สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - ตอนที่ 96 ฝึกตรวจร่างกาย
ตอนที่ 96 ฝึกตรวจร่างกาย
วันนี้ไป๋เยี่ยตื่นแต่เช้าเพราะว่าต้องไปรายงานตัวที่โรงพยาบาล การสอบเข้าปริญญาโทรอบที่สองจำเป็นต้องใช้ทักษะภาคปฏิบัติ เพราะฉะนั้นการเข้าฝึกงานในโรงพยาบาลจึงเป็นวิธีที่สะดวกกว่า
อีกอย่างตอนนี้ก็ยังเป็นช่วงฝึกงานอยู่ ไป๋เยี่ยเองก็ยังไม่เคยได้ลองฝึกงานอย่างจริงๆ จังๆ เลย
ทั้งช่วงวันหยุดก่อนการสอบเข้ารอบแรก พอสอบรอบแรกจบก็ไปเข้าร่วมการแข่งขันความรู้แพทย์แผนจีน พอช่วงปีใหม่ก็ต้องกลับบ้าน แล้วหลังจากนั้นก็ต้องไปเข้าร่วมกลุ่มทดลองของโนเบลที่เมืองหลวงอีกด้วย
เดือนเมษายนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เหลืออีกเพียงสองสัปดาห์ก็จะเป็นวันสอบแล้ว
ไป๋เยี่ยคิดว่าเขายังต้องพัฒนาทักษะภาคปฏิบัติของเขามากกว่านี้
แม้ว่าตอนนี้จะมีหลายวิชาที่ถึงเลเวลสี่และห้าแล้ว ทว่าทักษะเหล่านั้นก็ล้วนเป็นทักษะพื้นฐานที่ควรมีอยู่แล้ว แต่ถ้าจะพูดถึงทักษะภาคปฏิบัติล่ะก็ สิ่งสำคัญที่สุดก็คงเป็นการบูรณาการความรู้ด้านทฤษฎีเข้ากับภาคปฏิบัติ
ถ้าพื้นฐานไม่แน่นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ถึงรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร! เพราะฉะนั้นการศึกษาวิชาพื้นฐานเหล่านี้จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
อย่างไรก็ตาม มีแค่พื้นฐานทางทฤษฎีเพียงอย่างเดียวก็คงไม่เพียงพอ ท้ายที่สุดก็ต้องเข้ารับการฝึกงานภาคปฏิบัติอยู่ดี
ไป๋เยี่ยไปโรงพยาบาลกับพ่างจื่อ ซึ่งพ่างจื่อเองก็ถูกแม่ลากมาโรงพยาบาลด้วยตั้งแต่ช่วงปีใหม่ พร้อมทั้งฝากให้หัวหน้าแผนกม้ามและระบบทางเดินอาหารคนก่อนพาพ่างจื่อไปขึ้นวอร์ดแล้วด้วย
หัวหน้าแผนกคนก่อนก็เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญเช่นกัน เขาทำงานในโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนประจำจังหวัดมาเกือบสี่สิบปี และเป็นแพทย์อาวุโสซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในแวดวงการแพทย์ของมณฑลจิ้นซี
ในหนึ่งสัปดาห์ต้องไปขึ้นวอร์ดผู้ป่วยนอกเป็นเวลาสองวันครึ่ง ยิ่งถ้าเป็นช่วงบ่าย วอร์ดผู้ป่วยนอกก็ยิ่งคับคั่งไปด้วยผู้ป่วยราวๆ ร้อยคน!
เขาจะต้องไปขึ้นวอร์ดตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าจนถึงประมาณบ่ายสองโมงของทุกวัน!
พ่างจื่อรักษาวินัยได้เป็นอย่างดี ทุกวันเขาจะมาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากนั้นจึงก้มหน้าก้มตาทำงานจนถึงเวลาบ่ายสองโมง
ในระยะเวลาหนึ่งเดือนนี้ พ่างจื่อดูจะผอมลงเล็กน้อย ทำเอาพ่างจื่อรู้สึกปลง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนโบราณถึงมีคำกล่าวว่า ‘หญิงงามหาได้จากตำรา’ ตั้งใจทำงานขนาดนี้จะเอาอะไรไปอ้วนขึ้น! แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูดีได้ไม่นานหรอก!
ไป๋เยี่ยมาถึงโรงพยาบาลแต่เช้าพร้อมกับพ่างจื่อ เขายังไม่ได้รายงานตัวตั้งแต่ช่วงสิ้นปีของปีที่แล้วเพราะว่าเมื่อเดือนก่อนเขาไม่ได้มาที่โรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลจึงยังไม่ได้จัดการส่งไป๋เยี่ยไปที่แผนกไหน
โดยปกติแล้วเวรของนักศึกษาแพทย์จะกำหนดให้นักศึกษาหนึ่งคนทำงานในแผนกนั้นๆ เป็นเวลาหนึ่งเดือน หลังจากที่ไป๋เยี่ยเจอแผนกการบริการทางการแพทย์แล้วก็เคาะประตูก่อนจะเดินเข้าไป
ฝ่ายธุรการของโรงพยาบาลจะมีจุดเด่นอย่างหนึ่ง นั่นก็คือบางครั้งก็ยุ่งจนต้องทำโอทีเพิ่มอีกหลายชั่วโมง แต่บางครั้งก็ว่างจนไม่มีอะไรทำ
ไป๋เยี่ยนั่งรออยู่ที่โรงพยาบาลอย่างไร้จุดหมาย เขาจึงตัดสินใจไปหาอาหารเช้ากินรองท้องก่อนแล้วจึงกลับมาที่อาคารบริหารตอนเวลาแปดโมงครึ่ง
ช่วงต้นปีเป็นช่วงที่แผนกการบริการทางการแพทย์ยุ่งมาก ไป๋เยี่ยเปิดประตูเข้าไปและพบว่าทุกคนในนั้นกำลังก้มหน้าก้มตาจัดแจงอะไรบางอย่างอยู่
ผู้รับผิดชอบประจำแผนกคือชายวัยกลางคนศีรษะล้านคนหนึ่งที่ชื่อซ่งอะไรสักอย่าง ไป๋เยี่ยก็จำไม่ได้เหมือนกัน
ไป๋เยี่ยเดินเข้าไปหาชายคนนั้น “สวัสดีครับ อาจารย์ซ่ง ผมมารายงานตัวครับ”
ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองไป๋เยี่ย “คุณเป็นนักศึกษาป.โทใช่ไหม หรือว่าเป็นนักศึกษาแพทย์ฝึกงาน หรือว่ามาเรียนเฉพาะทาง หรือมาฝึกงานล่ะ”
ไป๋เยี่ยยื่นป้ายชื่อให้ “อาจารย์ซ่ง ผมเป็นนักศึกษาฝึกงานชั้นปีที่ห้าจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีครับ ผมชื่อไป๋เยี่ย เดือนที่แล้วผมติดภารกิจอื่นๆ อยู่เลยเพิ่งมารายงานตัววันนี้ครับ”
ทันทีที่ชายคนนั้นได้ยินชื่อไป๋เยี่ย เขาก็ชะงักไปเล็กน้อยราวกับว่าเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ใช่แล้ว เขาก็คือหัวหน้าแผนกคนนั้นที่ผู้อำนวยการทักทายเมื่อเดือนก่อนนั่นเอง
จะให้หัวหน้าแผนกเป็นคนทักทายเด็กฝึกงานธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ไม่ได้มาฝึกงานเนี่ยนะ คิดว่างานหัวหน้าแผนกว่างมากหรือไง
ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มให้ “อืม กลับมาแล้วสินะ เดี๋ยวจะจัดการเรื่องแผนกให้แล้วกันนะ”
ไป๋เยี่ยเห็นว่าชายตรงหน้าดูเป็นมิตรก็รีบกล่าวขอบคุณทันที “ขอบคุณครับอาจารย์”
ชายคนนั้นถามขึ้น “คุณ…มีแผนกที่อยากฝึกงานเป็นพิเศษไหม”
ไป๋เยี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง “เรื่องแผนก…คืออย่างนี้ครับอาจารย์ซ่ง ผมว่าจะไปสอบป.โทที่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนไห่ซื่อตอนช่วงกลางเดือนเมษายน ก็เลยอยากจะฝึกตรวจร่างกายแล้วก็ฝึกทักษะภาคปฏิบัติน่ะครับ…แล้วก็คงต้องขอลาช่วงกลางเดือนเมษายนด้วยครับ ขอโทษที่รบกวนนะครับ”
ชายคนนั้นได้ยินก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา “มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนไห่ซื่องั้นเหรอ ไม่เลวนี่! ต้องขยันหน่อยแล้วพ่อหนุ่ม…งั้นก็ไปที่ศูนย์อบรมซะนะ”
“เมื่อเร็วๆ นี้ศูนย์อบรมได้จัดให้นักศึกษาระดับป.โทและนักศึกษาแพทย์ฝึกงานเข้าร่วมการอบรมการตรวจร่างกายและฝึกทักษะการเจาะร่างกาย คุณลองไปช่วยก็ได้ จะได้เรียนไปด้วย จะได้สะดวกหน่อยเวลาสอบเข้า การอบรมจะจบลงกลางเดือนนี้ ทันสอบรอบสองพอดี”
ไป๋เยี่ยได้ยินก็เบิกตากว้าง “ขอบคุณครับอาจารย์!”
ชายคนนั้นโบกมือพร้อมกับยื่นแบบฟอร์มให้ไป๋เยี่ย “เตรียมตัวสอบดีๆ สู้ๆ! รีบไปรายงานตัวล่ะ”
ไป๋เยี่ยขอบคุณชายคนนั้นแล้วจึงจากไป
ศูนย์อบรมแห่งนี้สร้างขึ้นโดยทางโรงพยาบาลเมื่อปี 2015 ซึ่งเป็นปีที่ประเทศประกาศใช้นโยบายการฝึกอบรมนักศึกษาแพทย์อย่างเป็นทางการ
วัตถุประสงค์ของศูนย์อบรมคือเพื่อจัดการและฝึกอบรมนักศึกษาแพทย์ ศูนย์อบรมของโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจิ้นซีครอบคลุมพื้นที่สองชั้น โดยด้านในศูนย์จะมีแบบจำลองต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการฝึกอบรมนักศึกษา
ที่นี่ไม่มีการจัดการงานอย่างเฉพาะเจาะจง ไป๋เยี่ยจึงได้แต่ติดตามอาจารย์สาววัยสามสิบสามปีนามว่า เฉินหลิน
เฉินหลินพูดขึ้น “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นักศึกษาจะต้องมาที่นี่ทุกบ่ายเพื่อฝึกเจาะร่างกาย การทำซีพีอาร์ การตรวจร่างกาย ฯลฯ เป็นเวลาสิบวัน คุณคอยติดตามอาจารย์เพื่อดูว่ามีอะไรที่ช่วยเหลือหรือไม่ แล้วจึงลงมือช่วยเหลือ ภาคปฏิบัติก็ไม่มีอะไรหรอก ตอนเช้าคุณก็มาอ่านหนังสือเตรียมสอบที่นี่ก็ได้”
ตอนเช้าในศูนย์อบรมมีคนไม่มากนัก ซึ่งไป๋เยี่ยก็มีความสุขที่ได้มีเวลาว่างสักที เพราะว่าที่นี่มีการบรรยายแทบตลอด ในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องต่างก็มีคลิปและไฟล์บทเรียนต่างๆ
ไป๋เยี๋ยเปิดคอมพิวเตอร์และกดเข้าดูคลิปสอบตรวจร่างกาย
การตรวจร่างกายเป็นการตรวจร่างกายทั่วๆ ไปตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบัน โดยจะใช้การมองเห็น การสัมผัส และการได้ยินในการประเมินอาการและสภาวะทั่วไปบางประการของร่างกายมนุษย์เป็นหลัก
โดยจะเริ่มตั้งแต่ศีรษะ แพทย์จะทำการตรวจศีรษะและใบหน้าก่อน จากนั้นคลำต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณศีรษะและใบหน้า ตรวจแสงสะท้อนของดวงตาและปฏิกิริยาของระบบประสาท
ต่อไปก็ทำการตรวจช่วงอก โดยช่วงอกเป็นส่วนที่สำคัญมากเพราะมีอวัยวะสำคัญทั้งสองอย่างอยู่ในบริเวณนั้น นั่นก็คือปอดและหัวใจ
การวินิฉัยโรคโดยการตรวจช่วงอกนั้นเป็นเรื่องปกติ ทั้งการฟังปอดของคนไข้ เพื่อตรวจจับระดับเสียงในการหายใจและการขับเสมหะรวมถึงความชื้นภายในช่องอก เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานในการประเมินประสิทธิภาพของปอดคนไข้
นอกจากนี้ยังมีการใช้ค้อนวินิฉัยโรคด้วย โรคทางระบบทางเดินหายใจบางชนิดก็วินิจฉัยได้ด้วยการใช้ค้อนวินิฉัยโรค ปกติแล้วปอดจะไม่มีเสียง แต่ถ้าเกิดภาวะน้ำท่วมเยื่อหุ้มปอดหรือเกิดลมในช่องอกก็จะมีเสียงสะท้อนออกมาแตกต่างกัน
เช่นเดียวกันกับหัวใจ ตำแหน่งและขนาดของหัวใจสามารถระบุได้โดยการเคาะ โดยจะมีตำแหน่งวินิฉัยทั้งหมดห้าจุด
ทั้งหมดนี้คือสิ่งพื้นฐานที่สุด ซึ่งไป๋เยี่ยก็ยังคงตั้งใจดูคลิปต่อไป
ทว่าการดูคลิปเพียงครั้งเดียวก็ยังไม่ทำให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด ต้องอาศัยการเรียนรู้ภาคปฏิบัติเพื่อที่จะเชื่อมโยงเนื้อหาเข้าด้วยกันได้ง่ายมากขึ้นด้วย
เวลาประมาณบ่ายสามโมง นักศึกษาแพทย์แต่ละคนก็เริ่มทยอยมาที่นี่กันแล้ว พวกเขาถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มและถูกมอบหมายให้ไปที่ห้องต่างๆ
ไป๋เยี่ยเริ่มจากห้องตรวจร่างกายก่อน วิทยากรคือแพทย์จากแผนกทางเดินหายใจของโรงพยาบาลชื่อ โจวโปโปซึ่งเป็นหนึ่งในแพทย์อาวุโสที่มาให้การอบรม
ภายในห้องมีหุ่นจำลองร่างกายมนุษย์ โดยโจวโปโปจะสาธิตการตรวจร่างกายพร้อมกับบรรยายไปด้วยให้ทุกคนดูทีละขั้นตอนตั้งแต่ศีรษะจดเท้า
ไป๋เยี่ยประทับใจการตรวจร่างกายมาก ทว่ามันก็เป็นเพียงความประทับใจเท่านั้น หากเขาต้องลองตรวจดูจริงๆ ผลลัพธ์ก็คงอยู่ในระดับปานกลาง