สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - ตอนที่ 63 เถ้าแก่ไป๋...คุณจะอายทำไม
ตอนที่ 63 เถ้าแก่ไป๋…คุณจะอายทำไม
ไป๋เยี่ยไม่ได้ออกไปไหนตลอดสองวัน ไม่ว่าข้างนอกจะครึกครื้นแค่ไหนก็ตาม เขาก็เอาแต่ขลุกตัวนั่งพินิจพิเคราะห์อยู่ในบ้าน
ก่อนหน้านี้เลเวลวิชาแพทย์แผนจีนของเขาเพิ่มขึ้นเร็วมากเสียจนเขาไม่มีเวลาตกตะกอนความรู้เหล่านั้น
โชคดีที่หลายวันมานี้ไป๋เยี่ยหาเวลาทำความเข้าใจความรู้ที่ได้เรียนมาตลอดจนบรรลุถึงประโยชน์ที่ได้จากความรู้เหล่านั้น
เปรียบดั่งเหล้า เหล้าที่มีรสชาติดีไม่ได้อาศัยเพียงแค่วัตถุดิบที่ดี หรือความชำนาญของคนหมักเหล้า แต่ต้องอาศัยระยะเวลาในการหมักที่นานพอด้วย
ห้องที่ไป๋เยี่ยอยู่มีหน้าต่างบานใหญ่บานหนึ่ง เขายืนขึ้นจ้องมองผ่านหน้าต่างบานนั้นไปโดยไม่พูดอะไร
มีคนกล่าวว่า การแพทย์แผนจีนนั้นมีที่มาจากศาสตร์ ‘อี้เสวีย’ ส่วนอี้เสวียคือศาสตร์อะไรนั้น บางคนก็กล่าวว่ามันเป็นศาสตร์ของลัทธิเต๋าหรือ ‘เต้าเสวีย’
อันที่จริงไป๋เยี่ยรู้ว่าไม่ว่าจะเป็นการแพทย์แผนจีน อี้เสวีย หรือเต้าเสวียก็ดี ต่างก็เป็นศาสตร์ที่มนุษย์ใช้ในการทำความเข้าใจธรรมชาติและชีวิต
แพทย์แผนจีนเชื่อว่าหากจะศึกษาร่างกายมนุษย์ก็ต้องศึกษาธรรมชาติ ภูมิอากาศ ภูมิศาสตร์และศาสตร์อื่นๆ ร่วมด้วย เพราะว่าร่างกายของมนุษย์เชื่อมโยงและเป็นหนึ่งเดียวกันกับธรรมชาติ
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องลึกลับหรือแปลกประหลาดอย่างที่จินตนาการไว้เลย เพียงแค่เป็นแนวคิดว่าการไหลเวียนของโลหิตและลมปราณในร่างกายของมนุษย์เป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและธรรมชาติเท่านั้นเอง
มีผู้คนมากมายในประวัติศาสตร์ที่มุ่งศึกษาดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน และความรู้ก็คือพลังที่คอยส่งเสริมความก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติเสมอมา
ไป๋เยี่ยคิดว่าศาสตร์การแพทย์นั้นไม่มีการแบ่งแยกว่าเป็นแพทย์แผนจีนหรือแผนปัจจุบัน เช่นเดียวกันกับวิทยาศาสตร์
เขารู้สึกว่าการนำความรู้ทางแพทย์แผนจีนและแผนปัจจุบันมาบูรณาการเข้าด้วยกันเป็นเรื่องยาก ต้องศึกษาศาสตร์ทั้งสองแขนงให้เชี่ยวชาญก่อนจึงจะบรรลุถึงความรู้อันแท้จริง!
ต้องหมั่นศึกษาทั้งสองแขนงไปพร้อมๆ กัน!
ยากสุดๆ!
ตัวอย่างเช่น คุณอยากให้ไก่กับหมาพูดได้ คุณคิดว่าเป็นเรื่องยากไหมล่ะ
ภาษาที่ต่างกัน หากไม่มีสื่อกลางก็ยากจะเข้าใจ
เช่น การจะทำความเข้าใจกับภาษาอังกฤษและภาษาจีนนั้นจะยากแค่ไหนกัน แต่ถ้าหากมีคนที่พูดได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน การสื่อสารก็คงเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น ถูกไหม
แพทย์แผนจีนไม่ใช่เรื่องแฟนตาซี หรืออภิปรัชญาใดๆ แต่เป็นแนวคิดวัตถุนิยมที่เรียบง่าย หรือกล่าวได้ว่าเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่ง
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ไป๋เยี่ยรู้ดีว่าแม้เส้นทางของเขาจะยังอีกยาวไกล แต่เขาก็กำลังเดินไปในทางที่ถูกต้องแล้ว
ตอนนี้เป็นกระบวนการสะสมความรู้ เขาต้องปูพื้นฐานความรู้ให้แน่นเสียก่อน ต่อไปหากได้รับโอกาสใดๆ ตัวเขาเองก็จะชำนาญมากขึ้น
แล้วที่ไหนถึงจะเหมาะแก่การบูรณาการความรู้แพทย์แผนจีนเข้ากับแผนปัจจุบันล่ะ
ก็บนวอร์ดไง!
เป้าหมายสูงสุดที่ศาสตร์การแพทย์ทั้งสองแขนงมีร่วมกันคือการรักษาโรคและช่วยชีวิตผู้ป่วย ไป๋เยี่ยจึงคิดว่าถ้าเขาหาจุดเชื่อมโยงของการแพทย์ทั้งสองแขนงนี้เจอ เขาก็จะบรรลุเป้าหมายของศาสตร์ทั้งสองได้
ตลอดสองวันนี้ แม้ว่าเลเวลทักษะของไป๋เยี่ยจะไม่ได้เพิ่มขึ้นเยอะเท่าไหร่ แต่ความเข้าใจในการแพทย์แผนจีนและศาสตร์การแพทย์ของเขานั้นกลับค่อยๆ เพิ่มขึ้นและพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
ไป๋เยี่ยมองออกไปยังท้องฟ้าสีหม่นนอกหน้าต่าง เกล็ดหิมะกำลังโปรยปรายลงมา
นี่…คือหิมะแรกของปีนี้งั้นเหรอ
ไป๋เยี่ยมองดูชั่วครู่แล้วจึงเดินลงไปข้างล่าง เมื่อมาถึงห้องรับแขกก็พบว่าเถ้าแก่ไป๋กำลังนั่งอ่านสมุดโน้ตพลางขมวดคิ้วกลุ้มใจอยู่เงียบๆ
ไป๋เยี่ยรินน้ำให้เขาก่อนจะมองผู้เป็นพ่ออย่างประหลาดใจ “เถ้าแก่ไป๋ทำอะไรอยู่เหรอ ดูจริงจังจัง”
หูไฉ่อวิ๋นถึงกับเอามือแปะหน้าตนเองพร้อมกับหัวเราะ “พ่อกำลังดูว่าปีนี้ขาดทุนไปเท่าไหร่ไง!”
ไป๋เยี่ยผงะไปแล้วจึงเอ่ยถามขึ้น “จริงด้วย แล้วที่พ่อบอกว่าจะซื้อโรง’บาลให้ผมนี่เรื่องจริงไหม”
เถ้าแก่ไป๋ถอนหายใจ “ซื้อโรง’บาลเหรอ ซื้อก็บ้าแล้ว! รายงานของปีที่แล้วก็เพิ่งออกมาหยกๆ ลูกรู้ไหมว่าปีก่อนพ่อมีรายได้เท่าไหร่”
ไป๋หลิงที่นอนอืดอยู่บนโซฟาถึงกับหูผึ่ง เธอกอดไอแพดพร้อมกับจ้องตาเขม็ง “ขาดทุนไปเท่าไหร่เหรอคะ! พ่อ! อย่าทำหนูตกใจสิ หนูไม่มีเงินสักหยวนเลยด้วยซ้ำ!”
หูไฉ่อวิ๋นหัวเราะแห้ง “เงินที่แม่มีเป็นเงินที่เก็บไว้เป็นค่าสินสอดของลูกชายน่ะ เพราะงั้นไม่ต้องมองมาทางนี้เลย! ตอนนั้นใครบอกให้คุณไปฟังคนพวกนั้นแล้วเอาเงินไปลงทุนกับอะไรไม่รู้ล่ะ! ยังคิดจะวางแผนอะไรอยู่อีกเหรอ! เฮ้อ…ต่อให้หอบเงินก้อนนี้ไปลาสเวกัสก็เท่านั้น! พูดก็พูดเถอะ ต่อให้ขาดทุนไปเท่าไหร่ก็ไม่ได้เงินคืนอยู่ดีหรอกน่า!”
เถ้าแก่ไป๋ถอนหายใจอีกครั้ง “เฮ้อ ไม่ได้ขาดทุนซะหน่อย ได้เงินมาด้วยซ้ำ”
หูไฉ่อวิ๋นนิ่งไป แววตาของเธอเปลี่ยนไปในทันทีก่อนที่เธอจะเดินตรงไปนั่งจ้องไป๋ตงหลิน “ไม่ได้ขาดทุนหรอกเหรอ งั้นหามาได้เท่าไหร่น่ะ”
เถ้าแก่ไป๋ยิ้มอย่างมีเลศนัย “เอาเป็นดอลล่าร์…หรือว่ายูโรดีล่ะ”
“เป็นหยวนเซ่!”
เถ้าแก่ไป๋ขมวดคิ้ว “ขอคิดเลขก่อน” พูดจบก็หยิบเครื่องคิดเลขขึ้นมากดยิกๆ
ส่วนหูไฉ่อวิ๋นและไป๋หลิงก็ต่างทำแววตาคาดหวัง
คิดเสร็จ เถ้าแก่ไป๋ก็เงียบไป
หูไฉ่อวิ๋นเบิกตากว้างพร้อมกับตะโกนถามอย่างร้อนรน “บอกมาเร็ว! ได้เท่าไหร่!”
ใบหน้าของเถ้าแก่ไป๋แดงก่ำขึ้นมาในทันที “ห…ห้าจุดสามหยวน”
ไป๋เยี่ยได้ฟังก็แทบทรุดลงไปกับพื้น!
ห้าจุดสามหยวน!
ห้าจุดสามหยวนจะเอาไปทำมะเขืออะไรได้วะนั่น! ยังมีหน้ามาบอกเป็นดอลล่าร์ยูโรอีก…
นี่เขามีความละอายต่อราคาโทรศัพท์พันกว่าดอลล่าร์ หรือค่าส่งไปรษณีย์ข้ามประเทศบ้างไหมเนี่ย!
เถ้าแก่ไป๋กระแอม “อย่าขำกันสิ! จะบอกอะไรให้ นี่ยังถือว่าดีนะ ยังไม่ขาดทุนเลยด้วยซ้ำ!”
หูไฉ่อวิ๋นเสียงสั่น “ไม่ขาดทุน…แล้วคุณมีเงินนักเหรอ!”
ขณะที่ทั้งครอบครัวเอาแต่เถียงกันฉอดๆ ไป๋เยี่ยก็ถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “แม่ แล้วที่วันนั้นเถ้าแก่ไป๋โทรหาผมล่ะ ที่บอกว่าจะซื้อโรงพยาบาลให้น่ะ มันเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
หูไฉ่อวิ๋นเหลือบมองไป๋ตงหลินก่อนจะยิ้มเยาะ “คนบางคนน่ะถึงตายก็ขอรักษาหน้าไว้ แม้ว่าทุกวันนี้จะชีวิตอยู่เพื่อชดใช้กรรมก็เถอะ!”
“คือว่าวันนั้นพวกเถ้าแก่ถ่านหินรุ่นเก่าๆ เขามารวมตัวกันน่ะ แล้วก็เอาแต่คุยกันว่าลูกๆ ของพวกเขากำลังทำอะไรกันบ้างน่ะ!”
“บ้างก็ทำบริษัทเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต บ้างก็เป็นผู้จัดการบริษัทอสังหาริมทรัพย์ บ้างก็เข้ารับราชการตำแหน่งสูงๆ บ้างก็ไปทำงานถ่ายทอดสดอะไรต่างๆ นานา”
“วันนั้นพวกเขาดันมาถามพ่อไง พ่อเลยบอกไปว่าลูกกำลังเรียนหมออยู่ เลยกะว่าจะซื้อโรง’บาลให้เป็นของขวัญรับปริญญาน่ะ”
“เหอะ! แล้วที่สำคัญ พ่อแกโม้ไว้ซะเยอะ เลยมีเถ้าแก่คนหนึ่งพูดขึ้นมาว่ามีโรง’บาลที่หนึ่งในอำเภอเรากำลังจะเจ๊ง ทางการเลยจะหาเถ้าแก่ที่เหมาะสมสักคนมาประมูลมันไป พ่อแกก็ดี๊ด๊าไปประมูลกับเขา แถมยังส่งเอกสารอะไรไปหมดแล้วด้วย!”
ไป๋เยี่ยชะงัก
นี่เถ้าแก่ไป๋ขี้โม้ขนาดนี้เลยเหรอ
ไป๋หลิงหัวเราะแปลกๆ พร้อมกับหันไปทางไป๋ตงหลิน “พ่อ! พ่อเอาเงินห้าจุดสามหยวนนั่นไปประมูลเหรอ ถ้างั้น…ให้หนูช่วยอีกสักหยวนไหม!”
ไป๋ตงหลินชำเลืองมองไป๋หลิง “ไปตรงนู้นเลย!”
ไป๋หลิงถอนหายใจ “เฮ้อ…ความฝันที่จะร่ำรวยของหนู…พังอีกแล้ว!”
ไป๋ตงหลินหันไปมองไป๋เยี่ยด้วยสายตามุ่งมั่น “ลูกชายพ่อไม่เรียนต่อหรอก! เรื่องซื้อโรง’บาลน่ะค่อยว่ากันใหม่ โอเคไหม วางใจเถอะ ไว้ลูกเรียนจบพ่อจะซื้อโรง’บาลให้แน่!”
หูไฉ่อวิ๋นแค่นหัวเราะ “ถ้าคุณขายหุ้นพวกนั้นไปในราคาถูกๆ ก็คงพอซื้อโรง’บาลรัฐในเมืองได้อยู่หรอก!”
ไป๋ตงหลินได้ฟังก็เบิกตากว้าง “พูดบ้าอะไรของเธอ ไม่ได้! เดี๋ยวหุ้นพวกนี้ก็โตแล้ว ไม่แน่ต่อไปผมอาจจะได้เป็นเศรษฐีแห่งจิ้นซีก็ได้นะ!”
หูไฉ่อวิ๋นไม่พูดอะไรมาก ได้แต่กระแอมเบาๆ “อืม ก็รอให้บริษัทพวกนั้นเจ๊ง ถึงตอนนั้นคุณก็คอยเป็นคนเก็บกวาดแล้วกันนะ”
ไป๋เยี่ยถอนหายใจ ความคิดของพ่อไม่ได้แย่หรอก แต่ว่ามันล้ำเกินไปน่ะสิ!
คิดได้ดังนั้น ไป๋เยี่ยก็ถอนหายใจอีกครั้ง
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
“เถ้าแก่ไป๋! เถ้าแก่ไป๋! ช่วยตาแก่บ้านฉันที”
ยังไม่ทันเห็นคนที่เดินเข้ามาก็ได้ยินเสียงร้องไห้โฮดังลั่น
ครอบครัวไป๋เยี่ยได้ยินดังนั้นก็พากันลุกขึ้นเดินออกไปนอกบ้าน
เมื่อเปิดประตูออกไปก็พบว่ามีผู้หญิงอายุราวๆ ห้าสิบปีคนหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ ใบหน้าเหี่ยวย่นของเธอนั้นดูหม่นหมอง พร้อมทั้งมีน้ำตาไหลพรากลงมา
หูไฉ่อวิ๋นรีบเข้าไปพยุงเธอ “ป้าเหอ! รีบลุกขึ้นก่อน เข้ามาคุยกันในบ้านก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น”