สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - ตอนที่ 21 จัดมาไม่ต้องปรานี
ตอนที่ 21 จัดมาไม่ต้องปรานี
อันที่จริงไป๋เยี่ยคุ้นหน้าชายผู้นี้ตั้งแต่ที่เขาเดินเข้ามาแล้ว พอได้ฟังพวกเขาคุยกันจึงคิดว่าต้องเป็นชายคนนั้นไม่ผิดแน่
ตอนนั้นชายผู้นี้มาขอให้เขาช่วยแก้วิเคราะห์สถิติให้ รูปโปรไฟล์วีแชตของเขาก็เป็นรูปตัวเขาเอง ในแชตก็มีแต่ชื่อ ‘ผู้อำนวยการเซียว’ ไม่ก็ ‘พี่หมิง’…
ไป๋เยี่ยมั่นใจว่าชายคนนี้คือเหยียนหมิง เดิมทีเขาก็ไม่ได้อยากทักทายอะไรมาก แต่พอเห็นท่าทีแบบนั้นของอีกฝ่ายก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย
ไป๋เยี่ยยกยิ้ม “ใช่สิ นักศึกษาป.โทเก่งอยู่แล้ว เก่งกว่าเด็กป.ตรีแบบพวกผมตั้งเท่าไหร่ แต่พวกเรียนป.โทบางคนก็ทำตัวมั่วซั่วนะ ผมจำได้ว่าผมเคยแก้ธีสิสชื่อว่า ‘ระยะเวลาการรักษาโรคกระเพาะเรื้อรังโดยใช้ยาเซิงหยางอี้เว่ยทัง’ ส่วนวิเคราะห์สถิตินี่ดูไม่ได้เลย เด็กอนุบาลยังทำดีกว่าอีก พี่ว่าทำไมพวกคนเรียนป.โทถึงเก่งขนาดนี้ล่ะ!”
เหยียนหมิงได้ยินก็ช็อก
‘ระยะเวลาการรักษาโรคกระเพาะเรื้อรังโดยใช้ยาเซิงหยางอี้เว่ยทัง’ คือธีสิสของเขา เพื่อนของเขาเป็นคนแนะนำให้รุ่นน้องเป็นคนทำวิเคราะห์สถิติให้ เขาเสียเงินไปแปดร้อยหยวน แต่นั่นก็เป็นแปดร้อยหยวนที่คุ้มค่า เพราะมันทำให้ผู้อำนวยการชื่นชมเขาไปอีกนาน
แน่นอน เขาบอกทุกคนว่าเขาเป็นคนทำวิเคราะห์สถิติเอง ไม่ได้ให้คนอื่นทำให้
ถ้าให้พูดคือ อย่างไรทั้งโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจิ้นซีและสถาบันวิจัยแพทย์แผนจีนก็ไม่ใช่สถาบันเดียวกัน เพราะฉะนั้นพวกนักศึกษาปริญญาโทที่นี่จึงไม่รู้ถึงการมีตัวตนของเทพแห่งสถิติอย่างไป๋เยี่ย
เหยียนหมิงได้ยินดังนั้นก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี เขาลองหยั่งเชิง “นายคือรุ่นน้องไป๋สินะ”
ไป๋เยี่ยพยักหน้าโดยไม่พูดมาก เห็นแค่ว่าเหยียนหมิงกำลังรินน้ำจากกาให้ไป๋เยี่ยและพ่างจื่อ เขากระแอม “ตอนเดินเข้ามาก็เห็นว่ารุ่นน้องทั้งสองคนนี่หน้าตาดูคุ้นๆ ที่แท้ก็เป็นพวกนายนี่เอง ฮ่าๆ…เดี๋ยววันนี้พี่เลี้ยงข้าวเอง ไม่ต้องเกรงใจ ฉันยังมีธุระน่ะ ค่อยคุยกันวันหลังนะ”
จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับเพื่อน “มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ เลยจะไม่อยู่กินข้าวแล้ว กินกันเยอะๆ นะ เดี๋ยวฉันไปก่อน”
ชายหนุ่มลุกขึ้นทันทีที่พูดจบ และหยิบใบเสร็จของไป๋เยี่ยไปจ่ายเงินด้วย ทว่าเจ้าพ่างจื่อกลับเอ่ยขึ้นด้วยแววตาลุกวาว “เถ้าแก่ มีบุหรี่ไหมครับ เอายี่ห้อจงหวาหนึ่งมวน อาฮะ แล้วมีอู่เหลียงเยี่ยไหมครับ เอาอู่เหลียงเยี่ยอีกหนึ่งขวดด้วย ยังไม่อิ่มเลย เอาจานที่แพงที่สุดในร้านแล้วกัน”
เหยียนหมิงที่กำลังเดินไปจ่ายเงินถึงกับถอยหลังจนแทบทรุด
ไป๋เยี่ยมองเขาด้วยสายตากลั่นแกล้ง ในขณะที่เหยียนหมิงมองเขาอย่างอ้อนวอน หวังว่าเขาจะปรานี
ไป๋เยี่ยโบกมือไปมา “ไม่ต้องหรอก ตอนบ่ายก็สอบแล้ว พ่างจื่อนายจะดื่มเหล้าทำแมวอะไร ข้าวก็กินไปแล้ว ไม่ต้องสั่งอะไรมาแล้ว ขอบคุณรุ่นพี่ที่ดูแลนะครับ พี่เลี้ยงข้าวผมทุกครั้งเลย ครั้งต่อไปไม่ต้องแล้วนะ เดี๋ยวผมเลี้ยงข้าวพี่บ้าง”
เหยียนหมิงได้ยินก็ซาบซึ้ง พอจ่ายเงินเสร็จก็รีบออกไปทันที อันที่จริงมื้อนี้ก็ไม่ได้ถูกนัก รวมๆ ก็ประมาณสองร้อยกว่าหยวนได้
ไป๋เยี่ยไม่ได้อยากมีเรื่องกับใคร อย่างไรก็ฝึกงานที่เดียวกัน ต้องได้เจอกันบ่อยอยู่แล้ว ไม่จำเป็นก็อย่ามีเรื่องทะเลาะกันเลย
หลังจากที่ทั้งคู่มาถึงโรงพยาบาลก็มาดูสนามสอบเสียหน่อย ทว่าพวกเขากลับได้เจอคนรู้จักอีกแล้ว
พวกเขาเห็นว่าหลิวจื้อพาคนหน้าคุ้นๆ มาที่สนามสอบด้วย หนึ่งในนั้นมีคนคุ้นเคยคนหนึ่งอย่างหลิวเจิ้นซี เขามาที่นี่ทำไม
เมื่อหลิวจื้อเห็นไป๋เยี่ยกับพ่างจื่อ เจ้าหมอนั่นก็คิดอะไรบางอย่างแล้วหันไปพูดกับหลิวเจิ้นซี “อาจารย์ครับ นั่นมันหวังโหย่วฝูกับไป๋เยี่ยไม่ใช่เหรอครับ”
หลิวเจิ้นซียกยิ้มพลางเดินไปหาทั้งสองคนพร้อมกับเหล่านักศึกษาฝึกงานในโรงพยาบาลที่เดินตามหลังเขามาสิบกว่าคน มองผ่านๆ เหมือนเป็นขบวนอะไรสักอย่างเลย!
ไป๋เยี่ยและพ่างจื่อเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “สวัสดีครับอาจารย์หลิว”
หลิวเจิ้นซีมองหวังโหย่วฝูพลางส่งยิ้มสนิทสนมให้แล้วจึงตบบ่าพ่างจื่อ “โหย่วฝู คุณเองก็ด้วย ถ้ามีเรื่องลำบากใจอะไรในมหา’ ลัยก็มาคุยกับผมได้ ผลการเรียนแย่คุณก็ไม่มาบอกผม เฮ้อ! นี่ผมยังเอาใจใส่คุณไม่พออีกเหรอ! ผมคงเป็นอาจารย์ที่แย่มากสินะ! ผมต้องโดนตรวสอบแน่!”
หลิวเจิ้นซีทำทีปวดใจก่อนจะพูดต่อ “ผมได้ยินมาว่าการสอบรอบนี้คุณก็ทำได้ไม่ดีเท่าไหร่นี่ เอาแบบนี้แล้วกัน เดี๋ยวผมจะหาหอพักแถวๆ มหา’ ลัยให้คุณ แล้วคุณก็ไปตั้งใจเรียนอีกสักปี ระหว่างหนึ่งปีนี้ถ้ารู้สึกว่าลำบากก็มาคุยกับผม ถึงแม้ว่าในคาบพวกเราจะเป็นศิษย์อาจารย์กัน แต่นอกเวลาเรียนเราก็เป็นเพื่อนกันได้นี่! คุณคิดว่างั้นไหม”
พ่างจื่อยิ้มซื่อบื้อ “ใช่แล้วๆ อาจารย์พูดถูกครับ!”
หลิวเจิ้นซีเห็นว่าพ่างจื่อเชื่อฟังแล้ว ก็หันมาทางไป๋เยี่ยที่อยู่ในสภาพเสื้อผ้ายับยู่ยี่ ผมเผ้ายุ่งเหยิงแทน “ไป๋เยี่ย เฮ้อ คุณต้องหัดเรียนรู้จากโหย่วฝูบ้างนะ ถึงผลการเรียนเขาจะแย่ แต่เขาก็พยายามอยู่ตลอดนะ”
ไป๋เยี่ยยิ้มแห้ง “อืมๆ อาจารย์พูดถูกครับ! ผมจะหัดเรียนรู้จากโหย่วฝูบ้าง”
คนรอบข้างได้ยินก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
หลิวเจิ้นซีจึงถอนหายใจแล้วชี้ที่ไป๋เยี่ย “ดูสภาพคุณสิ โตจนป่านนี้ยังไม่รู้จักให้ความสำคัญกับการแต่งตัว กลับไปก็แต่งตัวให้ดีๆ ซะ”
ไป๋เยี่ยพยักหน้า แม้ว่าหลิวเจิ้นซีจะปฏิบัติต่อเขาไม่ดีนัก แต่เขาก็ไม่ได้เพ่งเล็งไป๋เยี่ยจนเกินไป
การสอบกำลังจะเริ่มขึ้น ผู้คนต่างทยอยเข้าสนามสอบ