สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - ตอนที่ 48 ถ้าเราเก่งเกินไปเขาจะไม่รู้สึกแย่เหรอ
ตอนที่ 48 ถ้าเราเก่งเกินไปเขาจะไม่รู้สึกแย่เหรอ
“กราบสวัสดีท่านผู้ชมทุกท่านนะครับผม ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่…รายการทายาทแห่งการแพทย์แผนจีนซึ่งได้รับการสปอนเซอร์มานะครับ วันนี้ก็เป็นรอบตัดสินของการแข่งขันความรู้แพทย์แผนจีนแล้วนะครับ…มาดูกันครับว่าใครจะเป็นสิบอันดับแรกของการแข่งขันครั้งนี้บ้าง!”
เหลียงหย่งยืนเด่นอยู่บนเวที เขามองไปทางกล้องและกล่าวเปิดรายการวันนี้ด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน
“ทุกท่านจะเห็นว่าตอนนี้ผู้เข้าสอบทั้งสามสิบสี่คนจากแต่ละเขตเตรียมพร้อมกันเรียบร้อยแล้ว ในวันนี้ ณ สถานที่แห่งนี้จะเป็นเวทีและสนามรบของพวกเขา แต่ผู้ที่พวกเขาจะต้องเผชิญหน้านั้นคือกรรมการประจำวันนี้ นั่นก็คือ สิบยอดปรมาจารย์ด้านการแพทย์จากทั่วทั้งประเทศนั่นเอง! ส่วนผู้คุมสอบในวันนี้ก็คือ ‘หวังซีหยวน’ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการองค์กรบริหารการแพทย์แผนจีนของพวกเรา และ ‘ถูโยว’ ซึ่งเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ครับผม!”
“ต่อไป พวกเราจะให้ผู้อำนวยการองค์กรบริหารการแพทย์แผนจีนหรือท่านหวังซีหยวนเป็นผู้ประกาศเริ่มต้นการสอบครับ!”
ชายในเครื่องแบบเรียบง่ายผู้มีท่าทีเข้มงวดแต่กลับมีสีหน้าเรียบเฉย ก้าวขาขึ้นมาบนเวทีแล้วจึงค่อยๆ เอ่ยปาก “ยาจีน ถือเป็นสมบัติของพวกเรา เป็นสมบัติอันล้ำค่าของชาติจีน พวกเรามีความรับผิดชอบและหน้าที่ในการเชิดชูยาจีน การแข่งขันครั้งนี้ พวกคุณต้องทำให้ดี พวกคุณต้องแสดงศักยภาพและใจอันมุ่งมั่นออกมา”
“และด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงตัดสินใจว่าจะมอบเหรียญเกียรติยศและให้ลงนามในเอกสารฝากตัวเป็นศิษย์กับอาจารย์แพทย์ทั้งสิบท่านให้แก่ผู้ที่ได้คะแนนสิบอันดับแรก! และจะมอบเงินจำนวนหนึ่งแสนถึงหนึ่งล้านหยวนเป็นรางวัลด้วย!”
“ตอนนี้ เรามาอ่านขั้นตอนการแข่งขันกันก่อนนะครับ การสอบครั้งนี้เน้นการสอบสัมภาษณ์เป็นหลัก โดยจะแบ่งออกเป็นสองช่วง ช่วงที่หนึ่ง ‘จ่ายยาตามตำรับยา’ พวกเราจะจัดเตรียมตัวยาห้าสิบชนิดไว้ในกะละมัง จากนั้นก็แสดงเคสผู้ป่วยขึ้นบนหน้าจอ ผู้เข้าสอบจะต้องจ่ายยาให้ตรงตามอาการของผู้ป่วยภายในระยะเวลาที่กำหนด (ห้าสิบคะแนน) ช่วงที่สอง ‘ช่วงถามตอบ’ กรรมการจะถามคำถามเพื่อประเมินศักยภาพของผู้เข้าสอบ (ห้าสิบคะแนน)”
“การสอบเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ ณ บัดนี้!”
สิ้นเสียงของหวังซีหยวน เจ้าหน้าที่กว่าสามสิบคนก็นำกะละมังที่เต็มไปด้วยตัวยามาวางไว้หน้าผู้เข้าสอบแต่ละคน การสอบเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว!
กล้องแพนไปที่ภาพเคสผู้ป่วยที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอก่อนจะแพนกลับมาที่กะละมังใส่ยาและซูมเข้าไปใกล้ๆ บนทีวีจะเห็นภาพตัวยาที่ถูกวางกระจัดกระจายอยู่เต็มกะละมัง!
แค่มองก็รู้สึกปวดหัวแล้ว จะแยกออกมาอย่างไรดี
สวี่จงเหล่ยและลูกทีมอีกเก้าคนกำลังนั่งดูทีวีอยู่ในโรงแรม เมื่อพวกเขาเห็นการสอบช่วงแรกก็พากันเบิกตากว้างกันใหญ่
“โอ้โห จะทำไงดีล่ะนั่น อย่าว่าแต่คนเรียนหมออย่างเราๆ เลย ขนาดคนเรียนเภสัชยังไม่น่าจะแยกออกเลย!”
“นั่นสิ ปนกันกองใหญ่ขนาดนี้จะให้แยกยังไงเหรอ ยากเกินไปแล้ว ฉันว่าคงมีคนผ่านด่านนี้ไปได้ไม่กี่คนหรอก”
“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ ไป๋เยี่ยเพิ่งจะอายุยี่สิบสี่เอง ถึงเขาจะเก่งแต่ก็คงไม่ได้เก่งรอบด้านขนาดนั้นหรอก เขาอาจจะเก่งเรื่องการทำโจทย์ แต่การสอบนี้เป็นการสอบปฏิบัตินะ เขาจะทำยังไง”
เหลียงหย่งยื่นไมโครโฟนให้จางเสวียเวิ่นซึ่งเป็นกรรมการก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “อาจารย์จาง นี่มันยากมากเลยนะครับ ตัวยามากมายหลายชนิดขนาดนี้จะแยกออกมายังไงครับเนี่ย”
จางเสวียเวิ่นหัวเราะ “แพทย์ต้องใช้ยา ก็เหมือนกับขุนพลที่ต้องใช้กำลังทหารนั่นแหละ ถ้าคุณเป็นแม่ทัพที่ยังรู้จักทหารของตนไม่ดีพอ คุณจะไปชนะศึกได้ยังไง! ผมรู้จักอาจารย์หมอท่านหนึ่ง เขาไม่ต้องดูชนิดยาเลย แค่ดมกลิ่นก็รู้แล้วว่านั่นคือยาตัวไหน!”
ผู้คนที่นั่งดูอยู่หน้าจอทีวีเริ่มพากันถอดใจ
“พระเจ้า ยอดไปเลย ฉันจะแบ่งยากองเบ้อเริ่มนี่ออกยังไงดีเนี่ย”
“ใช่ไหมล่ะ ให้ดมกลิ่นเอาเหรอ”
“ฉันว่าไป๋เยี่ยไม่รอดแน่ ยังไงเขาก็เป็นแค่เด็กป.ตรี จะไปสู้คนพวกนั้นได้ยังไง”
ทว่าทุกคนกลับพบว่าไฟด้านหน้าไป๋เยี่ยติดแล้ว
กล้องจึงรีบแพนไปที่ไป๋เยี่ยทันที
พิธีกรเหลียงหย่งพูดขึ้น “ทุกท่านเห็นไหมครับ เขาคือผู้เข้าแข่งขันในตำนาน ‘ไป๋เยี่ย เบอร์ 0055’ นั่นเองครับ ไม่ว่าจะเป็นรอบคัดเลือก รอบระดับมณฑล หรือแม้แต่รอบระดับประเทศเขาก็เป็นอันดับหนึ่งมาโดยตลอด ตอนนี้คุณกดเปิดไฟแล้ว ไม่ทราบว่ามีคำถามอะไรไหมครับ!”
จางเสวียเวิ่นเห็นไป๋เยี่ยกดเปิดไฟก็คิดว่าเขามีคำถาม พลางคิดในใจ ในที่สุดเจ้าเด็กนี่ก็ยอมแพ้ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะเก่งขนาดนั้น!
จางเสวียเวิ่นจึงเอ่ยปากถาม “มีคำถามอะไรไหม”
ไป๋เยี่ยกวาดสายตาไปทางกล้องที่กำลังแพนหน้าเขาอยู่ เขาประหม่าเล็กน้อยจึงบีบจมูกเล่นและยิ้มอย่างเคอะเขิน “ผ…ผมทำเสร็จแล้วครับ”
ทุกคนตรงนั้นเงียบเสียงลงในทันที!
จางเสวียเวิ่นถึงกับลุกขึ้น “ป…เป็นไปไม่ได้!”
ทุกคนมองไปที่ไป๋เยี่ยตามเสียงของจางเสวียเวิ่น ผู้ชมต่างก็มองไปทางไป๋เยี่ยด้วยสายตาเฉยชา ผู้ชมทางบ้านเองก็นั่งอ้าปากค้างอยู่หน้าทีวี
ไป๋เยี่ยถอนหายใจ “ผ…ผมทำเสร็จแล้วจริงๆ ครับ”
จางเสวียเวิ่นทนไม่ไหว เขาลุกไปหาไป๋เยี่ยและหยิบถ้วยใบเล็กในมือไป๋เยี่ยมา ซึ่งในนั้นมียาที่ไป๋เยี่ยเลือกและกระดาษหนึ่งแผ่นวางอยู่
จางเสวียเวิ่นถึงกับสีหน้าเปลี่ยนเมื่อหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่าน
จากนั้นจึงหยิบยาจีนในถ้วยขึ้นมาหนึ่งหยิบมือ เพ่งพินิจอย่างละเอียด แล้วก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง!
ตอบถูกหมดเลย!
จางเสวียเวิ่นจ้องไป๋เยี่ยด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง แววตาของเขานั้นแฝงไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
น่ากลัวเกินไป! เด็กนี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!
จางเสวียเวิ่นหันกลับไปมองผู้คนรอบข้าง จากนั้นก็เดินออกไปพร้อมกับถ้วยของไป๋เยี่ย “เร่งมือหน่อยทุกคน ตอนนี้เวลาผ่านไป…เอ่อ…สามนาทีแล้ว มีบางคนทำเสร็จแล้ว เพราะฉะนั้นก็เร่งมือกันหน่อยนะครับ”
ว่าไงนะ!
ผ่านไปสามนาทีเองเหรอ
ตามกติกาคือมีเวลาให้สามสิบนาทีไม่ใช่เหรอ
หรือว่าไป๋เยี่ยจะทำเสร็จแล้ว
น่าเกรงขาม!
ผู้เข้าสอบแต่ละคนต่างมีความคิดเหล่านั้นผุดขึ้นมาในหัว พวกเขากลัวไป๋เยี่ยสุดขีด! เหลือเชื่อ…ไม่น่าเชื่อเลยสักนิด…พระเจ้าช่วย…มันทำยังไงของมัน…อะไรวะนั่น!
หยางเจ๋อปรายตามองไป๋เยี่ยพลางแค่นรอยยิ้ม
จางเสวียเวิ่นกลับมายังที่นั่งของเขาแล้วจึงยื่นถ้วยใบนั้นของไป๋เยี่ยให้กรรมการท่านอื่นดู กรรมการแต่ละท่านตรวจดูอย่างละเอียดก่อนจะพร้อมใจกันพยักหน้า สายตาของพวกเขาที่มองไปหาไป๋เยี่ยก็เปลี่ยนไปด้วย!
เหลียงหย่งคว้าไมโครโฟนขึ้นพูดกับหน้าจอทีวี “ร…หรือว่าไป๋เยี่ยจะทำเสร็จแล้วจริงๆ เขาทำไวขนาดนี้เลยเหรอ”
แววตาของฉีปิงลุกเป็นประกาย “สมกับเป็นไป๋เยี่ยจริงๆ สปีดไม่ตกเลยจริงๆ ค่ะ! ไวมาก! ชอบจังเลยค่า…”
เหลียงหย่งนิ่งไป เร็วแล้วดีจริงเหรอ
ผู้ชมหน้าทีวีต่างก็ตกตะลึง
“โห เรื่องจริงเหรอเนี่ย ไม่ใช่ละครใช่ไหม”
“นั่นน่ะสิ! เป็นนักแสดงหรือเปล่า มีบทมีฉากให้พร้อมเลยเนี่ย”
“พวกโง่ ไม่เห็นเหรอว่าใครอยู่ข้างบน ถูโยวเลยนะเว้ย! คนที่ได้รางวัลโนเบลน่ะ”
“ทุกคน นี่คือเรื่องจริงนะ อย่าใส่ร้ายกันเลย”
ไกลออกไป ณ ร้านอินเทอร์เน็ตแห่งหนึ่งในมณฑลจิ้นซี ชายร่างท้วมสองคนกำลังนั่งดูทีวีช่องสิบด้วยกันในคอมพิวเตอร์ พ่างจื่อเอ่ยขึ้นพลางชี้ไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
“เหมิงจื่อ นายเห็นไหม ฉันเป็นคนสอนเยี่ยจื่อเองแหละ! สกิลนี้เรียกว่าสกิล ‘ดมกลิ่นยาจีน’ นายรู้ไหมว่าตอนอยู่หอฉันสอนเขาไปไม่น้อยเลยนะ! มาๆ ดื่มกัน!”
เฮยพ่างจื่อมองไป๋เยี่ยผ่านหน้าจอด้วยสายตามึนเมาก่อนจะคว้าขวดเหล้าขึ้นมาดื่มหมดขวดในรวดเดียว “มาๆๆ วันนี้เป็นรอบตัดสินของน้องชายฉัน ฉันมีความสุขมากๆ เพราะงั้นวันนี้ฉันเลี้ยงค่าร้านเน็ตเอง!”
คนในร้านอินเทอร์เน็ตก็ดีใจสุดขีด!
“พี่เหมิ่งโคตรแกร่ง!”
“พี่เหมิ่งโคตรเทพ!”
“พี่เหมิ่งโคตรยุติธรรม!”
ทว่าเฮยพ่างจื่อกลับแทรกขึ้นมา “แต่มีข้อแม้ เสี่ยวหวัง ตั้งค่าให้ทุกคนดูแค่ทีวีช่องสิบหน่อยสิ มาดูน้องชายฉันแข่งนี่! ดูจบแล้วค่อยเล่นต่อ! ฉันเลี้ยงค่าเน็ตเลย!”
พ่างจื่อถอนหายใจ “เหมิงจื่อ นายเทพจนฉันอายเลยอะ”
เฮยพ่างจื่อยิ้มแหยๆ ใส่ “เฮ้อ นายพูดแบบนี้ไม่ถูกนะ ที่ฉันสอนคนให้เก่งได้ก็มาจากนายทั้งนั้นแหละ! ฉันก็แค่ตัวประกอบน่ะ…”
พ่างจื่อพึมพำในใจ ก็ใช่น่ะสิ เพราะฉันเทพเกินไปไงล่ะ! นายก็เก่ง ฉันก็เก่ง อืม พวกเรานี่เก่งจริงๆ ฉันเป็นห่วงเยี่ยจื่อจัง เขาจะตามพวกเราทันไหมนะ!
อีกอย่าง…ถ้าพวกเราเก่งแบบนี้ ไป๋เยี่ยจะรู้สึกอายหรือรู้สึกด้อยกว่าพวกเราหรือเปล่า
เฮยพ่างจื่อเองก็คิดแบบนั้น เขาพยักหน้า แล้วก็สะอึกจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ “อืม! ไม่ต้องซีเรียสหรอก!”