สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - ตอนที่ 82 กลุ่มแลกเปลี่ยนความรู้ของเหล่ายอดปรมาจารย์ด้านการแพทย์แผนจีน
- Home
- สูตรโกงฉบับเด็กเรียน
- ตอนที่ 82 กลุ่มแลกเปลี่ยนความรู้ของเหล่ายอดปรมาจารย์ด้านการแพทย์แผนจีน
ตอนที่ 82 กลุ่มแลกเปลี่ยนความรู้ของเหล่ายอดปรมาจารย์ด้านการแพทย์แผนจีน
หลังจากที่ได้หยุดพักผ่อน ไป๋เยี่ยก็ชงชาหนึ่งแก้ว เดินไปนั่งบนเก้าอี้และเริ่มทบทวนความคิดของตนเอง เขากำลังสรุปสิ่งที่ได้รับและสิ่งที่เขายังศึกษาไม่พอในสัปดาห์ที่ผ่านมา
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียนรู้และการทดลองคือการสรุปประสบการณ์ที่ได้รับมา
ระหว่างที่เขากำลังสรุปนั้น เขาก็ได้ค้นพบอะไรหลายๆ อย่าง เช่นไอเดียเกี่ยวกับการแพทย์แผนจีนที่ช่วยทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจใหม่ๆ ขึ้นมา
ทฤษฎีการแพทย์แผนจีนได้รับการพัฒนามานานนับพันปี ไม่ว่าวิชาใดที่ได้รับการพัฒนาและสืบทอดต่อมาเป็นเวลานานก็ย่อมอุดมไปด้วยคุณค่าทางวิชาการ
ตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่หนึ่ง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ก็เริ่มแพร่หลายมากขึ้น จนกระทั่งหลังจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สอง มันก็พัฒนาได้อย่างรวดเร็วจนหยุดไม่อยู่อีกต่อไป
การพัฒนาของวิทยาศาสตร์ในสมัยปัจจุบันก่อให้เกิดนวัตกรรมทางเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย การขนส่ง รวมถึงยาด้วย!
การพัฒนาทางการแพทย์ได้สร้างความหวังให้แก่ผู้คน โรคที่ในอดีตเคยเป็นโรครักษาไม่หายก็บรรเทาความรุนแรงลงไป
ทว่าในช่วงเวลานี้ก็เกิดช่องว่างระหว่างวัฒนธรรมเก่าและใหม่เช่นกัน
การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไม่เพียงแต่นำมาซึ่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสังคมเท่านั้น แต่สร้างผลกระทบต่อวัฒนธรรมเดิมด้วยด้วย
ความยึดติดในวัฒนธรรมกลับกลายเป็นปัญหาที่ต้องให้ความสำคัญแทน
คิดจะสานต่อก็สู้ยอมแพ้ไปเสียดีกว่า!
เห็นไหมล่ะ…ว่ามันเป็นปัญหาจริงๆ
จะลงมือหรือไม่ลงมือทำนั่นแหละปัญหา!
ในสมัยสาธารณรัฐจีน วัฒนธรรมการแพทย์แผนจีนถูกโจมตีและได้รับผลกระทบนับหลายครั้ง การแพทย์แผนจีนยังคงดำรงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้ด้วยคุณค่าของตัวมันเอง
ประเทศจีนให้ความสำคัญกับการพัฒนาการแพทย์แผนจีนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะต้องการปกป้องวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่เป็นเพราะคุณค่าและเอกลักษณ์ของศาสตร์การแพทย์แผนจีนนั่นเอง
หากเราต้องการเติบโตและพัฒนา ก็ต้องรู้จักนำข้อดีของตนเองและผู้อื่นมาประยุกต์ใช้ด้วยกัน จากนั้นจึงเริ่มต้นเส้นทางของตัวเราเอง
นี่แหละแนวคิดแบบคนจีน
ฟังดูเหมือนโม้ แต่…นี่เป็นเรื่องจริง
ไป๋เยี่ยคิดว่าหากเขาต้องการพัฒนาการแพทย์แผนจีน เขาจะต้องนำความรู้การแพทย์แผนปัจจุบันเข้ามาวิเคราะห์ประเด็นต่าง ๆ ของการแพทย์แผนจีนเพื่อให้ผู้คนเปิดใจยอมรับมัน
ถ้าทำให้คนทั้งโลกยอมรับการแพทย์แผนจีนได้ มันก็จะกลายเป็นวิทยาศาสตร์สมัยใหม่อีกแขนงหนึ่ง
ต้องนำวิธีการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้
นี่คือกฎที่ทุกสรรพสิ่งบนโลกต้องประสบ ตามคำพูดของดาร์วินที่กล่าวว่า ‘ผู้ที่อยู่รอดคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด’
ไป๋เยี่ยจิบชาในถ้วย กลิ่นหอมของชากระจายเข้าสู่ประสาทสัมผัสของเขา ถ้าตอนนั้นเขาไม่ได้นึกถึงทฤษฎีการแพทย์แผนจีนล่ะก็ บางที…มันก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะวิเคราะห์ข้อมูลนับสิบล้านตัวนั้นได้
และเพราะว่า…ไป๋เยี่ยใช้แนวคิดของการแพทย์แผนจีนแก้ปัญหาได้ ดังนั้นแล้ว…ก็อาจจะมีอะไรอีกมากมายที่รอให้เขาค้นพบอยู่ก็เป็นได้
คิดได้ดังนั้น หัวใจของไป๋เยี่ยก็เต้นระรัว บางที…เขาอาจจะเป็นคนที่พาการแพทย์แผนจีนไปสู่อนาคตอันสว่างสดใสได้
ไป๋เยี่ยเปิดสมุดบันทึกการทดลองของเขาซึ่งเต็มไปด้วยผลการทดลองและความคิดเห็นต่างๆ ของเขาเอง
เวลาสามสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ที่นี่ทำให้ไป๋เยี่ยได้พบเจอกับเหล่าผู้คนที่ทำงานหนักสนับสนุนความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ความฝันของพวกเขาไม่มีอะไรมาก ก็แค่ต้องการพาตนเองไปอยู่ในจุดสูงสุดของสาขาที่ได้ศึกษามา ทำให้ได้ตระหนักถึงคุณค่าของตนเอง และได้รับเกียรติยศอันสูงส่งอย่างรางวัลโนเบลเป็นต้น
การวิจัยเกี่ยวกับเชื้อมาลาเรียก็พบกับทางตันเช่นกัน ทุกคนพยายามมาอย่างยาวนาน แต่ก็ยังไม่พบวิธีที่มีประสิทธิภาพพอในการกำจัดเชื้อมาลาเรียกลายพันธุ์ชนิดใหม่
พลาสโมเดียมวิวัฒนาการอยู่เรื่อยๆ เชื้อมาลาเรียหลายชนิดค่อยๆ เกิดการดื้อสารอาร์เทแอนนิวอิน ดูเหมือนว่าประสิทธิภาพในการรักษาโรคมาลาเรียของปีนี้จะลดน้อยลงจากปีที่แล้วมาก
แล้วเราจะจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างไร
ไป๋เยี่ยจึงนึกถึงแนวคิดเรื่องอู่อวิ้นลิ่วชี่ที่เขาเคยนำมาใช้ในการแยกปัจจัยต่างๆ ออกจากกันตอนที่นำข้อมูลมาวิเคราะห์ย้อนหลัง ไม่รู้ว่าเขาจะนำมันมาใช้กับปัจจัยของปีนี้ได้หรือไม่
ตัวอย่างเช่น ปีที่แล้วมีสภาพอากาศแห้งมาก ทำให้เชื้อมาลาเรียค่อยๆ กลายพันธุ์เพื่อปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศดังกล่าว ยาที่ใช้รักษาจึงใช้ได้กับเชื้อมาลาเรียในปีที่แล้วเท่านั้น
เพราะฉะนั้น…ถ้านำแนวคิดเรื่องอู่อวิ้นลิ่วชี่มาใช้วิเคราะห์สภาพอากาศของปีนี้บ้างล่ะ จะได้แนวทางอะไรออกมาบ้างไหม
ไป๋เยี่ยใช้เวลาครุ่นคิดพักใหญ่ เขาวางถ้วยชาลงแล้วเปิดโน้ตบุ๊กขึ้นมาค้นหาข้อมูลด้านภูมิศาสตร์ สิ่งแวดล้อม สภาพอากาศ และปัจจัยต่างๆ ของทวีปแอฟริกา
ไป๋เยี่ยก้มหน้าก้มตาคำนวณและวิเคราะห์หาคำตอบโดยใช้แนวคิดการแพทย์แผนจีน
การแพทย์แผนจีนไม่เน้นการตั้งสมมติฐาน แต่ใช้วิธีการคำนวณที่เป็นเอกลักษณ์ จนท้ายที่สุดไป๋เยี่ยถึงได้รู้ตัวว่าเขายังไม่เข้าใจปัจจัยหลายอย่างในทวีปแอฟริกา
ไป๋เยี่ยจึงนึกถึงอาจารย์ทั้งสิบท่านของเขา
ทั้งจางเสวียเวิ่น จางอี้หมิน สวี่โฮ่วเต้า และท่านอื่นๆ
เรามีอาจารย์ไว้เพื่ออะไรล่ะ
เขาโทรหาอาจารย์แต่ละคนและถามพวกเขาเกี่ยวกับการคำนวณอู่อวิ้นลิ่วชี่ของทวีปแอฟริกา
กลุ่มชายชราพากันขมวดคิ้วด้วยความสับสนเล็กน้อย แต่สุดท้ายไป๋เยี่ยก็กลายเป็นคนแรกที่นำแนวคิดอู่อวิ้นลิ่วชี่มาใช้กับสภาพทางภูมิศาสตร์ของทวีปแอฟริกา
ไป๋เยี่ยจึงสร้างกลุ่มแชทและชวนปรมาจารย์ด้านการแพทย์แผนจีนทั้งสิบคนเข้ามาร่วมกันสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้
ไป๋เยี่ยต้องยอมรับว่าที่คนกลุ่มนี้กลายเป็นยอดปรมาจารย์ได้นั้นไม่ใช่เพราะว่าพวกเขามีชื่อเสียงเรียงนามอันโด่งดังแต่อย่างใด
แต่เป็นเพราะว่าพวกเขามีความรู้กว้างขวาง พิจารณาแต่ละประเด็นได้อย่างครอบคลุมทุกด้าน ทั้งยังเสนอมุมมองใหม่ๆ ชวนให้คิดต่อได้อีกด้วย
ไป๋เยี่ยเองก็ตั้งใจศึกษาเช่นกัน
ไม่คิดเลยว่ายิ่งทั้งสิบเอ็ดคนยิ่งคุยกันมากเท่าไร ก็ยิ่งสนิทสนมมีชีวิตชีวามากขึ้น และเมื่อมีการยกประเด็นที่เข้าใจได้ยากขึ้นมา พวกเขาก็จะเชิญคนอื่นๆ เข้ามาร่วมพูดคุยด้วย จนตอนนี้ในกลุ่มแชทนั้นมีคนราวๆ สี่สิบคนได้
ตอนแรกไป๋เยี่ยตั้งชื่อกลุ่มว่า ‘กลุ่มแลกเปลี่ยนความรู้ของยอดปรมาจารย์ด้านการแพทย์แผนจีน’ แต่ต่อมาก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘กลุ่มแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างนักวิชาการ’ เพราะรู้สึกว่าไม่เหมาะสมเท่าไหร่
เพราะตอนนั้นไป๋เยี่ยก็รู้ว่าในกลุ่มไม่ได้มีแค่ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนจีนเท่านั้น แต่ยังมีนักวิชาการจากทั้งสถาบันวิศวกรรมศาสตร์แห่งชาติ สถาบันรัฐศาสตร์และสถาบันอื่นๆ อีกด้วย
จนในที่สุดการอภิปรายความรู้ด้านการแพทย์แผนจีน สิ่งแวดล้อม อู่อวิ้นลิ่วชี่ อี้เสวีย การเลี้ยงหลาน แผนการบำนาญบ้านพักคนชรา ไปจนถึงเรื่องฟันปลอมและการอุดฟัน ฯลฯ ก็จบลง
ขณะที่ทุกคนกำลังจะปิดหน้ากลุ่มสนทนาลง นักวิชาการจากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีนก็กล่าวว่า [กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ดีนะ คุณหารือเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนนอกวงการหลงเข้ามาในกลุ่ม!]
[ใช่แล้ว ดูชื่อกลุ่มสิ กลุ่มแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างนักวิชาการ นี่แหละคลังความรู้]
[ต่อไปต้องคัดคนเข้ากลุ่มให้ดีๆ นะ ต้องมีคนเห็นด้วยเกินครึ่งถึงจะเข้ากลุ่มมาได้]
[โอเค แล้วใครเป็นแอดมินเหรอ]
[อ่า…ผู้ดูแลระบบออฟไลน์อยู่! ผู้ดูแลระบบชื่อโส่วว่อชุ่นกวนฉื่องั้นเหรอ เป็นชื่อที่ดี!]
[ผมต้องกินยาลดความดันแล้ว เมื่อกี้ผมตื่นเต้นไปหน่อย ความดันขึ้นเลย]
[ทำไมไม่พูดเร็วกว่านี้ล่ะ ผมก็ยังไม่ได้ฉีดอินซูลินเลย!]
[เฮ้อ…ผมลืมไปรับหลานจากโรงเรียน…]
[โอเค ทุกคนแยกย้ายกันแล้วเนอะ ไว้ต่อไปเรามาร่วมกันหารือและแบ่งปันความรู้และประสบการณ์กันในกลุ่มนี้อีกนะครับ]
ไป๋เยี่ยออฟไลน์ไปเงียบๆ เขาคิดว่าเขาไม่ควรคุยอะไรมาก
สมาชิกในกลุ่มนี้เก่งมากจริงๆ พวกเขาวิเคราะห์ปัจจัยหลายอย่างในทวีปแอฟริกาจากหลายมุมมอง แถมปรมาจารย์ด้านการแพทย์แผนจีนหลายคนยังคอยให้คำแนะนำแก่ไป๋เยี่ยอีกด้วย หลังจากการสนทนา พวกเขาก็จะออกใบสั่งยาให้ไป๋เยี่ยลองวิเคราะห์ดู เพราะว่าพวกเขาก็ไม่กล้ารับรองว่าสูตรยานั้นเป็นสูตรที่ถูกต้อง ทำได้เพียงให้แนวทางเท่านั้น
“ยาไป๋หู่ผสมกุ้ยจืองั้นเหรอ”
ไป๋เยี่ยสับสนเล็กน้อย เพราะว่าในสูตรยาไป๋หู่และกุ้ยจือไม่มีส่วนผสมที่ช่วยรักษาโรคมาลาเรียได้เลย
ไป๋เยี่ยคิดเช่นนั้นก็ตบหัวตนเองดังฉาด!
คนเรียนแพทย์แผนจีนที่ไหนจะเคร่งเรื่องยากัน