สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - บทที่ 168 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
บทที่ 168 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
คำพูดของหยางมู่จวินทำให้ทุกคนตกตะลึง!
โครงการของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ทางธรรมชาติ?
ถ้าอย่างนั้นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ก็คือศูนย์จัดการโครงการแห่งชาติงั้นเหรอ
มันควรจะเป็นความรับผิดชอบของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ทางธรรมชาติที่สังกัดเป็นหน่วยงานของรัฐไม่ใช่เหรอ
จางฮั่นหลินได้ยินดังนั้นก็เหลือบมองหยางมู่จวินอย่างเคลือบแคลงใจ นี่มันจะไม่เล่นใหญ่ไปหน่อยเหรอ
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ทางธรรมชาติเริ่มเชิญคนมาทำโครงการด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้การยื่นสมัครเข้าทำโครงการกับทางสถาบันเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความพยายามมาก ทั้งมหาวิทยาลัยยังไม่เห็นเคยมีใครได้ทำโครงการกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ทางธรรมชาติเลยไม่ใช่เหรอ
ไม่ใช่แค่จางฮั่นหลินเท่านั้นที่งง หลี่หวายจงและลหลูซินกั๋วเองก็งงเหมือนกัน
ต่างคนต่างมองหยางมู่จวินด้วยความสงสัยว่าเขาต้องการสื่ออะไรกันแน่
หยางมู่จวินหันมามองทุกคนก่อนจะพยักหน้าให้เล็กน้อย แล้วกล่าวเสริมว่า “ผมเป็นหนึ่งในสมาชิกหน่วยวิจัยชีววิทยาของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ทางธรรมชาติครับ ผมจึงมีสิทธิ์เสนอโครงการที่ดีและมีศักยภาพได้ ผมคิดว่าผู้คิดค้นเกณฑ์บีพีเอฟเอชเองก็เป็นเช่นนั้นครับ ยิ่งมีผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์อย่างผอ.จางและฐานวิจัยอย่างมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีแห่งนี้แล้ว ผมคิดว่าพวกคุณน่าจะมีศักยภาพมากพอที่จะทำให้โครงการนี้ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก!”
“แม้ว่าในปัจจุบันมันจะเป็นแค่หัวข้องานวิจัยเล็กๆ แต่คุณลองคิดถึงอย่างอื่นดูสิ ทั้งผลของอาหารสูตรใหม่ต่อคะแนนที่อิงตามเกณฑ์บีพีเอฟเอช วิธีการเพาะพันธุ์ที่ส่งผลต่อคะแนนบีพีเอฟเอช หรือไม่ก็กฎเกณฑ์การประเมินโดยใช้เกณฑ์บีพีเอฟเอชอย่างละเอียด…”
จางฮั่นหลินได้ยินคำพูดของหยางมู่จวินแล้วในใจก็ตื่นเต้น การได้ทำโครงการกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ทางธรรมชาตินั้นถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากจริงๆ!
ขณะที่เขากำลังจะกล่าวขอบคุณแทนไป๋เยี่ย จู่ๆ ก็มีเสียงใครบางคนแทรกขึ้นมาจากด้านหลัง
“สิ่งที่หัวหน้าหยางพูดก็ฟังดูมีเหตุผลนะครับ ทางสถาบันจัดการงานวิจัยของเราเองก็ให้ความสำคัญกับเกณฑ์บีพีเอฟเอชเช่นกัน ซึ่งก็แปลว่า ผอ.จางเตรียมตัวรอไว้ได้เลยครับ เราจะจัดตั้งศูนย์วิจัยโครงการนี้โดยเฉพาะขึ้นที่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซี เพื่อทำการวิจัยค้นคว้าเรื่องสัตว์ทดลองและเกณฑ์บีพีเอฟเอชในเชิงลึก ทั้งยังคอยปรับปรุงและพัฒนาเทคโนโลยีนี้ต่อไปเรื่อยๆ”
“ยิ่งไปกว่านั้น ที่สถาบันจัดการงานวิจัยของเรายังมีนักวิทยาศาสตร์ที่เชี่ยวชาญเรื่องสัตว์ทดลองจำนวนมากด้วย ผมคิดว่าเราจะร่วมมือกันในแง่ของการพัฒนาเทคโนโลยีได้อย่างแน่นอน…”
คำพูดของชายจากสถาบันจัดการงานวิจัยทำให้ทุกคนตกอยู่ในภวังค์
จากโครงการธรรมดาทั่วไปสู่โครงการภายใต้สังกัดของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ทางธรรมชาติสู่การจัดตั้งศูนย์วิจัยเฉพาะทาง
จางฮั่นหลินมองว่านี่เป็นโอกาสที่ดีมาก เขาใช้โอกาสนี้ในการวางแผนโครงการพิเศษเกี่ยวกับเกณฑ์บีพีเอฟเอชได้
บุคลากรชั้นนำจากจากกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำมณฑล สถาบันจัดการงานวิจัย ศูนย์จัดการโครงการแห่งชาติและผู้ทำหน้ารับผิดชอบด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษามาอยู่ที่นี่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ถือเป็นโอกาสที่หายากมาก!
เขาว่ากันว่าตีเหล็กต้องตีตอนร้อน!
จางฮั่นหลินใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรวบรวมความกล้าทั้งหมดเอ่ยขึ้นมา “ก่อนอื่นเลย ผมขอยินดีต้อนรับผู้นำ เพื่อนร่วมอาชีพ และเพื่อนๆ ทุกคนที่มาเยี่ยมเยียนมหาวิทยาลัยของเรานะครับ ทางเราเองก็ให้ความสำคัญกับเกณฑ์บีพีเอฟเอชมากเช่นกัน…พวกเราได้พยายามทำการทดลองมากมายโดยใช้เกณฑ์นี้แล้ว…”
“หลังจากที่ทางมหาวิทยาลัยของเราได้ทำการหารือกับคุณถังจากบริษัทน่าย่านับหลายครั้ง ทางเราก็เกิดแนวคิดที่จะจัดตั้งแผนโครงการพิเศษเกี่ยวกับเกณฑ์บีพีเอฟเอชขึ้น ซึ่งทางบริษัทน่าย่าและมหาวิทยาลัยก็ได้มีฉันทามติกันดังนี้
ทางเราจะปรับปรุงและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการเพาะพันธุ์สัตว์ทดลองโดยอิงตามเกณฑ์บีพีเอฟเอช…ปลูกฝังทักษะการจับคู่เทคโนโลยี บ่มเพาะบุคลากรศักยภาพสูง และให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ปฏิบัติงานที่ต้องอาศัยทักษะเฉพาะทาง…”
จางฮั่นหลินยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น เขาพูดทุกอย่างที่เขาคิดไว้ออกไปจนหมด ทำให้เขาพลอยโล่งใจไปด้วย
ทุกคนที่กำลังคิดถึงเรื่องอื่นๆ อยู่ถึงกับต้องเงียบไปตามๆ กัน
ทันใดนั้น รองผู้ว่าการมณฑลถานเจี้ยนกว๋อก็กล่าวกระทันหัน “ความคิดของทุกท่านยอดเยี่ยมมากเลยครับ แม้ว่าผมจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ แต่ผมก็เคยทำงานวิจัยและเป็นผอ.มาก่อนเหมือนกัน ผมจึงมีความคิดบางอย่างอยากเสนอให้ทุกท่านได้ลองฟังดู”
ทุกคนต่างพากันมองหาต้นเสียงก่อนจะหันไปเห็นถานเจี้ยนกว๋อเดินพูดคุยกับคนอื่นๆ ระหว่างทางที่เดินมาเวที เมื่อเขาเดินมาถึงโพเดียมก็ตบไหล่ไป๋เยี่ยพร้อมกับยิ้มให้เล็กน้อย “สิ่งที่ทุกท่านได้กล่าวมานั้นมีเหตุผลและพัฒนาได้จริง พวกเราจึงรวมประเด็นทั้งหมดเข้าด้วยกันได้!”
“เราจะสร้างศูนย์วิจัยสัตว์ทดลองภายในมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซี จากนั้นก็ใช้ศูนย์วิจัยนี้เป็นเวทีในการดำเนินแผนโครงการพิเศษ ในขณะเดียวกันก็คอยปรับปรุงและพัฒนาเกณฑ์บีพีเอฟเอชให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็ยื่นสมัครโครงการนี้ต่อสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ทางธรรมชาติ ซึ่งคงต้องอาศัยความช่วยเหลือเล็กน้อยจากหัวหน้าหยาง…”
“ไม่มีอะไรขัดแย้งกัน! นี่ไม่ใช่ประเด็นแบบ 1+1+1=3 แต่นี่คือการผสมผสานทรัพยากร สร้างมาตรฐานร่วมกัน และสร้างหลักแห่งศาสตร์วิชาขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายก้าวสู่ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของประเทศ!”
จางฮั่นหลินตกตะลึงในคำพูดของถานเจี้ยนกว๋อ สร้างหลักแห่งศาสตร์วิชาขึ้น!
ทุกคนต่างมีความคิดเห็นที่มาจากมุมมองและอัตลักษณ์ของตนเอง
ทั้งโครงการในสังกัดสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ทางธรรมชาติของหยางมู่จวิน แผนโครงการพิเศษของจางฮั่นหลิน และศูนย์วิจัยของศูนย์จัดการโครงการ…
นี่เป็นเรื่องของวิสัยทัศน์และอัตลักษณ์ ถานเจี้ยนกว๋อเป็นถึงรองผู้ว่าการมณฑล จึงพุ่งเป้าไปที่การศึกษาและวิทยาศาสตร์ เขานำความคิดของทุกคนมาสังเคราะห์กลายเป็นแนวทางใหม่ที่ทั้งครอบคลุม เป็นไปได้ และมีผลในอนาตต
นั่นคือการสร้างหลักแห่งศาสตร์วิชาขึ้น!
ในวันนั้น มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีจึงได้จัดงานอภิปรายกับเหล่าผู้นำองค์กรขึ้น ซึ่งไป๋เยี่ยก็ได้รับเชิญให้มาเข้าร่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ต้องอภิปรายกันต่อไปนี้ยังไม่มีความเกี่ยวข้องกับไป๋เยี่ยนัก เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างหลักแห่งศาสตร์วิชา การจัดการกองทุนของมหาวิทยาลัยและมณฑล เป็นต้น พวกเขาจึงปล่อยให้ไป๋เยี่ยออกมาก่อน
ประมาณบ่ายสองโมง ไป๋เยี่ยก็ได้รับสายจากไป๋ตงหลินว่าตอนนี้เขามารออยู่ที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยแล้ว
ทันทีที่เดินออกมาจากมหาวิทยาลัย เขาก็เห็นเถ้าแก่ไป๋กำลังยืนพิงรถคุยกับยามอยู่
เมื่อเห็นไป๋เยี่ยเดินมา ไป๋ตงหลินก็ส่งยิ้มให้พร้อมหันไปทักทายยามแล้วเดินเข้าไปหาไป๋เยี่ย
เถ้าแก่ไป๋ออกเดินทางตั้งแต่ราวๆ เก้าโมงสิบโมง และเพิ่งมาถึงที่นี่ตอนประมาณบ่ายสองโมงโดยที่ยังไม่ได้กินอะไรเลย
ไป๋เยี่ยจึงพาเขาไปกินข้าวที่ร้านอาหารเล็กๆ ใกล้ๆ มหาวิทยาลัยพร้อมกับเล่าเรื่องถังฮั่นให้เขาฟังอย่างละเอียด
ไป๋ตงหลินรู้สึกประหลาดใจที่ไป๋เยี่ยเป็นคนเก่งขนาดนี้ แต่นั่นก็ทำให้เขาภูมิใจเมื่อได้เห็นลูกชายของเขามาก
แม้ว่าไป๋ตงหลินจะไม่ได้พูดอะไร แต่ไป๋เยี่ยก็สัมผัสได้ว่าเขามีความสุข
พวกเขาใช้เวลาไปกับมื้อเที่ยงเกือบสองชั่วโมง โชคดีที่เจ้าของร้านสังเกตเห็นรถเบนซ์คันหรูที่แม้จะดูเก่าไปหน่อยแต่ก็ยังคงดูสง่าจึงไม่ไล่พวกเขาออกจากร้าน
อันที่จริงพวกเขาไม่ได้ใช้เวลานั่งกินอาหารนานขนาดนั้น แต่ที่นานก็เพราะบทสนทนาเกี่ยวกับอาหารบีวายวันและวิธีรับมือกับถังฮั่นเสียมากกว่า
หลังจากกินอาหารกันจนอิ่มแล้ว ไป๋ตงหลินก็ยื่นกุญแจรถให้ไป๋เยี่ย “รู้ทางก็ขับซะ ขับรถมาทั้งวันจนปวดหลังแล้วเนี่ย!”
ไป๋เยี่ยยิ้มและหยิบกุญแจรถมา ใบขับขี่ของไป๋เยี่ยเป็นของต่างประเทศ แต่หลังจากที่กลับประเทศมาเขาก็ได้นำมันไปเปลี่ยนเป็นใบขับขี่ในประเทศแล้ว จึงไม่มีปัญหาอะไร
ไป๋เยี่ยหันไปถามพ่อของเขา “พ่อ เอ่อ…จริงๆ แล้วผมทำอาหารบีวายวันนั่นให้พ่อดูได้นะ มันทำง่ายมาก ถึงตอนนี้มันจะเป็นแค่อาหารบีวายวันก็เถอะ แต่ผมก็ยังมีสูตรอาหารหนูของเจ้าอื่นๆ อยู่นะ มันยังพัฒนาต่อไปให้ดีขึ้นได้อีกแน่นอน”
“แล้วก็…พ่อก็เห็นแล้วว่าต่อไปเกณฑ์บีพีเอฟเอชจะกลายเป็นกระแสอย่างแน่นอน ตอนนี้ทั้งองค์กรในประเทศและต่างประเทศอย่างเอ็มไอโอก็กำลังศึกษาเกณฑ์นี้อย่างจริงจังอยู่ อาหารที่ผมคิดขึ้นมาเนี่ยจะช่วยเพิ่มคะแนนบีพีเอฟเอชได้ ซึ่งมันจะส่งผลต่อคุณภาพของหนูด้วย…”
ไป๋ตงหลินได้ยินก็ยิ้ม “ก็โตแล้วนี่หว่า ปีใหม่ก็กลับมาดื่มกับพ่อนะ ที่ห้องใต้ดินยังมีเหล้ากว๋อเจี้ยวเหลืออยู่สองสามขวด ไว้ปีใหม่มาดื่มกัน”
ไป๋เยี่ยรู้นิสัยของเถ้าแก่ไป๋ดี “อีกนานไหมกว่าจะไป”
“สิ้นเดือนนี้มั้ง ถึงตอนนั้นพ่อคงจะไปขึ้นเครื่องที่เมืองหลวง ไว้จะมาเยี่ยมสักสองวันแล้วกัน แม่ก็เอาแต่พูดถึงลูกอยู่นั่น” ไป๋ตงหลินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย อันที่จริงนี่ก็ไม่ใช่ประสบการณ์ครั้งแรกหรือครั้งที่สองในชีวิตของเขาแล้ว
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ไป๋ตงหลินก็หันไปมองไป๋เยี่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “พ่อลองคิดเรื่องอาหารที่ลูกทำแล้ว มันไม่ง่ายแบบที่ลูกคิดหรอก สูตรอาหารนี้มันต่างจากอาหารชนิดอื่นๆ อีกอย่างอุตสาหกรรมนี้ก็ค่อนข้างเป็นอะไรที่เฉพาะทาง จะเสี่ยงเข้าไปในแวดวงนั้นน่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่พอเข้าไปได้สักพัก เดี๋ยวลูกก็จะรู้ว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด”
“และอย่างที่บอกไป ลูกต้องหันมาคิดเรื่องการส่งออก ช่องทางการขาย การกระจายสินค้าในตลาด การจัดหาวัตถุดิบ ข้อมูลผู้ค้าปลีก ความต้องการของผู้ซื้อ…และเรื่องอื่นๆ อีกมากมายด้วย ซึ่งมันก็ยุ่งยากมากจริงๆ จุดประสงค์ที่พ่อมาที่นี่ในวันนี้ก็เพราะเรื่องนี้แหละ”
“เรามีนวัตกรรม ส่วนน่าย่ามีระบบอุตสาหกรรม เราร่วมลงทุนกับทางนั้นได้นะ เนี่ยแหละที่เขาเรียกกันว่าการลงทุนด้านนวัตกรรม เดี๋ยวพ่อจะเอาอะไรให้ดู”
พูดจบไป๋ตงหลินก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมา “นี่คือข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทน่าย่า ลองอ่านดูสิ แล้วจะเข้าใจว่าทำไมน่าย่าถึงเป็นบริษัทเพาะพันธุ์สัตว์ทดลองที่เก่าแก่ที่สุดในจีนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด กุญแจสำคัญคือ น่าย่ามีแผนการพัฒนาที่ดีและมีรากฐานที่มั่นคง เงินที่เขาลงทุนไปในแต่ละปีก็มากกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ของยอดขายแต่ละปีแล้ว อัตราส่วนนี้น่ะ มันเทียบเท่ากับบริษัทใหญ่ๆ ที่ต่างประเทศและนำหน้าบริษัทอื่นๆ ในประเทศเราไปเยอะเลยนะ”
“จริงๆ พ่อก็ให้ความสำคัญกับน่าย่านะ น่าลงทุนด้วยมาก แต่…พ่อคิดว่าถังฮั่นดูเป็นคนที่มีภูมิหลังค่อนข้างแปลก ช่วงยี่สิบถึงสามสิบปีที่ผ่านมา เขากู้ยืมเงินทุนได้ง่ายมาก”
จู่ๆ ไป๋ตงหลินก็ยิ้ม “จำร้านอาหารบุฟเฟต์ตอนนั้นได้ไหม เขาเคยบอกว่า ถ้ามูลค่าการตลาดของบริษัทพุ่งขึ้นถึงระดับหมื่นล้าน บริษัทจะยังรักษาสิทธิ์ถือหุ้นไว้ให้ปีละยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เพราะงั้นก็อย่าลังเลเลย นี่แหละจ้องจะเอาผลประโยชน์เน้นๆ”
“สิ่งที่พ่ออยากบอกลูกในวันนี้คือ เราก็สร้างบริษัทผลิตอาหารสัตว์ของตัวเอง และเราก็ขยายกิจการให้ใหญ่ขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นได้เหมือนกัน แต่เราก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน! แต่ยังไงซะ เราจะไม่มีทางนำนวัตกรรมของเขาไปเข้าร่วมกับน่าย่าอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าขีดจำกัดของเขาจะสูงกว่าก็ตาม ที่สำคัญคือมันทำให้ลูกไม่ต้องมานั่งกังวล แถมยังทำเงินได้ด้วย ทำไมเราจะไม่ทำล่ะ!”