สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - บทที่ 239 ดีขึ้นเรื่อยๆ
บทที่ 239 ดีขึ้นเรื่อยๆ
แผนกศัลยกรรมกระดูกทั้งสามชั้นของโรงพยาบาลผู่เจ๋อมีหลี่เจี้ยนเหว่ยเป็นหัวหน้าแผนกคนเดียวเท่านั้น
ชั้นห้าคือแผนกกระดูกและข้อ ชั้นหกคือแผนกกระดูกหัก และชั้นเจ็ดคือแผนกกระดูกสันหลัง หลี่เจี้ยนเหว่ยจะไปราวน์วอร์ดที่แผนกทั้งสามทุกเช้าวันจันทร์ วันอังคาร และวันพุธ
ไป๋เยี่ยติดตามหลี่เจี้ยนเหว่ยเป็นหลัก หัตถการเกี่ยวกับกระดูกและข้อนั้นมีมากมาย โดยทั่วไปแล้วทุกวันจะมีเคสผ่าตัดซึ่งหลี่เจี้ยนเหว่ยจะเข้าไปมีส่วนร่วมในเคสผ่าตัดที่ยากเท่านั้น ส่วนเคสทั่วๆ ไปจะรับผิดชอบโดยแพทย์คนอื่น
แผนกศัลยกรรมกระดูกมีศักยภาพที่สูงมาก เป็นแผนกที่มีการพัฒนาอย่างดีโดยมีผู้เชี่ยวชาญกว่าแปดคน และยังมีแพทย์อาวุโสกว่าสิบคนและแพทย์ทั่วไปอีก
แม้ว่าทั้งสามชั้นจะแบ่งตามอาการบาดเจ็บของกระดูกอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ได้จำกัดผู้ป่วยขนาดนั้น โดยปกติแล้ว ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในทั้งสามชั้นจะเหมือนกัน
หลังจากทำความคุ้นชินมาระยะหนึ่ง ไป๋เยี่ยก็เริ่มเข้าใจสิ่งต่างๆ ในแผนกแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างราวน์วอร์ด ไป๋เยี่ยตอบคำถามของหลี่เจี้ยนเหว่ยได้อย่างชัดเจน
วิชากระดูกและข้อของเขาอยู่ที่เลเวลหก ถือว่ามีพื้นฐานไม่น้อยเลย หลังจากที่ใช้เวลาค้นคว้ากว่าสองสัปดาห์ เขาก็เข้าใจพื้นฐานของการศัลยกรรมกระดูกแล้ว ทำให้วิชาศัลยกรรมกระดูกของเขาขึ้นเลเวลสองเช่นกัน
นอกจากนี้ ในที่สุดไป๋เยี่ยก็ได้รับการแจ้งเตือนภารกิจจากระบบด้วย
[ติ๊ง! เข้าฝึกงานในแผนกศัลยกรรมกระดูก เปิดใช้งานภารกิจฝึกฝน: ดูแลผู้ป่วยจำนวนสิบรายตั้งแต่เข้ารับการรักษาไปจนถึงออกจากโรงพยาบาลเพื่อจะได้เป็นแพทย์อย่างแท้จริง หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ คุณจะได้รับทักษะภาคปฏิบัติเกี่ยวกับการศัลยกรรมกระดูกเล็กน้อย]
ไม่ใช่แค่ภารกิจเท่านั้น ไป๋เยี่ยยังค้นพบปัญหาอย่างหนึ่งด้วย เขามีโอกาสติดตามหัวหน้าแผนกไม่มากนัก เลเวลทักษะภาคปฏิบัติจึงขึ้นช้าเกินไป เพราะฉะนั้นไป๋เยี่ยจึงเป็นฝ่ายริเริ่มเสนอแนวทางให้หลี่เจี้ยนเหว่ย โดยเขาจะทดลองดูแลผู้ป่วยด้วยตนเองบ้าง
ทันทีที่ไป๋เยี่ยเสนอแนวคิดนี้ออกไป หลี่เจี้ยนเหว่ยก็มีท่าทีลังเล เพราะนักศึกษาแพทย์ฝึกหัดส่วนใหญ่ก็เริ่มได้ดูแลผู้ป่วยเองแล้ว ทว่าล้วนเป็นนักศึกษาเฉพาะทางที่มาช่วยอาจารย์ดูแลผู้ป่วยเท่านั้น
เช้าวันรุ่งขึ้น ระหว่างที่มีการเปลี่ยนเวร แพทย์ทุกคนในแผนกไม่มีใครเป็นนักศึกษาแพทย์ฝึกงาน หลี่เจี้ยนเหว่ยจึงออกประกาศ “วันนี้ผมอยากจะมาแจ้งให้ทุกคนทราบ ผมต้องการให้ไป๋เยี่ยเข้ามารับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยด้วย โดยจะให้เข้ารับหน้าที่เป็นแพทย์เลย ตั้งแต่รับเคสไปจนถึงตอนที่ผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล ”
“ช่วงนี้ผมอยากให้ทุกคนใส่ใจมากขึ้นนิดหนึ่ง ให้ความสนใจกับการฟื้นตัวของผู้ป่วย เกิดเรื่องอะไรก็ไปจัดการด้วย แล้วก็ถ้าไป๋เยี่ยติดขัดตรงไหนก็ไปช่วยเขาหน่อยนะ”
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็รับปาก
ดังนั้นไป๋เยี่ยจึงได้กลายเป็นแพทย์ชั่วคราวในที่สุด
วันนั้นไป๋เยี่ยรับเคสต่อจากหลี่เจี้ยนเหว่ยที่รับมาจากวอร์ดผู้ป่วยนอกเคสหนึ่ง ซึ่งเป็นเคสหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน
ผู้ป่วยรายนี้เป็นผู้สูงอายุ จุดประสงค์ที่มาโรงพยาบาลคือต้องการเข้ารับการรักษาตามที่ประกันสุขภาพปักกิ่งสามารถออกเงินประกันให้ถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ เป็นการตรวจสุขภาพประจำปี
ไป๋เยี่ยคิดว่าหลี่เจี้ยนเหว่ยทั้งเป็นห่วงและต้องการฝึกฝนตัวเขา จึงเลือกเคสที่จัดการได้ง่ายมาให้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่านี่จะเป็นเคสง่าย แต่ไป๋เยี่ยก็ไม่อยากประมาท กลับกัน การทำเรื่องง่ายๆ ให้ออกมาดีที่สุดก็ถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเคสง่าย การรักษาก็จะยิ่งยากขึ้นเท่านั้น
อีกทั้งผู้ป่วยเคสไม่ร้ายแรงเช่นนี้ยังช่วยให้ไป๋เยี่ยค่อยๆ ดำเนินการตามขั้นตอนอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ด้วย
โรงพยาบาลผู่เจ๋อเป็นโรงพยาบาลที่ผสมผสานการแพทย์แผนจีนและแผนปัจจุบันเข้าด้วยกัน
การแพทย์แผนจีนมีวิธีการรักษาหลากหลายวิธี เช่น การใช้สมุนไพรประคบเอว การแปะยาบนจุดต่างๆ การฝังเข็มและการครอบแก้วเป็นต้น ซึ่งให้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากกว่า นอกจากนี้การนวดก็จะช่วยบรรเทาอาการได้มากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ยังมีวิธีการทางการแพทย์แผนปัจจุบันหลายวิธี เช่น การรักษาแบบประคับประคอง การบำบัดโดยการดึงคอและหลังและการฉีดสเตียรอยด์แก้ปวด เป็นต้น
แน่นอนว่าในเคสร้ายแรงก็ผ่าตัดได้ แต่การผ่าตัดหมอนรองกระดูกเคลื่อนจำเป็นต้องมีข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดด้วย ซึ่งโดยทั่วไปจะไม่สนับสนุนให้ทำการผ่าตัดนัก อย่างไรก็ตาม การพักฟื้นหลังผ่าตัดก็อาจจะไม่ให้ผลดีเสมอไป เพราะเทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้าพอ
การรักษาแบบประคับประคองมักจะไม่ได้ผลกับผู้ป่วยเคสร้ายแรง มีประวัติการรักษามายาวนานและมีอาการปวดอย่างรุนแรง กระทั่งผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น อัมพาต กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้ออ่อนแรงและช่องกระดูกสันหลังตีบแคบเท่านั้นที่ควรได้รับการผ่าตัด
หลังจากที่รับเคสผู้ป่วยมา ไป๋เยี่ยก็เอาใจใส่กับงานมาก การดูแลผู้ป่วยด้วยตนเองกับการมีอาจารย์คอยชี้แนะนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เพราะว่าเขาต้องซักประวัติการเข้ารักษาในปัจจุบันและอดีตของผู้ป่วย ยาที่เคยรับประทาน ประวัติแพ้ยาหรืออาหาร ประวัติการถ่ายเลือด และประวัติการได้รับบาดเจ็บจากการผ่าตัด เป็นต้น
ไป๋เยี่ยไม่กล้าประมาท แม้ว่าเคสที่เข้าได้รับจะเป็นเคสธรรมดาๆ แต่เขาก็ยังทำหน้าที่อย่างจริงจัง
ไป๋เยี่ยพิจารณาทุกขั้นตอนอย่างรอบคอบตั้งแต่การซักประวัติไปจนถึงออกคำแนะนำแพทย์
แน่นอนว่าทางแผนกก็มีแบบฟอร์มให้ เช่น การเจาะเลือด ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจอุจจาระ ตรวจเลือดแฝงในอุจจาระ ตรวจการทำงานของตับและไต การแข็งตัวของเลือดและความหนืดของเลือด เป็นต้น
เช้าวันรุ่งขึ้น ผู้ได้รับการเจาะเลือด ถ่ายภาพและวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวข้อง
หลังจากที่ไป๋เยี่ยได้เห็นแบบฟอร์มการตรวจ เขาก็สรุปผลตรวจออกมา ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ช่วยฝึกฝนเขาได้เป็นอย่างดี
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ไป๋เยี่ยก็จัดการกับเรื่องทั่วไปในวอร์ดได้แล้ว
เมื่อเห็นว่าไป๋เยี่ยค่อยๆ เรียนรู้มากขึ้น หลี่เจี้ยนเหว่ยก็ยื่นเคสผู้ป่วยรายอื่นๆ ให้ไป๋เยี่ย อย่างเช่น เคสดูแลผู้ป่วยหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า เป็นต้น
ไป๋เยี่ยมาที่แผนกศัลยกรรมกระดูกเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว หลังจากผ่านช่วงแห่งการปรับตัวไปแล้ว ไป๋เยี่ยก็มีความเชี่ยวชาญในข้อควรระวังพื้นฐานมากขึ้น สำคัญที่สุดคือค่าประสบการณ์ที่ได้รับในช่วงเวลาสั้นๆ นี้มากกว่าสองสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นเท่าตัว…
ทำให้เลเวลทักษะศัลยกรรมกระดูกของไป๋เยี่ยเพิ่มขึ้นเป็นเลเวลสาม ซึ่งเป็นระดับมืออาชีพโดยทันที
ไป๋เยี่ยมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคที่พบได้ทั่วไปในแผนกศัลยกรรมกระดูก เขาค้นพบว่าหลายโรคมีความซับซ้อนมาก ในแผนกมีผู้ป่วยเคสหนึ่งที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด แต่กลับตรวจเจอโรคอื่นๆ ด้วย ตอนนั้นเกือบจะเกิดปัญหาระหว่างการรักษาแล้ว…หากไป๋เยี่ยเป็นคนรับเคสนั้นมา ก็อาจจะเป็นเรื่องที่เขาจัดการได้ยาก
เคสที่หลี่เจี้ยนเหว่ยส่งมาล้วนเป็นเคสทั่วไป ไม่มีภาวะแทรกซ้อนมากมาย จึงจัดการค่อนข้างง่าย
ผลการวินิจฉัยก็ชัดเจนมาก ทุกเคสต้องใช้การรักษาแบบประคับประคอง ส่วนเคสร้ายแรงที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดนั้น หลี่เจี้ยนเหว่ยจะไม่ส่งให้ไป๋เยี่ยเด็ดขาด เพราะกลัวว่าจะเกิดข้อผิดพลาด แน่นอนว่าเป็นเพราะเขากังวลว่าไป๋เยี่ยจะดูแลผู้ป่วยไม่ไหว
หลังจากที่ผู้ป่วยกลุ่มแรกออกจากโรงพยาบาลไป เตียงในวอร์ดก็ว่างไปสองสามหลัง เมื่อไป๋เยี่ยจัดการเรื่องต่างๆ เสร็จแล้ว เขาก็มักจะนั่งอ่านหนังสือในวอร์ด
วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ที่โรงพยาบาลมีเพียงแพทย์ประจำการเท่านั้น ในตอนนี้เอง พยาบาลจากแผนกฉุกเฉินก็โทรมาบอกว่าวันนี้มีเคสฉุกเฉินเข้ามาเยอะมาก จำเป็นต้องได้รับการตรวจกระดูกและข้อฉุกเฉิน
ทันทีที่หลิวเสี่ยวกัง แพทย์เวรทราบข่าว ก็รีบวิ่งลงไปชั้นล่างทันทีโดยไม่รอลิฟต์ด้วยซ้ำ
ส่วนไป๋เยี่ยก็รีบวิ่งตามหลิวเสี่ยวกังลงไป ตรวจกระดูกและข้อฉุกเฉิน! เกิดอะไรขึ้นกันแน่