สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - ตอนที่ 141 โอกาสที่ยิ่งใหญ่
ตอนที่ 141 โอกาสที่ยิ่งใหญ่
การเพาะพันธุ์หนูทดลองไม่ได้สำคัญแค่การเลี้ยงหนูเท่านั้น ยิ่งมีฐานทดลองที่ครบเครื่องมากเท่าใด คุณภาพของหนูที่ออกมาก็ยิ่งมากเท่านั้น
บริษัทของเมิ่งอวิ๋นซี อาจจะเคยเป็นธุรกิจธรรมดาๆ มาก่อน มาตรฐานด้านคุณภาพของหนูทดลองก็ไม่สูงเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ทางบริษัทได้มีการปรับปรุงในทุกด้านแล้ว ถ้าพวกเขายังใช้หนูจากบริษัทของตนเองอีกก็อาจจะนำมาซึ่งปัญหาได้
ประการแรก การปรับปรุงคุณภาพของหนูทดลองต้องใช้เงินลงทุนมากเกินไป ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่คุ้มค่าเท่าการซื้อ อีกทั้งยังใช้เวลานานจนรอแทบไม่ไหว!
ประการที่สอง ทางบริษัทไม่จำเป็นต้องเก็บหนูพวกนี้ไว้อีกต่อไปแล้ว เพราะพวกมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับบริษัทแล้ว มีแต่จะเปลืองทรัพยากร จึงควรโอนย้ายหนูพวกนี้ไปเสีย
เมิ่งอวิ๋นซียิ้มพลางชี้ไปทางเหล่าคนที่เพิ่งเดินออกไป “เมื่อเช้าฉันนัดคุยกับคนจากอีกสี่บริษัทเรื่องที่จะโอนย้ายหนูไปเนี่ยแหละ”
พูดจบเธอก็ยกมือขึ้นดูนาฬิกา “ฉันยังมีนัดต่อ เดี๋ยวลูกค้าของฉันจะมาที่นี่ตอนสิบโมง”
ไป๋เยี่ยกลอกตาไปมา ถ่ายโอน…ถ่ายโอน…
ก่อนเขาจะเอ่ยปากถามขึ้น “ที่นี่เพาะหนูพันธุ์ไหนเหรอครับ
เมิ่งอวิ๋นซียื่นเอกสารฉบับหนึ่งให้ไป๋เยี่ย “นี่คือคำแนะนำต่างๆ คุณลองอ่านดูได้นะ แต่ตอนนี้ฉันคงต้องขอตัวก่อน ฉันไปกับคุณไม่ได้เพราะว่ามีนัดคุยเรื่องโอนย้ายหนูกับคนอื่นอยู่น่ะ”
เมิ่งอวิ๋นซีหันไปพูดกับชายที่ยืนอยู่ข้างๆ “หัวหน้าหยาง ไว้พาไป๋เยี่ยไปดูห้องแล็บของเราด้วยนะคะ ช่วงนี้เขาจะมาทำการทดลองที่นี่…”
พูดจบเมิ่งอวิ๋นซีก็หันมายิ้มให้ไป๋เยี่ยก่อนจะหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาแล้วเดินไปที่ห้องข้างๆ
หัวหน้าหยางเป็นชายศีรษะล้าน เขามีอายุสี่สิบห้าปีแล้ว ทว่าเขากลับดูแก่กว่าวัยเล็กน้อย ทั้งยังมีผิวคล้ำราวกับว่าเคยเป็นคนทำไร่ทำนามาก่อน
ชายคนนั้นส่งยิ้มให้ไป๋เยี่ยอย่างเป็นมิตร “ผมชื่อหยางกวงตง ผมมีหน้าที่ดูแลที่นี่ เดี๋ยวผมจะพาคุณไปที่…”
ถึงจะบอกว่าเป็นฐานเพาะพันธุ์ก็เถอะ แต่จริงๆ แล้วที่นี่ก็เป็นเพียงอาคารสี่ชั้นที่มีโรงงานสองแห่งที่ล้อมรอบด้วยอาคารในย่านชานเมืองของเมืองไท่หยวน ทว่ามันกลับดูสมบูรณ์แบบมาก
เมื่อพูดถึงการโอนย้ายครั้งนี้ หยางกวงตงก็เอาแต่ถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาเล่าว่าเขาเลี้ยงหนูมาตลอดชีวิต ถ้าโรงงานถูกขายไป เขาก็คงจะกลับไปบ้านเกิดหรือไปหาอย่างอื่นทำ…
ไป๋เยี่ยได้ยินดังนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ “ต่อให้โรงงานจะถูกขายไป แต่ว่าลุงหยาง ลุงยังทำงานต่อไปได้ด้วยทักษะที่ลุงมีนะครับ!”
หยางกวงตงยิ้มก่อนจะพูดต่อ “คิดว่าพวกนายทุนมันเข้าใจหนูบ้างไหม พวกนั้นชอบที่ดินผืนนี้จะตาย ลุงไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ พอซื้อที่ดินไป สร้างอาคารอะไรเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็จะขายอาคารเอากำไรอยู่ดีนั่นแหละ!”
“พวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการเลี้ยงหนูเลย ไม่กี่วันก่อนลุงมาที่นี่กับคุณเสี่ยวเมิ่งเพื่อคุยเรื่องธุรกิจกัน ลุงได้คุยกับลูกค้าตั้งเจ็ดแปดคน แต่ละคนก็ดูจะชอบที่ดินตรงนี้มาก แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องฐานเพาะพันธุ์ของเราเลยสักคน…เฮ้อ!”
หยางกวงตงพูดจบก็ถอนหายใจออกมายาวๆ เขาคงอึดอัดมากจริงๆ
มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวของไป๋เยี่ย ถ้าเขามีเงินพอ เขาก็คงซื้อที่นี่ไปแล้ว แต่พอเห็นว่าที่นี่มีพื้นที่ราวๆ ยี่สิบถึงสามสิบเอเคอร์ แถมยังมีโรงงานขนาดใหญ่อีกด้วย เขาก็ต้องถอนหายใจ…
มีเงินนี่มันดีจริงๆ!
ไป๋เยี่ยถามขึ้นอย่างสบายๆ “แล้วที่นี่มีราคาเท่าไหร่เหรอครับ”
หยางกวงตงมองไป๋เยี่ยก่อนจะพูดขึ้นอย่างติดตลกนิดๆ “คิดอะไรอยู่เหรอเจ้าหนู ไม่ซื่อสัตย์เลยนะเนี่ย…!”
ไป๋เยี่ยยิ้มตอบ “ผมแค่สงสัยครับ ผมจ่ายไม่ไหวแน่นอน ผมแค่คิดว่ามันน่าเสียดายที่ห้องแล็บดีๆ แบบนี้ต้องถูกรื้อทิ้งเพื่อสร้างอาคารทับน่ะ”
จู่ๆ หยางกวงตงก็เดือด “ใครจะไม่เสียดายเล่า! คนพวกนั้นก็รู้แค่วิธีสร้างอาคารเท่านั้นแหละ! จริงๆ แล้วพวกเขาไม่รู้อะไรเลย…จริงๆ เล่าให้หนูฟังคงไม่เสียหายหรอกมั้ง เมื่อเช้าลุงเห็นมีคนจากหลายบริษัทบอกปกติแล้วที่ดินผืนหนึ่งจะขายได้ประมาณห้าร้อยหยวน ที่ดินหนึ่งเอเคอร์น่ะได้ตั้งห้าล้านหยวน ส่วนที่เป็นห้องแล็บ ยังมีบางคนบอกว่าคุณเสี่ยวเมิ่งทุบที่นี่ทิ้งไปก็ยังดี!”
ไป๋เยี่ยได้ฟังก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ที่ดินหนึ่งเอเคอร์ราคาห้าล้าน ยี่สิบสามสิบเอเคอร์ก็ได้เป็นร้อยล้านแล้ว!
เฮ้อ…
ให้ขายตัวเองยังซื้อไม่ได้เลย!
ไป๋เยี่ยถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง รู้งี้ไม่ถามดีกว่า
หยางกวงตงพูดต่อ “พ่อหนุ่ม ที่มาที่นี่ก็เพราะอยากทำการทดลองหรือค้นคว้าเรื่องหนูทดลองใช่ไหม เรียนป.ตรีอยู่เหรอ แล้วเรียนคณะอะไรล่ะ”
ไป๋เยี่ยตอบไปตามตรง “ผมเคยทำงานในห้องแล็บแล้วก็วิจัยเรื่องหนูทดลองครับ ครั้งนี้ผมมาที่นี่ก็เพื่อทดสอบอะไรบางอย่างครับ”
ลุงหยางได้ยินดังนั้นก็เบิกตากว้าง รอยย่นบนหน้าผากของเขาก็ยิ่งเห็นได้ชัดมากยิ่งขึ้น เขาถามด้วยความสงสัย “คิดจะทำอะไรเหรอไอ้หนุ่ม บอกลุงหน่อยสิ”
ไป๋เยี่ยหัวเราะเบาๆ “งั้นเก็บเป็นความลับนะครับ!”
ไป๋เยี่ยใช้เวลาทั้งเช้าไปกับการเดินสำรวจรอบๆ ก่อนจะกลับไปที่อาคารสี่ชั้น ซึ่งเมิ่งอวิ๋นซีก็กำลังคุยงานอยู่ที่นั่น
ใกล้เที่ยงแล้ว หยางกวงตงดูเวลาก่อนจะพูดขึ้น “ไปเถอะ เดี๋ยวลุงพาไปกินข้าวที่โรงอาหาร ถึงที่นี่จะไม่ค่อนมีคนมาเท่าไหร่ แต่อาหารที่นี่อร่อยมากนะ ไว้ลุงพาไปชิม”
พอดีกับที่เมิ่งอวิ๋นซีกำลังไปส่งชายคนหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะเป็นเถ้าแก่
“คุณเมิ่งลองคิดให้รอบคอบนะครับ บริษัทของเราจริงใจมากและให้ราคาสูงด้วย อีกทั้งตอนนี้ทางคุณก็กำลังขาดทุนอยู่ ถ้าคุณรีบขายที่นี่ทิ้งก็คงจะเป็นการดีนะครับ” ชายคนนั้นเดินพลางยิ้มด้วยท่าทีมั่นใจเต็มเปี่ยม
เมิ่งอวิ๋นซียิ้มตอบ “ฉันจะคิดให้ดีแน่นอนค่ะ คุณจ้าวเดินทางดีๆ นะคะ ฉันคงไปส่งไม่ได้แล้ว”
ไป๋เยี่ยคิดอะไรได้อีกอย่าง แล้วถ้าเขาเช่าที่นี่มาบริหารเองล่ะ จะเป็นอย่างไรบ้าง
แน่นอนว่าไป๋เยี่ยไม่เคยคิดเรื่องการตลาด อุตสาหกรรมนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตลาด แต่ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีต่างหาก
ถ้าคุณมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า สิ่งที่คุณขาดจะไม่ใช่ตลาด! แต่เป็นสินค้า!
และเพราะว่าคุณไม่ได้วางจำหน่ายสินค้าของคุณอยู่แล้ว จึงเกิดการผูกขาดขึ้น ด้ายวิธีนี้ คุณจะสร้างรายได้ไม่ได้ได้อย่างไรกัน!
จู่ๆ ไป๋เยี่ยก็ตื่นเต้น ลองดูดีไหม
เขาถามหยางกวงตงอย่างระมัดระวัง “ลุงหยาง ถ้าจะเช่าที่นี่เป็นเวลาหนึ่งเดือนนี่คิดค่าเช่าเท่าไหร่เหรอครับ”
หยางกวงตงงนงง “ถ้าเช่าก็ไม่แพงหรอก ประมาณสองสามแสนหยวนต่อเดือน แต่พวกเราก็ขายหนูคุนหมิง (หนูเคเอ็ม) ไปบ้างแล้วแหละ ที่ยังเหลืออยู่ก็มีประมาณหนึ่งแสนตัวได้ ถ้าขายไปก็ได้อีกเป็นแสน รวมๆ ก็น่าจะได้หลายล้านอยู่นะ”
ไป๋เยี่ยได้ยินดังนั้นก็มีความคิดอยากเช่าสถานที่แห่งนี้ยิ่งกว่าเดิม
อย่างไรเสียเขาก็ได้ค้นพบวิธีการปรับปรุงพันธุ์หนูเคเอ็มแล้ว อีกทั้งเขายังมีวิธีให้อาหารและวิธีเพาะเลี้ยงหนูอยู่แล้วด้วย นี่แหละข้อได้เปรียบของเขา!
ถ้าเขาเช่าที่นี่ได้ เขาจะต้องสร้างรายได้ได้อย่างแน่นอน
ไป๋เยี่ยเตรียมให้พ่อแม่ของเขาจัดตั้งโรงงานผลิตอาหารสัตว์แล้ว ต่อไปมันจะต้องกลายเป็นห่วงโซ่อุตสาหกรรมแน่ๆ
นี่แหละการสร้างรายได้โดยอาศัยเทคโนโลยีที่คุณมี!
ยิ่งคิดไป๋เยี่ยก็ยิ่งรู้สึกชัดเจนในความคิดของตนเองมากยิ่งขึ้น เขาคิดว่าเขาควรจะลองดูสักตั้ง
อย่างน้อยนี่ก็เป็นโอกาสที่ดี
ไป๋เยี่ยคิดได้ดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเมิ่งอวิ๋นซีที่ยืนอยู่ตรงนั้น ก่อนจะเดินตรงไปหาเธอ