเฟตะแทน
เวลาผ่านไป มันก็ถูกเชื้อพระวงศ์จากประเทศต่างๆตามจนเจอ
ดูเหมือนว่าอัลเฟรียจะเคยไปโม้เรื่องที่ว่ามันมีความสามารถในการทำนายการกำเนิดของเซนต์ให้ใครฟัง แล้วข่าวนี้ก็สะพัดไปทั่ว ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่พวกเขาจะต้องการญาณทิพย์ของโปรเฟตะ
หลังจากนั้น ผ่านไปกว่าพันปี โปรเฟตะก็รับหน้าที่ในการทำนายการเกิดขึ้นคนใหม่ในทุกยุคทุกสมัย
ยิ่งทำไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งทำให้มันรู้สึกแย่ในหน้าที่ของตนเอง
เซนต์คือผู้กอบกู้โลก แต่ในแง่หนึ่ง พวกเธอก็คือเหยื่อสังเวย
หลังจากที่โปรเฟตะทำนายการกำเนิดของเซนต์คนใหม่เสร็จสิ้น เซนต์คนนั้นก็จะถูกบังคับพรากจากพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ถูกเลี้ยงดูและสั่งสอนขึ้นมาโดยมีจุดมุ่งหมายเดียวก็คือการกำราบแม่มด และเมื่อทำหน้าที่นั้นสำเร็จ ก็จะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นแม่มดคนใหม่แทน
การทำนายของโปรเฟตะก็ไม่ต่างจากการผลักเซนต์เหล่านั้นลงไปยังขุมนรก
แน่นอนว่ามันเองก็เคยคิดที่จะล้มเลิกการทำนายการเกิดของเซนต์คนใหม่อยู่หลายครั้ง
ถึงแม้เซนต์จะสามารถจัดการกับแม่มดได้ ความสงบสุขก็จะคืนกลับมาเพียงแค่ราวๆห้าปีเท่านั้น
แต่หากมันไม่มีเซนต์คนใหม่มาแทนที่ล่ะก็ เซนต์คนก่อนหน้าที่กลายเป็นแม่มดก็จะไม่ได้รับการปลดปล่อยจากคำสาปและจะต้องทุกข์ทรมาณอยู่เช่นนั้นไปตลอดกาล
ถึงแม้การทำนายของมันจะเป็นส่วนหนึ่งของวังวนอุบาทว์นี้ แต่มันก็ไม่สามารถทำใจหยุดทำนายได้ เพราะตัวมันเองก็หวังที่จะปลดปล่อยเซนต์คนก่อนหน้าจากคำสาปของแม่มด
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่การทำนายของมันเป็นสิ่งที่ลากเซนต์ผู้บริสุทธิ์ออกจากชีวิตธรรมดาไปยังชีวิตที่โหดร้าย
และเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน มันก็ได้สร้างความผิดพลาดครั้งใหญ่
มันได้ทำนายถึงสถานที่กำเนิดพร้อมทั้งชื่อของเซนต์ที่กำเนิดขึ้นมาใหม่ ชื่อของเด็กคนนั้นคือ “เอลริส”
แน่นอนว่ามันก็บอกกับราชาไอส์ไปตามตรงว่า “เซนต์คนใหม่คือเอลริส” จนถึงตอนนี้ยังไม่มีความผิดพลาดใดเกิดขึ้น
ปัญหามันมาต่อจากนั้น
บิดาและมารดาของเซนต์คนใหม่นี้มีความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนบ้านของตน ภรรยาของทั้งสองครอบครัวเองก็ตั้งท้องในเวลาไล่เลี่ยกันด้วย นั่นทำให้ทั้งสองฝ่ายเริ่มคุยกันเรื่องชื่อของเด็กทั้งสองที่กำลังจะเกิดมา
ในระหว่างที่คุยกันอยู่นั้น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรดลใจ แต่พ่อแม่ของเซนต์กลับเลือกที่จะเปลี่ยนชื่อลูกของตนไปเป็น “เอเทอร์น่า” แทน
ทางเพื่อนบ้านที่เห็นว่าครอบครัวนั้นไม่คิดที่จะใช้ชื่อเก่าแล้ว จึงขอนำชื่อ”เอลริส”มาตั้งให้กับลูกสาวของพวกตน นั่นทำให้ชื่อนั้นถูกนำไปตั้งให้กับเด็กที่ไม่ใช่เซนต์แทน
การที่ทำนายชื่อของเซนต์คนใหม่ผิดนั้นเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของโปรเฟตะ
แน่นอนว่ามันก็ต้องการที่จะแก้ความเข้าใจผิดนี้ แต่มันไม่มีทางที่จะเดินทางไปถึงเมืองหลวงด้วยกำลังของตนเองได้ และร่างกายของมันก็สูงใหญ่เกินกว่าจะสามารถนั่งบนรถจักรได้
ถึงแม้จะพยายามบอกให้พวกผู้พิทักษ์นำสารไปส่ง ก็คุยกันไม่รู้เรื่องอีก จนต้องล้มเลิกไป
มันเคยประกาศออกไปว่ามีเพียงเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้สามารถเดินทางมาพบกับมันได้ จะรอให้ใครมาหาก็คงจะยาก
…พอพยายามทำนายอนาคตที่จะเกิดขึ้น มันก็ยิ่งรู้สึกสิ้นหวัง
ความสามารถในการคาดเดาอนาคตของโปรเฟตะนั้นคือชั้นหนึ่ง ทำให้มันสามารถรู้ได้อย่างง่ายดายว่าเรื่องใดจะเกิดขึ้นต่อไป
เซนต์นั้นคือตำแหน่งที่เป็นทั้งผู้กอบกู้โลกและเหยื่อสังเวย
เพราะแบบนั้น ไม่ว่าเธอจะทำอะไรไปก็จะได้รับการให้อภัย จะสามารถใช้อำนาจมากนึกแค่ไหนก็ได้โดยไม่มีใครปริปากบ่น และจะได้รับทุกอย่างตามที่ปรารถนา
ใครก็ตามที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นมีโอกาสสูงที่จะมีบุคลิกที่บิดเบี้ยว ยากมากที่จะต้านทานสิ่งล่อใจเช่นนี้ได้
ที่เซนต์รุ่นก่อนๆไม่กลายเป็นเช่นนั้นก็เพราะพวกเธอถูกสร้างมาให้มีจิตใจที่กล้าแข็งและบริสุทธิ์กว่ามนุษย์คนอื่นๆ
พวกเธอจะสามารถรับรู้ถึงหน้าที่ของตนเองได้ตามสัญชาตญาณ
แต่เอลริสนั้นเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่จำเป็นต้องแบกรับหน้าที่เหล่านั้น
และตัวเธอที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เอาใจเธอจนเกินเหตุก็จะกลายมาเป็นคนที่หยิ่งยโสและเอาแต่ใจ
แค่คิดถึงความวุ่นวายที่เซนต์ตัวปลอมคนนี้จะสร้างขึ้นก็ทำให้ตัวสั่นแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เอลริสยังมีอาการป่วยเช่นเดียวกับอีฟ
การดูดซับพลังเวทย์ของเธอนั้นรวดเร็วกว่าคนทั่วไปหลายเท่า และพลังเวทย์เหล่านั้นก็จะนำมาซึ่งความรู้สึกด้านลบที่จะกัดกินจิตใจของเธอทีละน้อยและนำเธอเข้าสู่ด้านมืดในที่สุด…ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครเลยที่มีอาการป่วยเช่นเดียวกันนี้ และถูกจดจำในฐานะคนดี
บุคคลที่คู่ควรน้อยที่สุดได้รับบทบาทที่เธอไม่สมควรจะได้
อนาคตที่รออยู่นั้นไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องที่ดี…ความผิดพลาดของโปรเฟตะในครั้งนี้ก็คงจะส่งผลให้มันถูกจับตัดหัวในอีกไม่นาน
แต่การคาดการณ์ของมันกลับผิดถนัด
เซนต์ตัวปลอมที่ถูกพาตัวไปเพราะความเข้าใจผิด กลับกลายมาเป็นผู้ที่สมกับเป็น”เซนต์”มากที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา
ไม่ว่าจะโคจรพลังเวทย์ไปมากแค่ไหน ก็ไม่มีวี่แววที่เธอจะตกลงสู่ด้านมืด ยิ่งพลังเวทย์ของเธอเพิ่มพูนมากขึ้นเท่าใด จำนวนปีศาจที่เธอกำจัดในแต่ละวันก็มากขึ้นเท่านั้น
เธอรักษาผู้ที่เจ็บป่วย นำความอุดมสมบูรณ์มาสู่พื้นที่รกร้างแห้งแล้ง ผู้คนที่ล้มตายจากความหิวโหยนั้นลดลงไปมากกว่าครึ่งจากอดีต
พอรู้สึกตัวอีกที เซนต์ตัวปลอมคนนี้ก็ถูกขนานนามว่าเป็นเซนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไปแล้ว โลกได้เข้าสู่ยุคสมัยแห่งความสงบสุขทั้งๆที่แม่มดอเล็กเซียยังคงมีชีวิตอยู่
อะไรกันเนี่ย? มันกลายมาเป็นอย่างนี้ได้อย่างไรกัน?
โปรเฟตะเองก็ไม่สามารถอดกลั้นความตกใจและประหลาดใจนี้ไว้ได้…และในเวลาเดียวกัน ความหวังก็ก่อตัวขึ้นมาในจิตใจของมัน
ถ้าหากเป็นเธอ…เซนต์ตัวปลอมที่ยิ่งกว่าตัวจริงคนนี้ล่ะก็ อาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้สำเร็จก็เป็นได้
โชคชะตาของเซนต์ก็คือการเป็นผู้กอบกู้และเหยื่อสังเวย ตราบเท่าที่พวกเธอยังเป็นส่วนหนึ่งของวังวนนี้ ก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
แต่เอลริสนั้นเป็นตัวตนที่อยู่นอกเหนือวังวน
นี่เป็นเหตุผลที่โปรเฟตะเลือกที่จะออกมาจากป่าของตนเป็นครั้งแรกในรอบพันปี ตั้งแต่ยุคของเซนต์คนแรก
มันรู้สึกได้… ว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นในยุคสมัยนี้
และลางสังหรณ์ของมันก็ถูกต้อง
ต้นตอของความชั่วร้ายทั้งหมดทั้งมวลถูกกำจัดด้วยฝีมือของเอลริส
แม่มดจะไม่เกิดขึ้นมาอีกแล้ว เซนต์เองก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป
สิ่งที่นำพาโลกใบนี้ไปสู่ความมืดมิดและกัดกินจิตใจของเหล่าแม่มด ก็คือความชั่วร้ายในจิตใจของมนุษย์
การที่จะทำลายวังวนนั้นลงได้ สิ่งที่จำเป็นนั้นไม่ใช่เซนต์ แต่เป็นแสงสว่างจากจิตใจของผู้คนต่างหาก
ที่เหลือที่ต้องทำ ก็แค่เปลี่ยนฉากตรงหน้าให้กลายเป็น “แฮปปี้เอนดิ้งที่ทุกคนจะสามารถยิ้มแย้มได้” ตามที่เอลริสคาดหวังไว้
หากชีวิตของเอลริสจะต้องจบลงอีกครั้ง จะทำให้อารมณ์ของทุกคนดิ่งเหวซะเปล่าๆ
เพราะเช่นนั้น…โปรเฟตะจึงเลือกที่จะแต่งตั้งเอลริสให้เป็นโหรคนถัดไป
ความแตกต่างของโหรและเซนต์ ก็คือโหรสามารถที่จะเลือกตัวผู้สืบทอดได้ด้วยตนเอง
ทันทีที่โปรเฟตะประกาศเช่นนั้นออกไป อายุขัยที่เหลือของมันก็จะถูกถ่ายทอดไปยังผู้สืบทอดแทน เป็นกลไกที่ป้องกันไม่ให้มีโหรเกิดขึ้นหลายคนในยุคสมัยเดียวกันได้
การเลือกเช่นนี้ ก็หมายถึงว่าโปรเฟตะจะต้องสละชีวิตของตัวเอง
ถึงแม้เรี่ยวแรงของมันจะถูกดูดออกไป และอายุขัยกำลังจะหมดลง แต่มันกลับอดหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจไม่ได้
“ทำไมล่ะคะ…โปรเฟตะ?”
เอลริสที่ถูกมันช่วยชีวิตเอาไว้ได้แต่กระพริบตาด้วยความตกตะลึง
เท่านี้เอลริสก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตายแล้ว
การที่เธอยังมีชีวิตอยู่คือกุญแจสำคัญของ”แฮปปี้เอนดิ้ง”ในครั้งนี้
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกน่า ถ้าเจ้าตายไปอีกล่ะก็ ทั้งโลกก็จะตกลงสู่ความโศกเศร้าอีกครั้ง ข้าอุตส่าห์รอจุดจบของเรื่องราวนี้มาเป็นพันปี จะให้มันจบด้วยอารมณ์หดหู่เช่นนั้นได้ยังไงกันล่ะ ถ้ามีใครที่จะต้องจากไปล่ะก็ ข้าน่ะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าโขเลยใช่มั้ยล่ะ…ข้าน่ะอยู่มานานพอแล้ว ได้เห็นอะไรมาก็มากมาย กระทั่งสิ่งที่คิดว่าจะไม่มีโอกาสได้เห็นในช่วงชีวิตนี้ จุดจบของโสกนาฏกรรมเช่นนี้น่ะ…พอได้เห็นเช่นนั้น ชีวิตที่อยู่มายาวนานเกินจำเป็นนี้ก็ไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว ยกชีวิตนี้ให้เจ้าแล้วก็จากไปอย่างสงบสุขนี่แหละ ดีที่สุดแล้ว”
มันไม่เสียใจเลย
นี่ไม่ใช่แค่ฉากหน้า จากก้นบึ้งของจิตใจ มันรู้สึกได้ว่า เวลานี้นี่ล่ะ ที่”เหมาะสม”ที่สุดกับความตายของมันแล้ว
จะให้อยู่อย่างคน…อย่างเต่าไร้จุดหมายไปอีกนานนี่ ไม่เอาด้วยหรอกนะ
“อีกอย่าง อายุขัยของข้าเองก็ไม่ได้เหลือมากแล้วด้วย อีกแค่ไม่กี่ร้อยปีข้าก็จะตายแล้ว”
“นั่นก็ไม่น้อยเลยนะคะ”
เอลริสอดที่จะตบมุกไม่ได้
จากมุมมองของโปรเฟตะ นั่นอาจจะเป็นแค่ไม่กี่ร้อยปี แต่สำหรับมนุษย์แล้วนั่นถือเป็นเวลาที่ยาวนานมาก
การที่มันส่งต่ออายุขัยที่เหลือให้กับเอลริส ก็หมายความว่าชีวิตของเอลริสในตอนนี้เองก็ถูกยืดออกไปเป็นหลักร้อยเช่นกัน
“เอลริส เจ้าน่ะช่วยเหลือผู้คนมาโดยตลอด รวมถึงจิตวิญญาณของเหล่าเซนต์ทั้งหลาย กระทั่งอีฟเองก็ด้วย… ถึงเวลาที่เจ้าจะเลือกเส้นทางของตัวเองแล้วล่ะ จะผูกสัมพันธ์กับใครก็ได้ตามต้องการ ไม่ว่าเจ้าจะเลือกอะไร ข้าก็ขอให้เจ้ามีแต่ความสุขรออยู่ข้างหน้านะ…เหตุผลที่เจ้าจะยังต้องรับตำแหน่งเซนต์ต่อไปก็ไม่มีแล้วด้วย”
ช่วงเวลาที่เซนต์เป็นสิ่งจำเป็นนั้นจบลงไปแล้ว
อย่างที่เอลริสเคยพูดไว้เลย ยุคสมัยใหม่ได้มาถึงแล้ว
สิ่งตกค้างจากยุคสมัยเก่าเมื่อหนึ่งพันปีก่อน…ก็ควรจะหายไปด้วยเช่นกัน
“ตั้งแต่นี้ไป คือยุคของพวกเธอ”
และแล้ว–ดวงตาของโหรผู้เฝ้ามองโลกใบนี้มากว่าพันปี ก็ได้ปิดลงอย่างถาวร
.
—นั่นเป็นความฝันที่น่าคิดถึง
เมื่อเธอลืมตาตื่นขึ้นมา ก็เห็นเพดานอันคุ้นเคยอยู่เหนือศีรษะ
ดูเหมือนว่าเธอจะผล็อยหลับไป ฝันถึงเรื่องราวในอดีต…ถ้าจะพูดก็ชาติที่แล้ว
เธอเดินแกว่งแขนเล็กน้อยเพื่อให้ลืมตาตื่นได้เต็มที่ เธอปัดผมที่ยุ่งออกเล็กน้อยก่อนที่จะเดินไปเปิดโน๊ตบุ๊ค
วอลเปเปอร์ของหน้าจอหลักนั้นเป็นรูปนิ่จากเกม
เกมที่ชื่อ”บุปผานิรันดร์ร่วงโรย”ซึ่งเธอเป็นผู้เขียนบท
ในรูปวาดนั้นคือเหล่าตัวละครในเกมซึ่งมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ตรงกลางนั้นคือเอลริสที่มีรอยยิ้มเจิดจ้ายิ่งกว่าใคร การได้เห็นเช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นมา
“ตอนนี้เอลริสกำลังทำอะไรอยู่นะ…ตามที่ฟุโดวซังบอกมา ดูเหมือนว่าเวลาของทั้งสองโลกจะเหลื่อมกันนี่นา ถ้าอย่างนั้นนี่ก็น่าจะเป็นช่วงเดียวกับที่ชั้นตายพอดีเลย”
เธอคนนั้น–ยามาโตะ ทามากิ หัวเราะออกมาเบาๆ
ด้วยเหตุผลบางอย่าง หลังจากที่โปรเฟตะตายไป มันกลับไม่ได้ไปยังโลกหลังความตาย แต่กลับมาเกิดใหม่ที่โลกนี้แทน
อายุขัยของมนุษย์นั้นเทียบกับอายุขัยของเธอในชาติที่แล้วไม่ได้เลย แต่หลังจากที่คิดอยู่นาน เธอก็ตัดสินใจที่จะนำเรื่องราวในชาติก่อนของตนมาเขียน
จะให้คิดแค่ว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากจินตนาการก็ได้ แต่เธอต้องการที่จะให้ผู้คนรับรู้ถึงเรื่องราวนี้ได้มากที่สุด
เรื่องราวของเซนต์จำนวนนับไม่ถ้วนที่เสียสละตนเองเพื่อต่อสู้
เรื่องราวของเซนต์ตัวปลอมที่ปิดฉากโศกนาฏกรรม
เธอส่งเรื่องนั้นเข้างานประกวดนิยายด้วยอารมณ์ชั่ววูบ แล้วก็ชนะรางวัลในหมวดหมู่เกมมาได้ จากนั้นจึงถูกนำไปสร้างเป็นเกม
ทางบริษัทสั่งให้ทามากิหยุดเขียนนิยายลงบนเว็บซะ ซึ่งเธอก็ไม่มีทางเลือกต้องลบมันออกจนหมด
ก็นะ ถ้ามันได้สร้างออกมาเป็นเกมจริงๆ ก็จะได้มีคนรู้เกี่ยวกับวีรกรรมของเอลริสมากขึ้น นั่นก็ไม่แย่เท่าไร
ในระหว่างการสร้าง…ก็โดนสั่งมาว่าเนื้อเรื่องมันเป็นเส้นตรงมากเกินไป ให้ไปใส่อะไรมาเพิ่ม แล้วก็เปลี่ยนตัวเอกเป็นเวอร์เนลแทนเอลริส เพราะว่าจะทำเป็นเกมจีบสาว
โดนบอกมาว่า “เนื้อเรื่องเส้นตรงที่ดำเนินเรื่องด้วยตัวเอกหญิงที่มีพลังไร้เทียมทานน่ะมันขายไม่ออกหรอกนะ” และดูเหมือนว่าทางบริษัทคิดจะทำมันออกมาเป็นเกมจีบสาวตั้งแต่แรกแล้ว
ส่วนตัวเอลริสเองก็เก่งเกินไปจนออกนอกหน้าตัวละครอื่นๆ เลยไม่ได้ถูกทำเป็นตัวละครที่จีบได้ด้วยซ้ำ ถูกลดบทกลายเป็นตัวประกอบไปแทน
แน่นอนว่าทามากิเองก็ต่อต้าน จุดมุ่งหมายของการเขียนเรื่องนี้ก็คือการถ่ายทอดเรื่องราวของเอลริส ถ้าเปลี่ยนตัวเอกล่ะก็ มันก็ไม่มีความหมายน่ะสิ
หลังจากที่ตื๊ออยู่นาน ในที่สุดก็คะยั้นคะยอให้ทำรูทเอลริสขึ้นมาได้สำเร็จ แต่เพราะว่าถ้าทำเป็นรูทปกติล่ะก็ เอลริสจะเป็นที่นิยมในระดับที่บดบังรูทอื่นซะหมด เลยโดนจับไปทำเป็นรูทลับแทน อิจูอิน ไอ้หน้าปลาจวดเอ๊ย
“อ่ะนะ…ดูเหมือนว่าจะมีกระแสให้ทำDLC แนว After Story สำหรับรูทเอลริสมาพอสมควรเลย จริงๆชั้นก็อยากจะรู้เหมือนกันนั่นล่ะว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อน่ะ เอาจริงๆไอ้หมอนั่นมันค้านไม่ให้ชั้นทำรูทเอลริสขึ้นมาตั้งแต่แรกแท้ๆ พอมันขายดีขึ้นมาล่ะ หน้ามือเป็นหลังเท้าเชียวนะเอ็ง”
ทามากิบ่นไปพร้อมกับคิดถึงบทที่อิจูอินโทรมาเร่งให้ทำให้เสร็จ
เธอยังจำตอนที่เธอคุยกับอิจูอินและฟุโดวได้อยู่เลย…แต่อิจูอินดูเหมือนจะลืมไปแล้ว
พอลองถามไป เขาก็ทำท่าเหมือนจะถามกลับว่า “พูดเรื่องอะไรน่ะ?” พอถามถึงฟุโดว นิอิโตะ ก็โดนตอบกลับมาว่า “ใครกันน่ะ?”
การที่ฟุโดวได้พบกับเอลริสที่ฟากนี้ มันเกิดขึ้นได้ยังไงเธอเองก็ไม่รู้
…ตอนที่เจอกันครั้งที่แล้ว สภาพเขานี่ดูเหมือนจะเจียนตายเลย ตอนนี้อาจจะตายไปแล้วจริงๆก็ได้
ถ้าคิดว่าเรื่องที่เขาพูดเป็นความจริง วิธีที่ทำให้เขาสามารถติดต่อกับเอลริสได้ก็จะถือว่าเป็นปริศนาที่อาจจะไม่มีวันถูกแก้
และก็ฉากนั้น ฉากหนึ่งที่ทามากิครั้งยังเป็นโปรเฟตะได้เห็น… โลกที่เอลริสเป็นวายร้ายและโลกก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือในท้ายที่สุด
ถึงแม้ทามากิจะพูดถึง”ฉาก A”เหมือนรู้ดี แต่เธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงเคยเห็นฉากนั้นได้
มีทฤษฎีมากมายที่เป็นไปได้…บางทีอาจจะเป็นโลกเองที่แสดงฉากนั้นให้เธอเห็นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย
ฟิโอริเอง ก็คงต้องการที่จะให้วังวนนั้นจบลงเช่นกัน
มันเองก็อาจจะมีความคาดหวังต่อเอลริสเช่นกัน…ไม่หรอก ทามากิคงจะคิดมากเกินไปนั่นล่ะ
คิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เอาเป็นว่าจดจ่ออยู่กับเรื่องตรงหน้าก่อนดีกว่า
“ตอนนี้เอลริสจะทำอะไรอยู่นะ…เธอน่าจะประกาศวางมือจากตำแหน่งเซนต์ เห็นเธอพยายามจะคือตำแหน่งให้เอเทอร์น่ามานานแล้วด้วย จากนั้น…เธอก็เกษียณไปสร้างกระท่อมเล็กๆอยู่ในป่า ไอ้หนูเวอร์กับเลย์ล่าก็น่าจะตามมาด้วย…ในเมื่อเป็นเกมจีบสาวก็ต้องใส่ฉากโรแมนติกเข้ามาด้วยสินะ ถึงเอลริสดูจะไม่เคยคิดถึงเรื่องอย่างนั้นเลยก็เถอะ เอาเป็นว่าใส่ฉากบรรยากาศดีๆระหว่างเธอกับไอ้หนูเวอร์เข้าไปสักหน่อย คนอ่านก็น่าจะพอใจกันแล้ว…เอาจริงๆไอ้หนูเวอร์นี่ก็เป้นพวกที่ชอบทำอะไรคาดไม่ถึงซะด้วย…อาจจะบอกว่า’ผมจะกลายเป็นผู้ชายที่คู่ควรกับท่านเอลริสให้ได้’แล้วก็ออกเดินทางฝึกวิชาอะไรทำนองนั้นก็ได้มั้ง?”
เธอพยายามคิดถึงว่าฟิโอริเป็นอย่างไรต่อไปหลังจากที่เธอตายไปแล้ว
อาจจะเป็นไปตามที่เธอคิดเลย หรืออาจจะไปคนละทางเลยก็ได้
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เธอรู้ดี…ว่าจะต้องมีอนาคตที่สดใสรอพวกเขาอยู่
เพราะว่าที่โลกนั้น มีเซนต์ตัวปลอมที่ยิ่งกว่าเซนต์ตัวจริง…ไม่สิ
มีเซนต์ที่ไม่ใช่ของโลก…แต่เป็น”เซนต์ของปวงชน” ผู้ปิดฉากม่านแห่งโศกนาฏกรรมพันปีลงได้สำเร็จ
ทามากิเผยรอยยิ้มออกมา
_____
เหลืออีกสองตอน
หลังจากแปลเรื่องนี้จบ ผมก็จะแปลตอนพิเศษทั้งหลายต่อควบไปกับขึ้นเรื่องใหม่เลยนะครับ
เรื่องต่อไปที่จะแปลนี่คือกาวยี่ห้อเดียวกับเรื่องนี้เลย เข้มข้นเหมือนกันเด๊ะ
Muyoku no Seijo wa Okane ni Tokimeku(นักบุญคนนี้หิวเงินจังเว้ย)