สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - ตอนที่ 154 ไป๋เยี่ยสร้างเรื่อง (2)
ตอนที่ 154 ไป๋เยี่ยสร้างเรื่อง (2)
สองวันมานี้ ไป๋เยี่ยเอาแต่เตรียมหัวข้องานวิจัยอยู่ในห้องสมุดไม่ก็หอพักของเขา เพราะเขาต้องการความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลและใช้งานฐานข้อมูลมหาวิทยาลัย
การทำรายงานเสนอหัวข้องานวิจัยถือเป็นการทดสอบแนวคิดและศักยภาพด้านการทำวิจัยของแต่ละบุคคล อีกทั้งศักยภาพดังกล่าวยังเป็นสิ่งนามธรรม เช่นเดียวกับศักยภาพด้านการคำนวณและการตัดสินใจ
นี่คือศักยภาพที่ได้มาจากการเรียนรู้และการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
การอ่านบทความเป็นร้อยฉบับสู้การฝึกฝนตนเองไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ไม่กี่วันมานี้ไป๋เยี่ยได้รับประโยชน์มากมายจากการสืบค้นและศึกษาข้อมูลต่างๆ อย่างเช่นเขาอัปเลเวลวิชาสัตววิทยาของสัตว์ทดลองขึ้นเป็นเลเวลสองได้
สัตววิทยาของสัตว์ทดลองเป็นสาขาวิชาที่ศึกษาสัตว์ทดลองโดยเฉพาะ เช่นเดียวกันกับที่เอ็มไอโอกำลังศึกษา
ไป๋เยี่ยใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์โดยการเดินทางไปที่สถานีโทรทัศน์เพื่อบันทึกรายการให้เสร็จสิ้น เป็นการจัดการกับเรื่องยิบๆ ย่อยๆ ให้เสร็จไปในตัว
เช้าวันศุกร์ ไป๋เยี่ยอ่านรายงานเสนอหัวข้อของเขาด้วยความพึงพอใจ เขาลองตรวจสอบให้ละเอียดอีกสี่ห้ารอบก่อนจะกดบันทึกไฟล์!
จากนั้นเขาก็ไปที่ร้านถ่ายเอกสารและพิมพ์สำเนาสองชุดตามที่จางฮั่นหลินบอกไว้ ก่อนจะตรงไปที่ห้องผู้อำนวยการ
มีคนเดินเข้าเดินออกไปมา ต่างคนก็ต่างทักทายไป๋เยี่ย
“สวัสดีรุ่นพี่!”
“สวัสดีตอนบ่าย รุ่นพี่!”
ไป๋เยี่ยตอบรับทุกคน ตอนนี้เขารู้สึกกลมกลืนไปกับบรรยากาศของมหาวิทยาลัยมาก
ผู้คนเหล่านี้ที่เข้ามาทักทายล้วนเป็นนักศึกษารุ่นน้อง พวกเขาต่างมองมาที่ไป๋เยี่ยด้วยแววตาตื่นเต้นและคาดหวัง
ใครบอกว่ามหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีไม่มีพรสวรรค์
ใครบอกว่าพวกเราล้าหลังจนไม่มีปัญญาปลูกฝังคนให้เป็นอัจฉริยะได้
ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมไป๋เยี่ยถึงกลายเป็นแบบอย่างที่จะคอยเป็นแนวทางให้กับคนอื่นๆ
ถ้าถามว่าการปรากฏตัวของไป๋เยี่ยทำให้คนกลุ่มใดมีความเปลี่ยนแปลงไปมากที่สุด
นั่นก็คงเป็นกลุ่มนักศึกษาปีหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่าไป๋เยี่ยคือไอดอลของพวกเขา บางครั้งก็อาจจะเห็นพวกเขาเดินถือหนังสือ ‘บุกเบิกการแพทย์แผนจีน’ มาขอลายเซ็นไป๋เยี่ยถึงที่บ้าง
ไป๋เยี่ยเองก็กระตือรือร้นเช่นกัน เขามักจะเขียนข้อความให้กำลังใจแก่พวกเขาเสมอ
อาจารย์ที่มีคลาสต่างก็รายงานเป็นเสียงเดียวกันว่าจำนวนรายชื่อที่ขาดเรียนนั้นน้อยลงเรื่อยๆ เพราะว่าทุกคนต่างมีแรงบันดาลใจในการเรียนแพทย์แผนจีนมากขึ้น ทั้งอัตราการเข้าเรียน อัตราการยืมหนังสือในห้องสมุดล้วนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
ไม่นานนัก ไป๋เยี่ยก็มาถึงห้องผู้อำนวยการ ไป๋เยี่ยนัดแนะกับจางฮั่นหลินไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องทันที
จางฮั่นหลินกำลังรอไป๋เยี่ยอยู่ เขาดูจะประหลาดใจมากเมื่อเห็นไป๋เยี่ยเดินเข้ามา
“เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันเองนี่ ทำเสร็จแล้วเหรอ ทำไมไม่ลองไปขอให้อาจารย์สวี่ช่วยดูล่ะ เขาเก่งเรื่องการทดลองนะ”
อาจารย์สวี่ที่จางฮั่นหลินพูดถึงก็คือสวี่จงเหล่ยนั่นเอง เขาอยากให้ไป๋เยี่ยลองพูดคุยกับสวี่จงเหล่ยดู เผื่อจะมีคำถามอะไร
ตั้งแต่ที่จางฮั่นหลินได้รับตำแหน่ง เขาก็ให้ความสำคัญกับสวี่จงเหล่ยมาก ไม่ต้องสงสัยในศักยภาพของสวี่จงเหล่ยเลย เพราะว่าทั้งเขาและจางฮั่นหลินต่างก็มีประสบการณ์แบบเดียวกัน และเขายังเป็นคนที่คุยได้หลายเรื่องอีกด้วย
ไป๋เยี่ยยิ้ม “พอเขียนเสร็จแล้วผมก็รีบเอามาส่งเลยครับ ก็เลยไม่ได้ไปหาอาจารย์สวี่ หรือว่าผมควรจะไปให้อาจารย์สวี่ช่วยดูก่อน เผื่อว่าจะต้องแก้อะไรอีก”
จางฮั่นหลินโบกมือไปมาก่อนจะก้มหน้าลงอ่านรายงานเสนอหัวข้อในมือ “นั่งลงก่อน ตอนนี้ผมกำลังว่าง ผมจะช่วยดูให้คุณก่อนแล้วกัน”
จู่ๆ จางฮั่นหลินก็ขมวดคิ้ว เขาเงยหน้าขึ้นแล้วจึงเอ่ยถามออกไป “คุณเป็นคนคิดค้นอาหารบีวาย-วันด้วยตัวเองหรือเปล่า”
ไป๋เยี่ยพยักหน้า “ใช่ครับ ผมคิดค้นด้วยตัวเอง แล้วผมก็ไปขอจดสิทธิบัตรมาแล้วด้วย”
จางฮั่นหลินทำเสียงประหลาดใจแล้วก้มหน้าลงอ่านต่อ เขาอ่านทุกตัวอักษรอย่างรอบคอบ ค่อยๆ พลิกหน้ากระดาษและเขียนบางอย่างลงไป
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา จางฮั่นหลินอ่านมาจนถึงหัวข้อเรื่องทุนสนับสนุน เขาสะดุ้งและเบิกตากว้าง “คุณจะเป็นผู้สนับสนุนทุนวิจัยเอง…คุณแน่ใจเหรอ”
ไป๋เยี่ยพยักหน้า “ใช่ครับ! เพราะนี่คืองานวิจัยของผม อีกทั้งผมยังจดสิทธิบัตรอาหารชนิดนี้ไว้แล้วด้วย ถ้า…ผมปล่อยให้ทางมหา’ ลัยออกทุนสนับสนุนเอง มันก็ดูจะไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่”
จางฮั่นหลินมองไป๋เยี่ยอย่างสงสัย “ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าคุณทำโครงการนี้โดยมีทุนสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยได้ เฮ้อ…เด็กสมัยนี้เนี่ยนะ!”
ไป๋เยี่ยยิ้ม “อาจารย์จาง ผมรู้ว่าอาจารย์หวังดี แล้วก็เข้าใจว่าอจารย์หมายความว่าอะไรนะครับ แล้วก็อาจารย์ไม่เห็นเหรอครับว่า ขอบเขตของงานวิจัยนี้ค่อนข้างกว้าง ต้องอาศัยความร่วมมือจากทางมหาวิทยาลัยมาก เพราะฉะนั้น…ผมเลยไม่อยากรบกวนอะไรไปมากกว่านี้แล้วครับ”
จางฮั่นหลินพึมพำ เขาลองอ่านเนื้อหาการออกแบบการทดลองและการจัดเตรียมการทดลอง ต้องบอกว่าไป๋เยี่ยเป็นคนเก่งและกล้ามากจริงๆ คนธรรมดาที่ไหนคงไม่กล้าทำการทดลองใหญ่โตแบบนี้หรอก
การทดลองต้องใช้หนูจำนวนหกหมื่นตัว โดยจะแบ่งหนูออกเป็นหกกลุ่ม แต่ละการทดลองย่อยๆ ในโครงการจะต้องใช้หนูแต่ละประเภทจำนวนสามร้อยตัว ซึ่งรวมๆ แล้วจะมีการทดลองย่อยราวๆ สามสิบการทดลอง
นี่เป็นโครงการใหญ่!
ยิ่งกว่าไปนั้น การทดลองก็ไม่ได้ยากมากนัก ในทางกลับกัน มันเป็นการทดลองที่ง่ายมาก หลายๆ การทดลองเป็นการทดลองที่ง่ายจนแม้แต่นักศึกษายังทำได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทดลองทั้งหมดต้องเกิดขึ้นโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เพียงแค่ทำการทดลองที่ได้รับมอบหมายและกรอกข้อมูลเกี่ยวกับหนูทดลองที่ใช้ลงไปเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการทำการทดลองผลของยาบางชนิดต่อน้ำตาลในเลือดของหนู คุณใช้หนูของเราได้ฟรี แต่คุณจะต้องบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับหนูทดลองที่ใช้ขณะที่ทำการทดลองด้วย ซึ่งการทำเช่นนี้จะไม่ส่งผลใดๆ ต่อขั้นตอนการทดลอง
มีหนูทดลองทั้งหมดหกกลุ่ม โดยแต่ละหน่วยทดลองจะได้รับหนูจำนวนสามร้อยตัว ซึ่งจะเพิ่มความยากให้กับการวิเคราะห์ข้อมูลมากขึ้นอีกด้วย
เมื่อคิดถึงประเด็นนี้แล้ว จางฮั่นหลินก็อยากจะถามไป๋เยี่ยถึงปัญหาในการวิเคราะห์หลังจากที่ได้รับผลการทดลองแล้ว ทว่าเขากลับพูดไม่ออก
ความรู้และความสามารถด้านสถิติของไป๋เยี่ยนั้น…ไปไกลกว่าเขามาก…เพราะฉะนั้นลืมมันไปเถอะ! ถ้าเขากล้าออกแบบการทดลองแบบนี้แล้ว เขาจะต้องทำได้อย่างแน่นอน
จางฮั่นหลินคิดแล้วก็ส่ายหัว
หลังจากที่อ่านทวนตั้งแต่ต้นจนจบอีกรอบ จางฮั่นหลินก็ถอนหายใจออกมา เขามองหน้าไป๋เยี่ยก่อนจะเอ่ยขึ้น “กลับไปแก้จุดที่ผมขีดไว้ เวลาเก้าโมงของวันจันทร์จะมีการโต้แย้งหัวข้องานวิจัย! กลับไปเตรียมสไลด์มาให้พร้อม แล้วมาเจอกันที่ห้องประชุมเล็กที่ชั้นสิบเก้า!”
ไป๋เยี่ยตะลึง เร็วขนาดนี้เลยเหรอ นึกว่าจะต้องใช้เวลาสักพักนะเนี่ย “นี่มันเร็วไปไหมครับอาจารย์”
จางฮั่นหลินหัวเราะเบา ๆ “ถ้าคิดว่าเร็วเกินไปก็รอปีหน้า!”
ไป๋เยี่ยรู้ว่าจางฮั่นหลินแค่พูดเล่นเฉยๆ จึงหัวเราะออกมาบ้าง
จางฮั่นหลินพูดต่อ “ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ถึงตอนนั้นผู้เชี่ยวชาญหลายคนจะมาตรวจสอบคุณเอง จากนั้นคุณก็เริ่มทำโครงการได้เลย แต่ว่า…คุณแน่ใจนะว่าจะไม่เปลี่ยนใจเรื่องเงินทุนน่ะ”
ไป๋เยี่ยพยักหน้า “ไม่เปลี่ยนครับ!”
จางฮั่นหลินส่ายหัวพร้อมกับยิ้มออกมา เด็กคนนี้กำลังจะสร้างเรื่องอีกแล้ว!