สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - ตอนที่ 149 ‘จากบนลงล่าง’ และ ‘จากล่างขึ้นบน’
ตอนที่ 149 ‘จากบนลงล่าง’ และ ‘จากล่างขึ้นบน’
มีการโพสต์ลงบนแอ็กเคานต์ของไป๋เยี่ยว่าเขาจะสุ่มแจกหนังสือให้กับผู้โชคดีจำนวนสองร้อยคนจากในช่องคอมเมนต์ เพื่อเป็นการตอบแทนเหล่าแฟนคลับ
พ่างจื่อจะเป็นคนจัดการเรื่องนั้นเอง ส่วนไป๋เยี่ยก็ยังคงมีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการอยู่
ช่วงนี้เขากำลังเขียนบทความเกี่ยวกับเกณฑ์การประเมินหนูทดลอง บีพีเอฟเอช โดยจะเน้นการเขียนถึงปัจจัยจากอาหารหนูของเขาที่มีผลต่อการประเมิน
ไป๋เยี่ยตั้งชื่ออาหารหนูของเขาเพื่อการยื่นขอรับสิทธิบัตรว่า ‘อาหารหนู ชนิด บีวาย-วัน’ หากในอนาคตมีการปรับเปลี่ยนสูตร ก็จะตั้งชื่อว่า บีวาย-ทู
หัวข้อของบทความก็คือ ‘ผลของการใช้อาหารหนูบีวาย-วันกับการใช้เกณฑ์การประเมินหนูทดลอง บีพีเอฟเอช’”
นี่คือขั้นตอนต่อไปที่ไป๋เยี่ยต้องทำ ถ้าคะแนนบีพีเอฟเอชเป็นที่ยอมรับ ก็ถึงเวลาที่อาหารหนูบีวาย-วันจะได้เฉิดฉายไปด้วย
ดังนั้นก่อนที่ไป๋เยี่ยจะลงมือทำขั้นตอนต่อไปได้ เขาจะต้องทำการวิเคราะห์และทดลองว่าอาหารหนูบีวาย-วันมีประโยชน์สำหรับหนูทดลองจริงๆ
อันที่จริงไป๋เยี่ยได้เตรียมการสำหรับเรื่องนี้มาเป็นเวลานานแล้ว โดยหนูเคเอ็มที่เขาคัดเลือกไว้ทั้งหนึ่งหมื่นตัวก็เป็นตัวทดลองของเขานั่นเอง
ไป๋เยี่ยซื้ออาหารหนูที่ใช้กันทั่วไปมาเลี้ยงหนูตัวอื่นๆ และทำการเปรียบเทียบกับหนูอีกหนึ่งหมื่นตัวที่ได้กินอาหารบีวาย-วัน
เขาขอให้หยางกวงตงช่วยบันทึกข้อมูลอย่างละเอียดรอบคอบ ส่วนไป๋เยี่ยมีหน้าที่ต้องวิเคราะห์และเปรียบเทียบผ่านการทดลอง
เขาทำการเปรียบเทียบแบบจำลองการทดลอง การทดลองในสัตว์ และปัจจัยอื่นๆ โดยอิงตามเกณฑ์บีพีเอฟเอช และได้ข้อสรุปออกมาดังต่อไปนี้
คะแนนบีพีเอฟเอชของหนูที่ได้กินอาหารบีวาย-วันสูงกว่าของหนูที่ได้กินอาหารชนิดอื่น
นี่คือสิ่งที่ไป๋เยี่ยต้องทำ เขามีเงินสามแสนหยวนที่เพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ และเงินคงเหลืออีกสี่แสนหยวน รวมกันเป็นเจ็ดแสนหยวน ถ้าต้องการจะซื้ออุปกรณ์การทดลองล่ะก็ ลำพังจำนวนเงินเพียงเท่านี้คงไม่พอ ยิ่งไปกว่านั้นคือการทดลองดังกล่าวกินเวลาค่อนข้างนาน
ไป๋เยี่ยรอไม่ไหว และเขาเองก็ไม่อยากรอด้วย
ดังนั้นไป๋เยี่ยจึงเบนเข็มไปที่จางฮั่นหลิน ผู้อำนวยการคนปัจจุบันของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีแทน
ไป๋เยี่ยต้องการเข้าร่วมการทดลองครั้งนี้ ทว่าศักยภาพของเขาก็มีขีดจำกัดเช่นกัน
ลำพังเขาคนเดียวจะจัดการกับเกณฑ์ประเมินบีพีเอฟเอชและเกณฑ์การทดลองอื่นๆ ได้มากแค่ไหนเชียว
มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเป็นเวทีที่สมบูรณ์แบบสำหรับการเปิดโอกาสให้กลุ่มอาจารย์และนักศึกษาที่มีความสามารถด้านการวิจัยได้มาร่วมทำงานวิจัยด้วยกัน
ในความเป็นจริง สถานการณ์นี้ก็เหมือนการพัฒนายาชนิดใหม่ๆ ของบริษัทยาหลายเจ้าในตลาด ซึ่งบริษัทยาจะใช้การวิจัยผลิตภัณฑ์ยาจากหน่วยงานนอกบริษัท และส่งยาให้นักวิจัยในมหาวิทยาลัยต่างๆ ทำการทดสอบและพัฒนาตัวยาต่อไป
บริษัทยาจึงมีทุนสนับสนุนงานวิจัยให้กับมหาวิทยาลัยและผู้เข้าร่วมการทดลองซึ่งรับประกันความถูกต้องและความเป็นทางการของการทดลอง
ดังนั้นอาจารย์มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จึงมีความรับผิดชอบไม่มากก็น้อยต่อโครงการวิจัยของบริษัทยา และมักจะให้นักศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมด้วยเสมอ
อีกทั้งถ้าอาจารย์เคยตีพิมพ์บทความ เข้าร่วมโครงการวิจัย หรือมีผลงานหลายรายการ ก็จะขอทุนสนับสนุนเพิ่มเติมได้ด้วย นอกจากนี้ นักศึกษาก็จะมีโอกาสได้เข้ามาศึกษาดูงานมากขึ้น ทั้งยังได้ทุนสนับสนุนไปอีกด้วย
ทางบริษัทยาก็ประหยัดแรงงาน ทรัพยากร วัสดุ และเงินทุนได้มากขึ้น ถือเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว
ปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยหลายแห่งที่ร่วมมือกับบริษัทยาขนาดใหญ่ ส่วนสถาบันวิจัยจากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั้งหลายก็มีหน้าที่ต้องทำโครงการวิจัยระดับชาติ
ไป๋เยี่ยต้องการร่วมมือกับทางมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซี
คิดแล้ว ไป๋เยี่ยก็หยิบปากกาขึ้นมาจดสิ่งที่เขาต้องทำลงกระดาษ
วันรุ่งขึ้น ไป๋เยี่ยมาที่ห้องผู้อำนวยการตั้งแต่เก้าโมงเช้า
ขั้นตอนการส่งมอบตำแหน่งจะเสร็จสิ้นลงภายในเวลาหนึ่งเดือนนี้ หูเฟิงอวิ๋นจึงมาที่มหาวิทยาลัยน้อยลง ถ้าจะมาก็แค่มาเดินดูเฉยๆ ได้ข่าวว่าเดือนหน้าเธอจะต้องไปรับตำแหน่งที่โรงพยาบาลผู่เจ๋อแล้ว
จางฮั่นหลินกลายเป็นผู้มีบทบาทมากขึ้น เหตุผลที่เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้อำนวยการก็เพราะเขาเป็นบุคลากรที่มีศักยภาพด้านการทำงานวิจัย
ไป๋เยี่ยเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้าไปพบกับจางฮั่นหลินที่กำลังส่งยิ้มมาทางเขา “นั่งลงสิ”
จางฮั่นหลินและหูเฟิงอวิ๋นต่างมองไป๋เยี่ยด้วยมุมมองที่ต่างกัน แม้ว่าไป๋เยี่ยจะเป็นที่โปรดปรานของทั้งคู่ แต่พวกเขาต่างก็ชอบไป๋เยี่ยในมุมที่ต่างกันอยู่ดี
หูเฟิงอวิ๋นมองว่าไป๋เยี่ยเป็นหลานชายของเธอ เธอจึงดูจะมีความลำเอียงและมักจะปกป้องไป๋เยี่ยมากกว่า
ทว่าจางฮั่นหลินนั้นแตกต่างออกไป เขาชื่นชมไป๋เยี่ยในฐานะที่เป็นนักศึกษาดีเด่น อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ในเชิงให้ความร่วมมือต่อกันมากกว่า
ฟังดูเป็นเรื่องเข้าใจง่าย เมื่อไป๋เยี่ยเข้ามา เขาก็นั่งลงด้วยความเคารพ ต่างจากตอนที่เขามาหาหูเฟิงอวิ๋น
จางฮั่นหลินกำลังยุ่งอยู่ เขาบอกแค่ว่าให้รอสักครู่ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาจัดการกับเอกสารต่ออย่างรอบคอบ
ไป๋เยี่ยตั้งตารอด้วยความอดทน จนกระทั่งผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง จางฮั่นหลินก็ถอดแว่นตาออกก่อนจะขยี้ตาแล้วยกมือขึ้นกุมขมับ
ไป๋เยี่ยจึงลุกขึ้นไปรินน้ำร้อนให้เขา “ขอบคุณที่ทำงานหนักนะครับผอ.จาง ดื่มน้ำสักหน่อยนะครับ”
จางฮั่นหลินยิ้ม “เฮ้อ การเป็นผอ.นี่มันไม่ง่ายเลย! เรียกผมว่าอาจารย์จางเถอะ ได้ยินคุณเรียกว่าผอ.จางแล้วมันฟังดูแปลกๆ ยังไงไม่รู้”
ไป๋เยี่ยไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ยิ้มและพยักหน้าเห็นด้วย
จางฮั่นหลินจิบชาในถ้วยก่อนจะเอ่ยปากถามขึ้น “ว่าแต่คุณมีเรื่องอะไรเหรอ”
ไป๋เยี่ยพยักหน้า “คือว่าผมมีเรื่องอยากคุยกับอาจารย์จางครับ”
จางฮั่นหลินพยักหน้าตอบ “ว่ามาเลย รีบหรือเปล่าล่ะ ถ้ารีบก็พูดมาก่อนได้เลย แต่ถ้าไม่ ผมมีเรื่องหนึ่งที่อยากขอความเห็นจากคุณน่ะ”
ทันทีที่ไป๋เยี่ยได้ยินคำพูดของจางฮั่นหลิน เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาต้องการความเห็นเราเรื่องอะไรกัน
“อาจารย์จางพูดมาก่อนเลยครับ เรื่องของผมยังไม่เร่งด่วน”
จางฮั่นหลินพึมพำก่อนจะวางมือลงบนโต๊ะ เขาขมวดคิ้วแน่นเป็นปมก่อนจะถามขึ้น “คุณคิดยังไงกับงานวิจัยของมหา’ ลัยเรา”
ไป๋เยี่ยรู้สึกประหม่าเมื่อได้ยินคำถาม เพราะงานวิจัยของมหาวิทยาลัยก็แย่จริงๆ…
ไป๋เยี่ยได้แต่ฝืนยิ้มแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ จางฮั่นหลินก็ดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่เขาสื่อ จึงได้แต่ส่ายหัวก่อนจะถามคำถามต่อไป “คุณว่าแนวทางการคิดค้นงานวิจัยของมหา’ ลัยเราควรเป็นยังไงบ้าง”
เป็นคำถามที่ยากมากสำหรับไป๋เยี่ย มหาวิทยาลัยใหญ่ขนาดนี้ จะมีแนวทางการวิจัยอย่างไรบ้าง นี่มันเป็นเรื่องที่เกินตัวไป๋เยี่ยไปมาก!
จางฮั่นหลินเห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมา “ตอบมาตามที่คุณคิดเลย ถือว่าคุยกัน”
ไป๋เยี่ยใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “การเดินจากบนลงล่างย่อมเร็วกว่าการเดินจากล่างขึ้นบน แต่การเดินจากล่างขึ้นบนต้องอาศัยความตั้งใจมากกว่า! ผมคิดว่าถ้าเราปรับตัวโดยการนำทั้งสองวิธีนี้มารวมกัน ก็อาจจะเกิดความมีเสถียรภาพได้”
จางฮั่นหลินได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตากว้าง!
จากบนลงล่าง เรากำลังพูดถึงตนเองอยู่ใช่ไหม การที่ทางมหาวิทยาลัยเลือกให้บุคลากรที่มีความสามารถด้านการทำวิจัยขึ้นมารับตำแหน่งผู้อำนวยการแบบนี้ถือว่าเป็นการตราหน้าไว้แล้วว่าผู้นำต้องมีผลงานด้านงานวิจัยไม่ใช่เหรอ
แล้ววิธีเดินจากล่างขึ้นบนล่ะ คำพูดของไป๋เยี่ยทำให้จางฮั่นหลินต้องหยุดคิด เขาเริ่มรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นนิดๆ แล้ว
ต้องมีการหารือเรื่องนี้กับบรรดาคณบดีอย่างละเอียด ทางมหาวิทยาลัยต้องเริ่มคิดหาวิธีการส่งเสริมงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ แบบ ‘ล่างขึ้นบน’ บ้าง!
พอคิดได้เช่นนี้แล้ว จางฮั่นหลินก็รู้สึกดีขึ้นมาก ความประทับใจของเขาที่มีต่อไป๋เยี่ยยิ่งเพิ่มขึ้นสูงกว่าเดิม
เขาหันไปมองไป๋เยี่ยทั้งรอยยิ้ม “ถึงตาเรื่องของคุณแล้ว วันนี้คุณมาหาผมด้วยเรื่องอะไรเหรอ”
ไป๋เยี่ยพยักหน้าก่อนจะหยิบเอกสารที่เตรียมมาออกมายื่นให้จางฮั่นหลิน “ผอ.ครับ ลองอ่านเอกสารนี่ดูนะครับ”
จางฮั่นหลินรับเอกสารมาและกวาดสายตาไปยังชื่อที่อยู่บนเอกสาร ทันใดนั้นความอยากรู้อยากเห็นก็ปรากฏขึ้นในแววตาของเขา