สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - ตอนที่ 148 ตัวแทนจำหน่าย
ตอนที่ 148 ตัวแทนจำหน่าย
ช่วงบ่ายวันนั้น ไป๋เยี่ยได้รับโทรศัพท์จากหยางจ่านจากสถานีโทรทัศน์
ทันทีที่ไป๋เยี่ยรับสาย เขาก็รีบทักทายอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงยิ้มแย้ม “ลุงหยาง ผมต้องไปอัดรายการแล้วเหรอครับ”
หยางจ่านยิ้ม “ก็ใช่ แต่ตอนนี้ฉันมีอีกเรื่องหนึ่ง สะดวกไหมล่ะ เพื่อนฉันอยากพบคุณน่ะ”
ไป๋เยี่ยตอบ “ถ้าเป็นคนที่ลุงหยางแนะนำ ผมยินดีครับ!”
หยางจ่านเป็นคนช่วยแนะนำสำนักพิมพ์ให้กับไป๋เยี่ย ทำให้เขาประหยัดค่าใช้จ่ายลงไปได้มาก ไป๋เยี่ยยังคงจดจำบุญคุณของเขาได้เสมอ
“โอเค! งั้นคุณก็รอที่มหา’ ลัยนะ เดี๋ยวจะขับรถไปรับ” หยางจ่านพูดจบก็นัดแนะเวลาและสถานที่ให้เรียบร้อย
ส่วนไป๋เยี่ยก็โทรหาพ่างจื่อก่อนจะออกไปตามนัด
รถของหยางจ่านเป็นรถยี่ห้อฮาร์เวิร์ดเอชไนน์ที่ผลิตในประเทศจีน รถของเขาดูใหม่และน่านั่งมากทีเดียว
ทั้งสองขับรถไปที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่ง ไป๋เยี่ยเงยหน้าขึ้นอ่านชื่อร้านหนังสือตรงหน้าแล้วจึงเดินตามหยางจ่านเข้าไป
อีกฝ่ายกำลังรอไป๋เยี่ยและหยางจ่านอยู่ เมื่อเขาเห็นทั้งคู่เดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้นทักทายทันที
“ฮ่า คุณคือไป๋เยี่ยสินะ ผมชื่นชมคุณมานานมากแล้ว!” ชายคนที่รอพวกเขาอยู่กล่าวอย่างร่าเริง เขาเหมือนจะมีอายุกว่าหยางจ่านเล็กน้อย
เพียงแต่ว่า…ไป๋เยี่ยก็ยังคงไม่ชินกับการที่มีคนอายุราวๆ สี่ห้าสิบปีมาชื่นชมเขาอยู่ดี
“สวัสดีครับ เรียกผมว่าเสี่ยวเยี่ยก็พอ” ไป๋เยี่ยตอบรับด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ทำตัวอวดเบ่งเลยแม้แต่น้อย
หยางจ่านแนะนำ “เสี่ยวเยี่ย นี่คือเพื่อนที่รักของฉัน เขาชื่อว่าโจวหลิง เป็นเจ้าของร้านหนังสือนี้ เรียกเขาว่าลุงโจวก็ได้ เขาเป็นคนหลักแหลมคนหนึ่งเลยละ”
ไป๋เยี่ยได้ยินดังนั้นก็กล่าวทักทายอีกที “สวัสดีครับ ลุงโจว”
โจวหลิงหัวเราะก่อนจะพูดต่อ “นั่งลงเร็วเข้า ไว้ผมให้คนมารินชาให้”
หลังจากที่พูดคุยกันไปได้พอสมควรแล้ว หยางจ่านก็เสริมขึ้น “ลุงโจวเป็นเพื่อนร่วมงานของฉันที่สถานีโทรทัศน์ แต่เขามีความกล้ากว่าฉันมาก เขาเริ่มทำธุรกิจของตนเองตั้งแต่เนิ่นๆ จนตอนนี้เขาได้เปิดร้านหนังสือในเครือของเขาแล้ว”
ไป๋เยี่ยเคยได้ยินชื่อ ‘ร้านหนังสือทาหย่า’ มาก่อน ตอนที่ไป๋เยี่ยเข้ามาที่นี่ เขาก็ลองไปหารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับร้าน และพบว่าที่นี่คือร้านหนังสือที่ขายดีทั้งหน้าร้านและทางออนไลน์
โจวหลิงเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “ก็แค่โชคดีเท่านั้นแหละ ต่อไปเราจะเข้าสู่เรื่องจริงจังแล้วนะ เสี่ยวเยี่ย ที่ผมขอให้พี่หยางเชิญคุณมาในวันนี้ก็เพราะผมมีบางอย่างอยากจะหารือกับคุณน่ะ”
“ผมต้องการซื้อสิทธิ์การเป็นตัวแทนจำหน่ายหนังสือ ‘บุกเบิกการแพทย์แผนจีน’ ของคุณ เป็นตัวแทนจำหน่วยของหน่วยงานระดับชาติน่ะ”
ไป๋เยี่ยถึงกับตะลึง!
หน่วยงานระดับชาติงั้นเหรอ
ไป๋เยี่ยเข้าใจว่าโจวหลิงต้องการซื้อสิขสิทธิ์ แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าโจวหลิงต้องการซื้อสิทธิ์การเป็นตัวแทนจำหน่าย ทำให้ไป๋เยี่ยเกิดความสับสนเล็กน้อย
โจวหลิงยิ้ม “จริงๆ แล้วผมก็คิดจะซื้อลิขสิทธิ์เหมือนกัน แต่ตัดสินใจราคาไม่ได้ ถ้ามันสูงเกินไปผมก็รู้สึกไม่ดี แต่ถ้าต่ำเกินไปผมเกรงว่ามันจะดูไม่ให้เกียรติคุณเท่าไหร่ ผมจึงลองคิดเรื่องนี้ดูแล้วตัดสินใจที่จะซื้อสิทธิ์การเป็นตัวแทนจำหน่ายแทน”
“เสี่ยวเยี่ย ฟังที่ผมพูดอยู่ไหม ถ้าคุณคิดว่ามีตรงไหนที่ไม่เหมาะสม เราก็มาหารือกันใหม่ได้ โอเคไหม”
คำพูดของโจวหลิงดูเคารพไป๋เยี่ยมาก ทำให้คนฟังรู้สึกสบายใจมาก ซึ่งไป๋เยี่ยเองก็ตอบตกลงเขาไป
โจวหลิงมองพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “คุณตีพิมพ์หนังสือไปประมาณสองหมื่นเล่มแล้ว ตอนนี้ก็น่าจะขายเกือบหมดแล้วใช่ไหม ทางเรามีหน้าที่รับผิดชอบการตีพิมพ์และจำหน่ายหนังสือของคุณในภายหลังทั้งหมด เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องกังวลอะไรเลย แต่…คุณช่วยเราโปรโมทหนังสือของคุณได้ตามความเหมาะสมเลยนะ…”
“เรื่องค่าใช้จ่าย ผมคิดว่าคุณน่าจะได้รับกำไรสิบห้าเปอร์เซ็นต์ต่อหนังสือหนึ่งเล่ม หมายความว่าคุณจะได้กำไรเล่มละสามหยวน”
“คุณไม่ต้องกังวลเรื่องช่องทางการจำหน่าย อุปทาน หรือเรื่องอื่นๆ เลย”
ไป๋เยี่ยฟังคำพูดของโจวหลิงพร้อมกับใช้ความคิดไปด้วย
การที่หนังสือของเขาได้รับความนิยมอย่างมากในตอนนี้ อีกทั้งหนังสือของเขายังขายออกไปในราคาเล่มละยี่สิบห้าหยวนนั้นย่อมมีสาเหตุ สาเหตุก็เช่นไม่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่มีการแข่งขัน หนังสือได้รับความนิยม และยังมีผู้เชี่ยวชาญและมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ คอยส่งเสริมด้วย
แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวเท่านั้น เมื่อพ้นช่วงนี้ไปแล้ว ปัจจัยอื่นๆ อย่างช่องทางการตลาดและการแข่งขันก็จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
ก่อนอื่นตัวไป๋เยี่ยเองก็ไม่มีเวลามากพอที่จะสนใจเรื่องธุรกิจ และเขาก็ไม่ได้มีความสามารถด้านนี้เท่าไหร่
ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นการยากที่จะบอกว่าสุดท้ายเขาจะขายหนังสือได้ทั้งหมดกี่เล่ม แต่เขาก็ไม่มีเรื่องต้องกังวล ในเมื่อลิขสิทธิ์ยังอยู่ในมือเขา ได้กำไรเล่มละสามหยวนก็ไม่น้อยเลย!
ถ้ามีการละเมิดลิขสิทธิ์ขึ้น ไป๋เยี่ยก็คงไม่แน่ใจว่าเขาจะขายหนังสือได้อีกหรือไม่ แต่เขาก็รู้ดีว่า ‘ร้านหนังสือทาหย่า’ เป็นร้านที่น่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง
สำคัญที่สุดคือ หลังจากที่เขาขายหนังสือชุดแรกทั้งสองหมื่นเล่มหมดแล้ว เขาก็จะมีรายได้ราวๆ สามแสนหยวน และเขาก็จะได้กำไรจากการจำหน่ายหนังสือชุดต่อๆ ไปโดยไม่สูญเสียอะไรเลย
หลังจากที่พิจารณาโดยถี่ถ้วนแล้ว ไป๋เยี่ยก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “คงต้องรบกวนลุงโจวแล้วครับ”
โจวหลิงโบกมือไปมา “ผมนัดแนะกับปรามาจารย์ท่านหนึ่งไว้แล้ว ต่อไปถ้าคุณรวยล่ะก็ อย่าลืมลุงโจวคนนี้ด้วยล่ะ”
ไป๋เยี่ยเซ็นสัญญากับโจวหลิงในวันนั้น จากนั้นก็โพสต์ลงในเวยป๋อว่าทุกคนซื้อหนังสือถูกลิขสิทธิ์ได้ที่ร้านหนังสือทาหย่า
เมื่อไป๋เยี่ยกลับมาที่มหาวิทยาลัย เขาก็พบว่าวันนี้ทุกคนทำงานหนักมาก เดิมทีเขามีหนังสืออยู่สองหมื่นเล่ม ลบหนังสือที่มีคนจองไปหนึ่งหมื่นเล่มกับอีกสามพันเล่มที่เพิ่งขายไป ตอนนี้ก็เท่ากับว่าเขามีหนังสือเหลืออยู่กับตัวห้าพันเล่ม
พอเห็นว่าพ่างจื่อกำลังยุ่ง เขาก็รู้สึกเกรงใจพ่างจื่อมาก ทั้งที่ตอนแรกพ่างจื่อตั้งใจจะเข้าร่วมการแข่งขันนวัตกรรม แต่กลับต้องมาช่วยเขานั่งขายหนังสือแทน
ไป๋เยี่ยไม่อยากรบกวนพ่างจื่อไปมากกว่านี้แล้ว เขาจึงคุยกับโจวหลิงว่าจะนำหนังสือไปขายให้ร้านหนังสือทาหย่าในราคาเล่มละสิบห้าหยวน
วันรุ่งขึ้น หนังสือทั้งหมดห้าพันเล่มก็ถูกส่งไปที่ร้านหนังสือทาหย่า ส่วนไป๋เยี่ยก็ได้รับเงินจำนวนเจ็ดหมื่นห้าพันหยวน
ไป๋เยี่ยลองคำนวณดูก็พบว่าตอนนี้เขามีรายได้รวมๆ สามแสนหยวนแล้ว
ไป๋เยี่ยหยิบเงินจำนวนสามหมื่นหยวนออกมาให้พ่างจื่อพลางมองเพื่อนรักของเขาด้วยสายตาเศร้าๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ช่วงนี้นายทำงานหนักมาก นายยุ่งจนน้ำหนักลดเลย ฉันรู้สึกแย่มากเลยนะ เอาเงินนี่ไปซื้ออะไรอร่อยๆ กินเถอะ”
พ่างจื่อได้ยินดังนั้นก็ดูจะเมินคำพูดของไป๋เยี่ยไป พอได้รับเงินสดสามหมื่นหยวนเขาก็เอาแต่พึมพำกับตนเอง “นี่มันเงินจำนวนมหาศาล! สามหมื่นหยวนแน่ะ ฮ่าๆ ไม่เลวๆ”
ไป๋เยี่ยยิ้ม ส่วนพ่างจื่อก็รับเงินนั่นไว้โดยไม่คัดค้าน ถ้าว่ากันตามตรง ก็คงต้องบอกว่าพ่างจื่อช่วยเขาไว้เยอะมากจริงๆ
ไป๋เยี่ยแทบไม่ได้ลงแรงอะไรอยู่แล้ว มีแต่พ่างจื่อที่คอยจัดการให้แทน ทั้งหาคนช่วย เปิดร้านในเถาเป่า ติดต่อกับบริษัทขนส่งและเรื่องอื่นๆ เสมือนเป็นธุรกิจของเขาเอง
พ่างจื่อไม่ได้มองไป๋เยี่ยเป็นคนนอกเลยแม้แต่น้อย ไป๋เยี่ยจึงไม่คิดงกกับพ่างจื่อเลย
อีกทั้งเพื่อนๆ ที่มาช่วยต่างก็ทำงานหนักเหมือนกัน ไป๋เยี่ยจึงส่งอั่งเปาให้พวกเขาคนละหนึ่งร้อยหยวน
พวกเขาก็ดูจะมีความสุขมาก ทั้งยังขอหนังสือ ‘บุกเบิกการแพทย์แผนจีน‘ จากไป๋เยี่ยอีกด้วย
ในห้องเรียนยังมีหนังสือเหลืออยู่หลายร้อยเล่ม หลังจากที่ไป๋เยี่ยจัดการแจกจ่ายให้ทุกคนแล้ว แต่ละคนต่างคนก็จากไปอย่างมีความสุข
ไป๋เยี่ยชี้ไปที่หนังสือที่ยังเหลืออยู่เกือบสามร้อยเล่มก่อนจะหันมามองพ่างจื่อ “ฉันควรทำยังไงต่อ”
พ่างจื่อกลอกตา เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “อีซี่!”