สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - ตอนที่ 73 ไม่ว่าใครก็ห้ามลุก!
ตอนที่ 73 ไม่ว่าใครก็ห้ามลุก!
ช่วงนี้ไป๋เยี่ยพัฒนาตนเองได้เร็วมาก!
วันที่สาม เลเวลชีวเคมีของไป๋เยี่ยก็เพิ่มเป็นเลเวลสาม และต่อมาในวันที่เจ็ด เลเวลวิชาเภสัชวิทยาของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นเลเวลสามเช่นกัน ทว่าสิ่งที่ทำให้ไป๋เยี่ยรู้สึกประหลาดใจมากที่สุดก็คงเป็นการเพิ่มขึ้นของเลเวลวิชาเวชสถิติ!
เลเวลวิชาเวชสถิติของเขาเพิ่มขึ้นถึงเลเวลห้า มันเพิ่มขึ้นเร็วมากจนไป๋เยี่ยไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง เพราะที่จริงแล้วไป๋เยี่ยไม่ได้สนใจวิชานี้เลย
ไป๋เยี่ยถูกระบบควบคุมตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว และวิชาแรกที่อัปถึงเลเวลสี่ก็คือเวชสถิตินั่นเอง เขาทั้งวิเคราะห์สถิติให้พวกรุ่นพี่ปริญญาโทและแก้ปัญหาเกี่ยวกับสถิติให้จางฮั่นหลิน ไหนจะต้องมาวิเคราะห์และคำนวณสถิติที่นี่ทุกวันอีก จนบางทีไป๋เยี่ยแค่กวาดสายตาอ่านข้อมูลทางสถิติคร่าวๆ ก็วิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นออกมาได้ทันที
แม้การจัดการกับข้อมูลแสนซับซ้อนจำนวนมากในทุกๆ วันเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ไป๋เยี่ยก็มีพัฒนาการที่ก้าวกระโดดสุดๆ!
ทว่าไป๋เยี่ยกลับไม่ได้ใส่ใจวิชาเวชสถิติมากขนาดนั้น เขาจึงไม่ค่อยสนใจค่าประสบการณ์หรือเลเวลของวิชานี้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สักเท่าไหร่
นึกไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ จะอัปขึ้นเลเวลห้าได้!
ถือว่าวิชาเวทสถิติของเขาอยู่ในระดับปรมาจารย์แล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่าตอนนี้ไป๋เยี่ยได้กลายเป็นบุคลากรเบอร์ต้นๆ ในแวดวงนี้แล้ว
ไป๋เยี่ยจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้เขาประมาทวิชาเวชสถิติมากเกินไปจริงๆ!
เวชสถิติไม่ใช่ศาสตร์การคำนวณธรรมดาๆ แต่เป็นคณิตศาสตร์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง และถือว่าเป็นหนึ่งในศาสตร์เฉพาะทางที่นำมาใช้งานได้จริง
นอกจากทางเวชสถิติจะใช้วิธีการคำนวณหาข้อสรุปของการทดลองมากมายแล้ว ยังมีการจัดเรียงและออกแบบการทดลอง รวมถึงวิธีการเลือกรูปแบบการทดลองที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดตัวแปร หรือใช้การทดลองแบบปกปิดข้อมูลทั้งสองทาง[1] หรือกระทั่งการจัดการประมวลผลปัจจัย ความแตกต่าง และกลุ่มข้อมูลที่ซับซ้อน
ไป๋เยี่ยเข้าใจหลักการเหล่านั้นได้โดยอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลและศึกษาพื้นฐานของการวิจัยในทุกๆ วัน
ช่วงนี้ไป๋เยี่ยกำลังอ่านวารสารวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังในขณะนี้ ซึ่งวารสารเหล่านี้ล้วนเป็นวารสารชั้นนำของโลกที่อัดแน่นไปด้วยความรู้มากมาย
ไป๋เยี่ยเริ่มทำความเข้าใจกับข้อมูลสถิติของปีก่อนๆ ได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ
พัฒนาการอันก้าวกระโดดของไป๋เยี่ยเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของทุกคน ถึงอย่างนั้น ตอนที่เขาเพิ่งมาที่นี่ใหม่ๆ เขากลับไม่เข้าใจความหมายของคำศัพท์เฉพาะทางแต่ละคำเลยสักนิด แม้ว่าวิชาภาษาอังกฤษของเขาจะอยู่ที่เลเวลสามแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ระดับที่พอใช้สื่อสารในชีวิตประจำวันได้เท่านั้น
คำศัพท์เฉพาะทางไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างที่คิด ไป๋เยี่ยจึงอุดช่องโหว่ตรงจุดนั้นโดยการศึกษาและค้นคว้าข้อมูลเพิ่มขึ้นจำนวนมาก
คนในหน่วยทดลองเองก็เริ่มยอมรับในตัวเด็กหนุ่มผู้มากความสามารถคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะคาริส เขาเป็นชาวเดนมาร์ก รักการดื่มเบียร์เป็นนิจ และเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา พ่อแม่ของเขาเป็นด็อกเตอร์ทั้งคู่ ส่วนตัวเขามาที่ประเทศจีนเมื่อสามปีที่แล้ว และได้เข้าร่วมหน่วยทดลองแห่งนี้ในปี 2014
เขาได้เห็นถูโยวขึ้นรับรางวัลโนเบลด้วยตาของตนเอง จึงให้ความเคารพนับถือถูโยวมาก
ที่คาริสปฏิเสธไม่ให้ไป๋เยี่ยเข้าร่วมกลุ่มของเขาในตอนแรกก็เพราะเขากังวลว่าไป๋เยี่ยจะเข้ามาถ่วงการทำงานของกลุ่มเขา เพราะเขาเป็นพวกรักความสมบูรณ์แบบนั่นเอง
อันที่จริงถูโยวเคยได้รับรางวัลลาสเกอร์อะวอร์ดสาขาสรีรวิทยาเมื่อปี 2011 ซึ่งถือเป็นรางวัลอันดับรองลงมาจากรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์
ตั้งแต่ตอนนั้นมา ถูโยวก็มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบลหลายต่อหลายครั้ง
ทางหน่วยทดลองจะจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำทุกสัปดาห์เพื่อลดความตึงเครียดในการทำงานและเพื่อกระชับความสัมพันธ์ของสมาชิกในหน่วย และที่เป็นไฮไลต์สำคัญก็คือร้านซาลอนหลังงานเลี้ยง
คาริสเอาแต่เรียกร้านซาลอนแห่งนี้ว่าปาร์ตี้ค็อกเทล ทำเอาไป๋เยี่ยหลุดหัวเราะออกมา
หลังมื้อเย็น ทุกคนจะมาผ่อนคลายกันที่นี่ ทั้งพูดคุย ดื่มน้ำผลไม้หรือกาแฟ กินของหวานเลิศรส และแน่นอนว่าที่นี่ก็มีค็อกเทลและเบียร์เตรียมไว้ให้ด้วย
ที่นี่เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนความรู้ แต่ละคนจะสนทนาถึงความก้าวหน้าทางวิชาการในสาขาต่างๆ รวมถึงแบ่งปันแนวคิดและทัศนคติของตนเองให้คนอื่นๆ ฟัง
การแลกเปลี่ยนความรู้และการผสมผสานศาสตร์ต่างๆ เข้าด้วยกันจะเป็นชนวนสู่ความก้าวหน้าตลอดไป
ทุกคนที่นี่มีพรสวรรค์ในด้านต่างๆ พวกเขาถือเป็นกลุ่มคนที่มีศักยภาพระดับแนวหน้า แม้แต่คาริสยังบอกเลยว่าแต่ละคนที่อยู่ในซาลอนแห่งนี้ล้วนมีสิทธิ์ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบลกันทั้งนั้น
แน่นอนว่ามันอาจจะฟังดูเวอร์ไปหน่อย แต่คำพูดนี้ก็บรรยายให้เห็นถึงศักยภาพของทุกคนได้จริงๆ
ถึงแม้ว่าในตอนแรกไป๋เยี่ยจะทั้งแอบบ่นและรู้สึกไม่มั่นใจในตนเองเพราะถูกพวกเขาปฏิเสธ แต่ตอนนี้ไป๋เยี่ยก็เข้าใจดีแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงมีสิทธิ์ปฏิเสธเขา
เพราะว่าคงไม่มีใครต้องการคนที่ช่วยเหลืออะไรใครไม่ได้หรอก
คนอื่นจะมองคุณอย่างไรย่อมขึ้นอยู่กับคุณค่าในตัวคุณเอง
คาริสพาไป๋เยี่ยมาที่งานเลี้ยง ทุกคนที่นี่ต่างสลัดภาพลักษณ์อันเคร่งขรึมก่อนหน้านี้ทิ้งไปและแสดงตัวตนที่ไม่เคยมีใครเห็นออกมา
คาริสเรียนจบปริญญาเอกสาขาอณูชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด เขาเดินเข้ามาในซาลอนและเปิดประเด็นสนทนา “เมื่อสองวันก่อนผมได้อ่านบทความฉบับล่าสุดจากวารสาร ‘ธรรมชาติ’ เค. ซี ปาร์คเกอร์เสนอวิธีการสกัดโพลีเมอร์จากสารประกอบ ผมคิดว่าเราน่าจะลองใช้วิธีนี้ดูนะ ตอนนั้นผมคิดว่า ถ้าเราใช้วิธีนี้กับอาร์เทแอนนิวอิน…แล้วถ้าเกิดสารประกอบหลังปฏิกิริยานั้นขึ้นมา…ผมสงสัยว่าคุณสมบัติของสารชนิดนั้นจะเป็นยังไงบ้าง”
“คาริส นั่นไม่ใช่งานส่วนของคุณด้วยซ้ำ วารสาร ‘ไมโตคอนเดรีย’ ฉบับล่าสุดมีรายงานว่าเราทำการทดลองฟื้นฟูร่างกายของสัตว์ทดลองได้ รอให้งานส่วนของคุณเสร็จก่อนแล้วเราค่อยมาลองกันก็ได้ อ้อแล้วก็ เดซี่ ช่วงนี้พวกคุณก็ทำแบบจำลองหนูเพิ่มหน่อยนะ เร็วๆ นี้พวกเราน่าจะได้ทดลองกับสัตว์แล้ว”
ไป๋เยี่ยนั่งฟังทุกคนแลกเปลี่ยนความรู้กันพร้อมจดบันทึกความรู้ที่ได้รับลงในสมุดอย่างขะมักเขม้นแล้วก็พบว่าตอนนี้ค่าประสบการณ์ของเขากำลังพุ่งกระฉูด
ทันทีที่คิดได้ดังนั้น เขาก็ใช้แคปซูลเร่งค่าประสบการณ์สิบเท่าทันที
ค่าประสบการณ์ส่วนใหญ่ไปกองอยู่ที่วิชาชีวเคมีจนเลเวลวิชาชีวเคมีของไป๋เยี่ยเพิ่มขึ้นเป็นเลเวลสาม: 0/10000
หลังจากที่เขาตัดสินใจใช้แคปซูลเร่งค่าประสบการณ์ ก็ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับความรู้เฉพาะทางจากคนกลุ่มนี้เต็มๆ
ไป๋เยี่ยรู้สึกราวกับว่าเขาเป็นผู้ค้นพบคำศัพท์เฉพาะทางเหล่านั้น ความรู้สึกนี้มันช่างวิเศษเหลือเกิน ไม่แน่ว่ามันอาจจะเป็นผลจากแคปซูลเร่งค่าประสบการณ์ก็ได้
ทว่าไป๋เยี่ยก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก จนกระทั่งสามชั่วโมงต่อมา เสียงแจ้งเตือนจากระบบก็ดังขึ้น ติ๊ง! ในที่สุดเขาก็อัปเลเวลวิชาชีวเคมีถึงเลเวลสี่สักที
แต่การพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ก็จบลงแล้วเช่นกัน
ไป๋เยี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง จบไวแบบนี้ไม่ได้นะ! แคปซูลยังไม่หมดเวลาเลย จะทำไงดีเนี่ย
เรายังเหลือแคปซูลอีกหกเม็ด แต่ว่าเราจะใช้มั่วซั่วไม่ได้!
แคปซูลจะมีผลห้าชั่วโมงหลังจากกิน แถมยังหยุดไม่ให้มันแสดงผลไม่ได้ด้วย ทำไงดี!
ไป๋เยี่ยรู้สึกกังวลเล็กน้อย ทว่าจู่ๆ คาริสก็เอ่ยขึ้น “ไป๋เยี่ย คุณมีประเด็นไหนที่อยากคุยกับพวกเราอีกไหม”
ไป๋เยี่ยงงกับคำพูดของคาริส เพราะว่าทุกคนก็ได้เสนอคำแนะนำและแสดงความคิดเห็นของตนเองกันหมดแล้ว
ไป๋เยี่ยคิดว่าตนเองไม่มีสิทธิ์พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ
ไป๋เยี่ยชะงัก “ผมเหรอ ผ…ผมพูดได้เหรอครับ”
คาริสยิ้ม “ทำไมจะไม่ได้! ทุกคนควรมีเรื่องที่ตัวเองเข้าใจไม่ใช่เหรอ”
ไป๋เยี่ยมองเวลาสองชั่วโมงที่ยังเหลืออยู่ ได้เลย งั้นเดี๋ยวฉันจะจัดการกับเวลาที่เหลือเอง! เวลาสองชั่วโมงนี้…ไม่ว่าใครก็ห้ามลุกไปไหน!
[1] การทดลองแบบปกปิดข้อมูลทั้งสองทาง (Double Blinded) คือวิธีการทดลองโดยที่กลุ่มตัวอย่างจะไม่ทราบว่าอยู่ในกลุ่มใด และผู้ทํา
การทดลองก็จะไม่ทราบว่าวิธีการที่ใช้กับกลุ่มตัวอย่างเป็นการทดลองหรือการควบคุม