สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - บทที่ 227-2 อาจารย์ที่ชิงหวาหรืออาจารย์ที่เป่ยต้าดีกว่ากัน (2)
บทที่ 227 อาจารย์ที่ชิงหวาหรืออาจารย์ที่เป่ยต้าดีกว่ากัน (2)
ไป๋เยี่ยค้นพบว่าแม้คนตรงหน้าทั้งหมดจะเป็นนักวิจัยด้านการแพทย์สมัยใหม่ แต่รากฐานและความเข้าใจเกี่ยวกับการแพทย์แผนจีนของพวกเขาก็ไม่ได้ด้อยเลย และพวกเขาล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนจีนและแผนปัจจุบัน
ไป๋เยี่ยว่าตกใจแล้ว แต่นักวิชาการสามสี่คนตรงหน้ากลับตะลึงยิ่งกว่า
อย่างไรพวกเขาก็มีอายุราวๆ หกสิบปีกันแล้ว พวกเขาศึกษาสรีรวิทยาและพยาธิวิทยามาครึ่งค่อนชีวิต สั่งสมความเข้าใจเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์มาหลายปี แต่พวกเขาก็ไม่พลาดองค์ความรู้ใหม่ๆ และการพัฒนาของวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าขึ้นทุกปี
ไป๋เยี่ยเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง
ยี่สิบสี่ยี่สิบห้าได้แหละมั้ง
ตอนนี้คังเจี้ยนเซิงสัมผัสได้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่เด็กหนุ่มธรรมดา แต่เป็นปรมาจารย์ด้านวิชาการที่มีตัวตนและสถานะเทียบเคียงกับเขาได้
ความรู้สรีรวิทยาของไป๋เยี่ยไม่ได้ด้อยกว่าเขาเลย บางทีอีกฝ่ายก็ริเริ่มความคิดใหม่ๆ ขึ้นมาบ้าง
ช่างเป็นคนที่น่าทึ่งจริงๆ จู่ๆ คังเจี้ยนเซิงก็มีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว หากวันหนึ่งการแพทย์แผนจีนกลับมารุ่งเรืองได้ ก็คงเป็นเพราะมีไป๋เยี่ยเป็นผู้นำทางความคิดแน่นอน
คังเจี้ยนเซิงคิดแล้วก็พลันตื่นเต้นขึ้นมา
ช่วงเวลาหนึ่งวันช่างสั้นเหลือเกิน ทว่าทุกคนก็ได้รับประโยชน์มากมาย
ก่อนจะจบวัน คังเจี้ยนเซิงก็ทิ้งท้ายไว้ว่า “ผมคิดว่าการวิจัยเชิงสรีรวิทยาของจุลินทรีย์ในลำไส้ต้องเป็นทางการกว่านี้ ผมเสนอให้คุณจัดทีมวิจัยขึ้นมาศึกษาเรื่องนี้อย่างละเอียด ครั้งนี้พวกเราจะบัญญัติตำราสรีรวิทยาแบบใหม่ที่ทำให้โลกต้องตะลึง”
คำแนะนำของคังเจี้ยนเซิงนั้นดีมากและเป็นเช่นนั้นจริงๆ แม้แต่ไป๋เยี่ยเองยังคิดว่าแนวคิดที่เขาเสนอไปตอนแรกนั้นค่อนข้างเรียบง่ายและอยู่ในกรอบ จะเป็นการดีกว่าถ้านำการวิจัยจุลชีพผนวกเข้าเป็นสรีรวิทยาบทใหม่ เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้สรีรวิทยา
ไป๋เยี่ยจึงหยักหน้าทันที “ผมเห็นด้วยครับ!”
เกาเย่ว์หยางเองก็ไม่คัดค้าน “ผมก็เห็นด้วยเช่นกัน”
คังเจี้ยนเซิงดีใจจนลุกขึ้นยืน “สำหรับการวิจัยทางสรีรวิทยา ผมแนะนำให้ผม ไป๋เยี่ยและเกาเย่ว์หยางร่วมเป็นหัวหน้าบรรณาธิการ พวกเราจะเขียนหนังสือเล่มใหม่ขึ้นมา ผมจะรับผิดชอบส่วนสรีรวิทยา เหล่าเการับผิดชอบส่วนกายวิภาคศาสตร์และไป๋เยี่ยรับผิดชอบส่วนชีววิทยาของจุลินทรีย์…”
ในห้องทำงานเล็กๆ เรียบง่ายแห่งหนึ่ง มีชายชราสองคนและชายหนุ่มอีกหนึ่งกำลังร่วมมือกันเขียนตำรา ‘สรีรวิทยา’ ที่จะสร้างอิทธิพลให้กับโลกทั้งใบขึ้นมา
ก่อนจะแยกกัน คังเจี้ยนเซิงก็รั้งไป๋เยี่ยไว้ก่อน “คุณอยากเป็นอาจารย์ที่เป่ยต้าไหม”
ไป๋เยี่ยอึ้งงัน ว่าไงนะ อาจารย์ที่เป่ยต้า อาจารย์คังพูดอีกทีได้ไหมได้ยิตไม่ค่อยชัดเลย
เมื่อเห็นไป๋เยี่ยนิ่งไป คังเจี้ยนเซิงก็เสริมต่อทันที “ไม่ใช่เต็มเวลา แต่เป็นศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ที่สังกัดอยู่ในเครือ คิดว่าไง”
ไป๋เยี่ยยิ้มอย่างประหม่า “ได้เหรอครับ”
“ได้สิ!”
“ได้อยู่แล้ว!” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
“ได้แน่นอน!”
ทุกคนในห้องพูดขึ้นพร้อมกัน
การกระทำและคำพูดของไป๋เยี่ยสร้างความประทับใจให้ทุกคนมาก ไป๋เยี่ยได้แต่บีบจมูกแก้เขิน “รอให้ผมได้รางวัลผลงานดีเด่นก่อนนะครับ ผมคิดว่าตัวเองยังไม่ประสบความสำเร็จเลย ถ้าผมยังโน้มน้าวผู้อื่นไม่ได้ก็ไม่อยากทำให้พวกอาจารย์ลำบากใจน่ะครับ”
คังเจี้ยนเซิงหัวเราะและกล่าวอย่างมีความสุข “ตามนั้นเลย เมื่อไหร่ที่คุณได้รางวัล ผมจะให้คุณมาบรรยายที่นี่ จากนั้นก็เสนอให้คุณเป็นศาสตราจารย์รับเชิญกิตติมศักดิ์ของเป่ยต้า!”
กว่าจะออกจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งก็เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว เหล่าชายชราต่างไม่ได้กินข้าวเต็มอิ่ม จึงชวนกันไปกินโจ๊ก
ไป๋เยี่ยตามพวกเขาไปที่ร้านเล็กๆ ริมถนน คนขายโจ๊กคงจะรู้จักคังเจี้ยนเซิงดี จึงกล่าวทักทาย “เหล่าคังพาเพื่อนมาด้วยเหรอ สั่งเหมือนเดิมไหม”
คังเจี้ยนเซิงพยักหน้า ไม่นานนักอาหารก็มาเสิร์ฟ
เหล่าชายชราต่างสั่งโจ๊กหนึ่งชาม ซาลาเปาเจสองลูกและเครื่องเคียงอีกหนึ่งจาน ดูเป็นมื้ออาหารที่เรียบง่ายและธรรมดา
ไป๋เยี่ยมองภาพตรงหน้า พลันคิด นี่คงเป็นชีวิตประจำวันของเหล่าคังสินะ
ระหว่างทางกลับ เกาเย่ว์หยางก็ยังคงมีท่าทีลังเลแต่ก็อดใจถามไม่ได้ “เสี่ยวเยี่ย คุณคิดว่ายูเนียนเป็นไงบ้าง”
ไป๋เยี่ยรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย วันนี้เขาถามคำถามนี้กี่รอบแล้ว…
“ดีสิครับ ไม่งั้นผมคงไม่รู้ว่าจะสอบเข้าที่ไหนแล้ว” ไป๋เยี่ยตอบไปตามตรง
เกาเย่ว์หยางพึมพำ “คุณคิดยังไงกับการไปเป็นอาจารย์ที่ชิงหวา หรือไม่ก็ที่ยูเนียน”
“คุณอย่าลำเอียงสิ คุณตกลงกับเหล่าคังว่าจะไปเป็นอาจารย์ที่เป่ยต้า พวกเรารู้จักกันมานานกว่าคุณรู้จักเขาอีก นี่คุณแอบดูแคลนยูเนียนหรือเปล่าเนี่ย คุณไม่ต้องทำอะไรมากหรอก แค่มีเวลามาบรรยายที่ยูเนียนก็พอ!”
รถมาส่งไป๋เยี่ยที่หน้าเขตชุมชนเล็กๆ ไป๋เยี่ยเดินขึ้นไปข้างบนห้องแล็บ ที่นี่มีของใช้ในชีวิตประจำวันครบครัน ไป๋เยี่ยจึงถือว่าห้องแล็บนี้เป็นบ้านของเขา
ไป๋เยี่ยกลับมาดูผลการทดลอง จากนั้นก็จดบันทึก แล้วจึงจดบันทึกแนวคิดและประสบการณ์ทดีๆ ที่ได้จากการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญในวันนี้ลงไป เสร็จแล้วก็ไปเข้านอน
เมื่อไป๋เยี่ยตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น เขาก็จัดเตรียมเอกสารให้พร้อมสำหรับการเขียนเนื้อหาชีววิทยาของจุลินทรีย์
ข้อมูลเหล่านี้ถูกรวบรวมไว้และผ่านการทดลองเชิงปฏิบัติมาแล้ว สิ่งที่ไป๋เยี่ยต้องทำคือสรุปและสร้างหัวข้อที่สมบูรณ์ขึ้นมา
หัวข้อที่ว่าก็คือเรื่องชีววิทยาของจุลินทรีย์
หัวข้อนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงขอบเขตโรคภายในลำไส้อีกต่อไป จากการวิจัยพบว่าสารผลิตภัณฑ์ที่ได้จากจุลชีพเหล่านี้สร้างผลกระทบต่อการทำงานของร่างกายมนุษย์ได้ทั้งในด้านสรีรวิทยาและพยาธิวิทยา
หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ไป๋เยี่ยก็ค่อยๆ ปรับปรุงทฤษฎีนี้จนใกล้สมบูรณ์ เขาจดบันทึกข้อมูลของสารผลิตภัณฑ์ทั้งสิบสองชนิดที่ได้จากการสำรวจ
นี่ถือเป็นการปฏิรูปศาสตร์สรีรวิทยาเลยก็ว่าได้
วันที่ 1 ธันวาคม ‘วารสารการแพทย์ล่าสุด’ ของญี่ปุ่นก็ถูกเผยแพร่ออกมา ด้านในมีการเขียนถึงมุมมองใหม่ๆ และสถานะการวิจัยเรื่องจุลชีพภายในลำไส้ปัจจุบัน ไปจนถึงการปรับปรุงทฤษฎี
ความก้าวหน้าในงานวิจัยของพวกเขาไปเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาไป๋เยี่ยต้องให้ความสนใจกับคู่แข่งรายนี้ ศักยภาพการวิจัยองค์ความรู้ใหม่ๆ ของญี่ปุ่นย่อมมีมากกว่าจีนหลายเท่า
การพัฒนาองค์ความรู้ทางการแพทย์ขึ้นอยู่กับการพัฒนาของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งจีนก็มีข้อบกพร่องในเรื่องนี้
ตอนนี้สมาชิกกองบรรณาธิการของ ‘การแพทย์ผู่เจ๋อสมัยใหม่’ ใกล้จะกลับมากันแล้ว
ตอนแรกไป๋เยี่ยส่งพวกเขาไปศึกษาดูงานที่ ‘เซลล์’ และ ‘เอ็มไอโอ’ เพื่อให้พวกเขาได้ซึมซับแบบแผนจากกองบรรณาการวารสารชั้นนำในโลก ระยะเวลาศึกษาดูงานหนึ่งเดือนนี้ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับบรรดาสมาชิกกองบรรณาธิการ
ต้องรู้ว่ากองบรรณาการของวารสารระดับสูงอย่าง ‘เซลล์’ ไม่ใช่ที่ที่คิดจะไปก็ไปได้ง่ายๆ ทุกคนจึงถนอมโอกาสอันหามาได้ยากนี้ไว้อย่างดี
ปัจจุบันมีผู้สูงอายุเพียงไม่กี่คนที่ใช้ชีวิตประจำวันอยู่ในกองบรรณาธิการของโรงพยาบาลผู่เจ๋อ
สมาชิกโครงการวิจัยจุลชีพภายในลำไส้ต่างกำลังประชุมกันอยู่
ไป๋เยี่ยจึงบอกเรื่องวารสาร ‘การแพทย์ผู่เจ๋อสมัยใหม่’ ให้ทุกคนฟังและหวังอย่างยิ่งว่าทุกคนจะร่วมกันตีพิมพ์บทความลงในวารสารฉบับนี้เพื่อสร้างเวทีให้กับมันในอนาคต
หลังจากที่ทุกคนได้ทราบเรื่องนี้ พวกเขาก็ยิ่งเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ สุดท้ายแล้วหากมีผลลัพธ์ของงานวิจัย การจะเขียนบทความก็เป็นเรื่องง่าย
ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่พวกเขากำลังค้นคว้าอยู่ก็เป็นสิ่งที่ต่างประเทศไม่เคยค้นพบมาก่อน หากถูกเผยแพร่ออกไปก็ย่อมสร้างผลกระทบเป็นระยะเวลาหนึ่ง จะมีผู้คนนำงานวิจัยไปอ้างอิงจำนวนมาก
นาทีนี้ใครๆ ก็ต่างตื่นเต้นกับการรอเปิดตัวของ ‘การแพทย์ผู่เจ๋อสมัยใหม่‘
ไป๋เยี่ยและคาร์ลคุยกันไว้ดิบดี เมื่อถึงเวลาย่อมให้ความช่วยเหลือแก่กันได้
กล่าวได้ว่าตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว ขาดเพียงลมบูรพา[1]
[1] เพียบพร้อมทุกอย่าง ขาดแต่ลมบูรพาหมายความว่าทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมไว้แล้ว ขาดแค่โอกาสเท่านั้น