สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค - ตอนที่ 99 อนาคตของเซนต์ต่อจากนี้ 1
-ปราสาทเซนต์
ถูกสร้างขึ้นมามากกว่าหลายร้อยปีก่อนเพื่อเป็นสถานที่สำหรับฝึกสอน เลี้ยงดู และปกป้องเซนต์ของแต่ละยุคสมัย รอมทั้งยังเป็นคุกสำหรับกักขังเซนต์เหล่านั้นในยามฉุกเฉินอีกด้วย
มันถูกสร้างใหม่หรือซ่อมแซมมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มีกระทั่งครั้งที่มันถล่มลงมาในระหว่างการรบ ทำให้ต้องรื้อและสร้างมันขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ไม่มีใครแน่ใจว่าจริงๆแล้วมันถูกสร้างขึ้นมาตอนไหนกันแน่ หรือกระทั่งเรื่องที่ใครเป็นผู้สร้าง หากจะมีใครที่รู้ ก็คงมีเพียงโปรเฟตะผู้เป็นโหรเท่านั้น
มีการคาดเดาว่ามันถูกสร้างขึ้นมาครั้งแรกในตอนที่มีคนสังเกตได้ว่าเซนต์คนใหม่จะเกิดขึ้นมาในเวลาเดียวกับที่แม่มดคนใหม่ปรากฏตัว จะอย่างไรก็ตาม มันก็เป็นสถานที่ที่ไม่มีอยู่ในยุคสมัยของเซนต์คนแรก
จนถึงเมื่อไม่นานมานี้ ปราสาทหลังปัจจุบันนั้นเป็นที่พำนักของเซนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ก็ถูกส่งต่อไปยังเซนต์คนใหม่แทน
ผู้ที่มารับหน้าที่ของเซนต์แทนเธอก็คือ เซนต์คนแรก อัลเฟรียนั่นเอง
ทั้งๆที่เธอไม่น่าจะมีตัวตนในยุคสมัยได้ แต่ด้วยสถานการณ์บางอย่าง ทำให้ยุคสมัยนี้มีเซนต์อยู่ถึงสี่คนด้วย ทั้งๆที่โดยปกติแล้วแต่ละยุคสมัยจะมีเซนต์ได้เพียงคนเดียวแท้ๆ
คนแรกก็คือเซนต์ของยุคสมัยนี้ เอลริส
ถูกเรียกว่าเป็นเซนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เซนต์ในหมู่เซนต์ ตัวตนแห่งปาฏิหาริย์ผู้ปิดฉากโศกนาฏกรรมแห่งเซนต์และแม่มดที่มีมายาวนานกว่าพันปี
เธอคือเซนต์ผู้ช่วยเหลือทุกคนๆอย่างไม่แบ่งแยก กระจายความหวังและความสุขไปยังทุกๆที่ที่เธอย่างผ่าน ตัวตนอันเป็นที่รักที่สุดในโลก…
ทว่า เธอนั้นไม่ใช่เซนต์ที่แท้จริง เธอเป็นเพียงเด็กสาวสามัญชนที่เกิดมาในหมู่บ้านเดียวกันกับเซนต์ตัวจริง
ความผิดพลาดนี้ถูกเรียกโดยเหล่าผู้ที่รู้ความจริงว่าเป็น “ความผิดพลาดที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล” แน่นอนว่าจะให้ประกาศออกไปว่า “เธอคนนี้ไม่ใช่แม้กระทั่งเซนต์” ก็คงไม่ได้ เมื่อได้เห็นปาฏิหาริย์ของเธอกับตา ถึงบอกไปก็คงไม่มีใครเชื่อ
นั่นทำให้เธอถูกขนานนามว่าเป็น “เกรทเซนต์”(มหานักบุญ) ส่งผลให้ตำแหน่งของเธอนั้นอยู่สูงกว่าเซนต์ไปอีกหนึ่งขั้น
คนที่สองก็คือ เอเทอร์น่า เซนต์ที่แท้จริงของยุคสมัยนี้
จนถึงเมื่อไม่นานมานี้ เธอยังเป็นเพียงอัศวินฝึกหัดจากบ้านนอกอยู่เลย
ทั้งความงดงามและความสามารถของเธอนั้นสามารถเทียบได้กับเซนต์คนอื่นๆ แต่ที่ไม่เคยมีใครสงสัยถึงเรื่องที่เธออาจเป็นเซนต์เลย ก็เป็นเพราะว่าตัวเปรียบเทียบของเธอนั้น…อยู่ในระดับที่ยากจะทัดเทียมได้
เอเทอร์น่านั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเซนต์ในยุคสมัยอื่นเลย
เอาจริงๆ ต่อให้เอาเซนต์จากหลากหลายยุคสมัยมารวมกัน ก็ยังนับได้ว่าด้อยกว่าเอลริส
มีเสียงบางส่วนที่เสนอให้เอเทอร์น่าขึ้นมารับตำแหน่งต่อจากเอลริส แต่ก็ถูกเจ้าตัวปฏิเสธมาอย่างสุดกำลัง สุดท้ายเรื่องที่เธอเป็นเซนต์ตัวจริงของยุคนี้ก็ไม่ได้เผยแพร่ออกไป เป็นความลับที่มีผู้คนเพียงหยิบมือล่วงรู้เท่านั้น
ก็ใช่ว่ายากที่จะเข้าใจ จะให้มารับตำแหน่งต่อหลังจากที่ได้เห็นทุกอย่างที่เอลริสเคยทำไว้ มีแต่จะทำให้ตัวเองกลายเป็นตัวตลกซะเปล่า
คนที่สามก็คือเซนต์ของยุคสมัยก่อนหน้านี้ รวมทั้งแม่มดคนก่อน อเล็กเซีย
คำสาปที่ครอบงำเธออยู่ได้สลายหายไป ทำให้อเล็กเซียกลับมาเป็นเซนต์อีกครั้ง
ถึงอย่างนั้น นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถป่าวประกาศให้กับผู้คนรับรู้ได้
ถ้าผู้คนรู้ว่าอดีตแม่มดยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ คงจะมีเรื่องร้ายตามมา
จริงอยู่ที่อเล็กเซียนั้นถือเป็นแม่มดที่สร้างความเสียหายน้อยที่สุด ก็ศัตรูของเธอดันเป็นเอลริสนี่นา
อย่างไรก็ตาม ภายในช่วงสิบปีระหว่างตอนที่เอลริสเกิดมาและขึ้นมารับตำแหน่งเซนต์ ความเสียหายที่เธอได้สร้างไว้นั้นก็ไม่ใช่น้อยๆเลย
ควบคุมปีศาจมากมายให้เข้ารุกรานหมู่บ้านและเมือง ตัวเธอเอลก็เข้าร่วมในการรบอยู่บ่อยครั้ง ผู้คนที่ตกตายภายใต้เงื้อมมือของเธอ ทั้งทางตรงและทางอ้อมนั้นมีอยู่นับไม่ถ้วน
แน่นอนว่าผู้คนที่แค้นเธอนั้นมีอยู่ไม่น้อยเลย ต่อให้จะไม่ใช่ความผิดของเธอจริงๆ แต่ก็คงมีผู้คนจำนวนหนึ่งออกมาเรียกร้องให้”ประหารอเล็กเซีย”ไปซะ
เพราะเช่นนั้น อเล็กเซียจึงไม่สามารถเข้ารับตำแหน่งเป็นเซนต์คนต่อไปได้
ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำเป็นว่าแม่มดอเล็กเซียได้เสียชีวิตในการต่อสู้กับเซนต์เอลริสไปแล้ว
และคนที่สี่นั้นก็คือ…อัลเฟรีย บุตรสาวของแม่มดคนแรก
เธอตกอยู่ในสภาพโดนผนึกมากว่าพันปี และเป็นเซนต์ที่ไม่ได้โดนเปลี่ยนให้เป็นแม่มด
ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปิดบังตัวตนของเธอไปเลย เรื่องที่เธอเป็นเซนต์คนแรกเองนั้นก็ไม่ใช่ความลับอะไร ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเธอจะเป็นที่รู้จักของปวงชนถึงขนาดนั้น เนื่องจากว่าตัวตนของเอลริสที่มีอยู่ในจิตใจของผู้คนนั้นแข็งกล้าเกินไป
เป็นอัลเฟรียคนนี้เอง ที่มารับตำแหน่งเซนต์ต่อจากเอลริส
การที่เซนต์คนแรกจะมารับตำแหน่งต่อจากเซนต์ผู้ปิดฉากโศกนาฏกรรมพันปีนั้นก็คงจะแปลกอยู่บ้าง แต่ตัวเธอนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ตัวตนของอัลเฟรียนั้นไม่อาจเปิดเผยต่อสาธารณะชนได้ ส่วนเอเทอร์น่าเองก็ไม่ต้องการตำแหน่ง ไม่ว่าจะอย่างไร อัลเหรียก็เป็นเซนต์ที่มีชื่อเสียงมายาวนานกว่าพันปี เธอไม่ได้ถูกเกลียดเหมือนกับอเล็กเซีย และไม่มีปัญหาที่จะรับตำแหน่งเซนต์เหมือนเอเทอร์น่า
ถึงชื่อเสียงของเธอจะเทียบกับเอลริสไม่ได้ แต่ชื่อของเธอก็ยังโดนมาตั้งเป็นชื่อของสถาบันอัศวินเวทย์
เพราะแบบนั้นเอง ในตอนนี้ อัลเฟรียจึงมาพักอาศัยอยู่ในปราสาทเซนต์
…และเป็นตัวสร้างความปวดหัวให้กับเหล่าอัศวิน
…
“ท่านอัลเฟรียขอรับ วันนี้ท่านมีกำหนดการณ์ที่จะต้องมอบพรให้กับเหล่าผู้ติดตามที่โบสถ์…”
“เอ๋ ไม่อยากไปเลยอ่ะ ยุ่งยากออก”
อัลเฟรียที่นอนกลิ้งอยู่บนเตียงตอบปฏิเสธองครักษ์ส่วนตัวของเธอไปอย่างลวกๆ
องครักษ์ส่วนตัวคนนี้คือเร็กซ์ ผู้ได้รับสืบทอดตำแหน่งต่อจากเลย์ล่า สก๊อต
เลย์ล่าสละตำแหน่งองครักษ์ส่วนตัวเพื่อไปติดตามเอลริส นั่นทำให้เร็กซ์ถูกมอบตำแหน่งมาให้อย่างไม่ทันตั้งตัว
แน่นอนว่าก็มีคนที่พยายามห้ามเธอเอาไว้แล้ว แต่ก็โดนตอบกลับมาว่า “ตัวข้าไม่ใช่อัศวินของเซนต์ แต่เป็นของท่านเอลริสต่างหาก”
เร็กซ์เองก็อิจฉาเลย์ล่าอยู่ไม่น้อย แต่เขาก็ไม่อาจทอดทิ้งหน้าที่ของตัวเองไปได้
เพราะว่าเป็นตัวเอลริสเองที่ขอให้เขาเป็นกำลังช่วยเหลือเซนต์คนแรก อัลเฟรีย
การจะทิ้งหน้าที่ของตนไปก็เหมือนกับการลบหลู่ต่อเอลริส
เขาจึงลงเอยที่การได้รับตำแหน่งเป็นองครักษ์ส่วนตัวของเซนต์คนต่อไปแทน
“…จะพูดว่ายุ่งยากอะไรแบบนั้นไม่ได้นะครับ…”
“ก็มันยุ่งยากจริงๆนี่นา ตั้งแต่แรกแล้ว มอบพรนั่นมันอะไรล่ะนั่น? ไอ้ของแบบนั้นตัวเราทำไม่เป็นหรอกนะ? พลังของเซนต์น่ะมีผลแค่ในการกำจัดปีศาจเท่านั้นเอง ต่อให้สู้เกงแค่ไหน ความสามารถในด้านเวทย์รักษาก็พอๆกับนักเวทย์ทั่วไปนั่นล่ะ จะบอกว่าเซนต์สามารถใช้เวทย์รักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าคนปกติก็คงจะได้อ่ะนะ แต่นั่นไม่ใช่เพราะว่าความสามารถพิเศษอะไร ก็แค่อัดพลังเวทย์ลงไปได้เยอะกว่าชาวบ้านเท่านั้นเอง ว่าไปแล้วพวกเจ้านี่มีการพิฒนาเวทมนตร์มาตั้งเป็นพันปี ดีไม่ดีจะเก่งกว่าตัวเราซะอีก”
“นะ-นั่น…”
เซนต์นั้นไม่ใช่ตัวตนเหนือโลกอย่างที่คนส่วนใหญ่คิด
ก็เป็นแค่คนปกติที่มีความสามารถนิดหน่อยและชนะทางปีศาจและแม่มดก็เท่านั้น
พลังของเซนต์นั้นก็คือการที่สามารถโจมตีทะลุผ่านเวทย์ความมืด หรือก็คือเวทย์ควบคุมมิติที่ครอบคลุมปีศาจและแม่มดเอาไว้ไปได้
และความสามารถในการโจมตีทะลุนั้นก็เป็นเพราะเวทย์มิติที่หักล้างกันเอง เป็นพลังแบบเดียวกันจากทั้งสองฝ่ายนั่นล่ะ
ที่ผู้คนเรียกมันว่าเวทย์ความมืดก็เป็นเพราะว่าเป็นพลังของแม่มด ทำให้เกิดอิมเมจที่ไม่ดีขึ้นมา
ถ้าเรียกพลังที่เซนต์มีว่าเป็นเวทย์ความมืดแบบเดียวกัน ก็มีโอกาสที่ใครจะปะติดปะต่อได้ว่าเซนต์และแม่มดนั้นเป็นเหมือนกัน
จึงมีการเรียกพลังที่เซนต์ใช้ได้ว่า”พลังเซนต์”แทน เป็นการหลอกลวงปวงชน
ถึงเซนต์จะมีความสามารถในการควบคุมมิติได้…การให้พรอะไรนั่นมันอีกเรื่องหนึ่ง
ความสามารถในการเร่งการเจริญเติบโตของพืช? ความสามารถในการชำระล้างแหล่งน้ำ? สร้างแสงที่ทำให้ผู้ที่อาบมีสุขภาพดี?
…อะไรล่ะนั่น? น่ากลัวอ่ะ…? นั่นคือสิ่งที่อัลเฟรียคิด
“กะ-ก็ไม่ใช่ว่าท่านจำเป็นต้องให้พรจริงๆ แค่พูดเพื่อเป็นการเสริมกำลังใจก็พอ…”
“แต่ตอนเอลริสนี่ให้พรแบบของจริงเลยใช่มั้ยล่ะ ถ้าเราทำไปแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นนี่ คนจะไม่ผิดหวังกันเหรอ?”
“ก็…ก็จริงนะครับ แต่ว่า…”
“เออใช่ แล้วพรที่เอลริสให้นี่มันมีอะไรบ้างเหรอ?”
“ก็แตกต่างกันไปนะครับ…ก็มีรักษาบาดแผลและอาการเจ็บป่วย ฟื้นฟูกำลังวังชา แก้ไขสภาพร่างกายที่ผิดปกติ…แล้วก็ทำให้ผิวพรรณดีและเส้นผมเงางาม ประมาณนั้นล่ะครับ”
“โทษนะ เราไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเรื่องแบบนั้นมันเกิดได้ยังไง”
ถึงจะเป็นคนถามไปเอง อัลเฟรียก็ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงกับคำตอบที่ได้มา
มันเป็นของที่เหนือสามัญสำนึกของเธอแบบสุดกู่ จนรู้สึกว่าคิดไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร
เธอขอบอกตรงๆเลยว่า เซนต์น่ะทำอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอก
อัลเฟรียกระโจนตัวลงบนเตียงและกลิ้งไปมาอีกครั้ง
“พวกเจ้าน่าจะเข้าใจอะไรผิดไปนะ…เซนต์น่ะก็เป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญด้านการกำจัดปีศาจที่ถูกโลกยัดเยียดภาระหน้าที่มาให้ จะไปให้พรอะไรใครเขาได้ล่ะ ในเมื่อตัวเองถูกผูกติดอยู่กับคำสาปของโลกแบบนี้ เพราะอย่างนี้แหละ ครั้งนี้น่ะขอผ่าน ทีนี้ก็เอาขนมมาให้หน่อยสิ”
เธอสั่งให้เร็กซ์ช่วยบริการให้ ในขณะที่ตัวเองยังคงขี้เกียจอยู่บนเตียง
เธอกลิ้งไปมาในชุดเดรสสีขาวสำหรับเซนต์จนยับยู่ยี่ และทำให้กระโปรงกระดกขึ้นมา
เร็กซ์เบือนสายตาหนีไป ก่อนที่จะไอเล็กๆเพื่อเรียกความสนใจ
“อะแฮ่ม..! ก็ใช่ว่าจะต้องทำตามท่านเอลริสหรอกนะครับ แต่ว่าอย่างน้อยก็ควรทำตัวให้สมกับเป็นเซนต์…”
“ก็นั่นแหละ เราน่ะไม่เข้าใจเลยที่ว่า ‘สมกันเป็นเซนต์’ นี่มันหมายถึงอะไรกันแน่? ในยุคสมัยของเรานี่ไม่มีของอย่างตำแหน่งเวนต์ด้วยซ้ำนะ จนถึงตอนที่ปราบท่านแม่ได้ ตัวเรายังโดนเรียกว่าเป็นลูกแม่มดอยู่เลย ต้องรอจนเราปราบท่านแม่…ที่แค่แกล้งตายน่ะนะ…สำเร็จ พวกราชาถึงจะกลับกลอกมาเลียแข้งขาพร้อมกับมอบฉายา’เซนต์’มาให้”
“ยะ-อย่างนั้นหรือครับ…?”
“ก็ใช่น่ะสิ ตั้งแต่แรกแล้ว ตัวเรานี่คือรากฐานของเซนต์ทั้งหมดใช่มั้ยล่ะ? ถ้าอย่างนั้น ‘ทำตัวให้สมกับเป็นเซนต์’ ก็หมายถึง ‘ทำตัวให้สมกับเป็นตัวเราเอง’ น่ะสิ”
“อะ…อืม…ก็อาจจะอย่างนั้น…?”
เร็กซ์ได้แต่ส่งเสียงในลำคอให้กับคำพูดของอัลเฟรีย
ก็ใช่ว่านั่นจะเป็นข้อโต้แย้งที่ผิดเสียทีเดียว
ต้นตอของเซนต์ก็คืออัลเฟรีย ถ้าอย่างนั้นการทำให้ตัวสมกับเป็นเซนต์ ก็ย่อมหมายถึงทำตัวให้เหมือนกับอัลเฟรีย… ก็คงจะใช่
แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นไป ก็ใช่ว่าอัลเฟรียจะไม่เข้าใจถึงภาพลักษณ์ของเซนต์ที่ผู้คนมีอยู่
นั่นทำให้ตอนที่เธอเพิ่งถูกปล่อยออกมาจากผนึก จึงพยายามที่จะวางมาดให้สมเป็นเซนต์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
…แต่ก็นั่นล่ะ ตอนนี้น่ะยอมแพ้ไปแล้ว ตัวเธอไม่เหมาะกับการแสดงจริงๆนั่นล่ะ
“แต่ถึงอย่างนั้น กำหนดการณ์ในครั้งนี้ก็เปลี่ยนไม่ได้หรอกนะครับ รถม้าก็มารอแล้วด้วย เพราะเช่นนั้นก็ช่วยเตรียมตัว”
“ช่วยไม่ได้น้าา อ๊าา ก็นึกว่าจะได้ใช้ชีวิตหรูๆสบายๆไปทั้งชาติแล้วแท้ๆ แต่เซนต์ของยุคนี้ทำไมมันงานเยอะจัง”
ต่างจากในยุคของอัลเฟรียที่ไม่มีแม้กระทั่งตำแหน่งเซนต์ เซนต์ในหลายยุคสมัยที่ผ่านมานี้จะถูกเลี้ยงดูและสั่งสอนในระดับสูงมาตั้งแต่ยังเล็ก และจำเป็นที่จะต้องแบกรับความรับผิดชอบมากมาย
หลักๆก็ “ปราบแม่มด” “เป็นสูนย์รวมจิตใจของประชาชน” และ “พบปะผู้นำประเทศทั้งหลาย”
หน้าที่แรกไม่จำเป็นต้องอธิบาย ส่วนหน้าที่สอง โดยหลักแล้วก็คือการให้พรและอธิษฐานเพื่อการเกษตรที่ดีขึ้น
แน่นอนว่าเซนต์น่ะไม่มีพลังอะไรแบบนั้น ที่ทำนี่ก็แค่เป็นการบรรเทาความทุกข์ในใจของเหล่าประชาชน
เอลริสที่ให้พรของจริงอันนำมาซึ่งผลผลิตที่งอกงามได้ต่างหากที่เป็นของแปลก
หน้าที่สามนั้น ถึงแม้ฉากหน้าจะเป็นการปรึกษาและวางมาตรการในการรับมือปีศาจ แต่จริงๆแล้วก็แค่มาฟังพวกผู้นำประเทศบ่นเป็นการกดดันให้รีบปราบแม่มดให้ได้เร็วๆ
หน้าที่แรกนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้วด้วยผลงานของเอลริส
เพราะแบบนั้นถ้าจะให้พูดจริงๆ ตำแหน่งของเซนต์นั้นก็ไม่จำเป็นอีกแล้ว แต่นี่ก็ไม่ใช่ระบบที่คิดจะเลิกก็เลิกได้เลยทันที เหล่าผู้นำประเทศและอาร์คบิชอปของทางโบสถ์จึงลงมติให้มีการคงตำแหน่งเซนต์ต่อไปอย่างน้อยก็ระยะหนึ่ง
จะให้บอกว่า “เซนต์ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วเพราะว่างานจบแล้ว” นี่คงจะทำให้ประชาชนลุกฮือน่าดูเลย
ยิ่งกว่านั้นเซนต์ยังเป็นสัญลักษณ์ของโบสถ์แห่งเซนต์ ถ้าจู่ๆโบสถ์ก็หายไป จะนำมาซึ่งความโกลาหลครั้งใหญ่ได้
อย่างไรเสียก็ไม่มีแม่มดอีกต่อไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีเซนต์คนใหม่เกิดขึ้นมาหรือเปล่าด้วยซ้ำ
ตามแกติแล้ว เซนต์คนใหม่จะเกิดขึ้นมาหลังจากที่เซนต์คนก่อนหน้าเสียชีวิตหรือกลายเป็นแม่มดไป…แต่ในยุคนี้มีเซนต์อยู่ตั้งสามคน
จะมีเซนต์เกิดมาใหม่สามคนเลยรึเปล่า? หรือว่าจะเกิดมาก็ต่อเมื่อเซนต์ตัวจริงของยุคนี้ตายไป?
…หรือบางทีอาจจะไม่มีเซนต์อีกแล้วก็ได้ อย่างไรเสียหน้าที่ของพวกเธอก็จบลงไปแล้วด้วย
การจะตัดสินใจว่าอนาคตของเซนต์จะเป็นอย่างไรต่อจากนี้ไป ก็คงจำเป็นต้องรอจนถึงจุดนั้นเสียก่อน
อย่างน้อยก็จนกว่าอายุขัยของเซนต์ทั้งสาม อัลเฟรีย เอเทอร์น่า และอเล็กเซียจะหมดลง
อย่างน้อยที่สุด ในตอนนี้ ที่เซนต์สามารถทำได้ก็คงมีแค่ให้การอวยพรต่อผู้คน อธิษฐานถึงการเกษตรที่งอกงาม อไะรแบบนั้นต่อไป…
…
“แย่แล้วครับ! ท่านอัลเฟรียหายไปแล้ว!”
“เฮ้ย! อีกแล้วเหรอ! พอละสายตานิดเดียวก็ชอบหายไปตลอดเลย เป็นเด็กรึไงเนี่ย!”
“ว่าไปแล้ว จำได้ว่าเธอมองไปที่บาร์ตรงนั้นจากบนรถม้าด้วยสายตาอิจฉาแบบสุดๆพร้อมกับกัดเล็บไปด้วยครับ!”
“อยู่ที่นั่นแน่เลย! รีบไปเร็ว!”
–ทันทีที่มาถึงเมืองหลวง อัลเฟรียก็หลงทางหายไปในทันควัน