สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - บทที่ 241 มรดกตกทอด (1)
บทที่ 241 มรดกตกทอด (1)
ตอนนี้จ้าวปัวยิ่งกระสับกระส่ายกว่าเดิม ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่เขาก็ไม่ได้กังวลมากนัก สำหรับสายงานของพวกเขาแล้ว อาการบาดเจ็บถือเป็นเรื่องปกติ
แต่แขนขวาของเขานั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด หากแขนขวาใช้การไม่ได้จริงๆ เขาก็อาจจะทำงานนี้ต่อไปในอนาคตไม่ได้
พวกเขาต้องปฏิบัติภารกิจต่างๆ หากข้อต่อเคลื่อนจริงๆ ก็คงยากที่จะจินตนาการถึงความเสี่ยง
ดังนั้นเมื่อเทียบกับความเจ็บปวดแล้ว สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดในตอนนี้ก็คือผลที่ตามมา
“หมอครับ คงไม่มีผลข้างเคียงอะไรใช่ไหม” จ้าวปัวฝืนยิ้มพลางมองหลิวเสี่ยวกัง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าจะได้คำตอบที่น่าพอใจ
ทว่าหลิวเสี่ยวกังก็ยังคงเงียบไม่พูดไม่จา เขาให้คำตอบที่ชัดเจนแก่ผู้ป่วยไม่ได้ เขาทำได้เพียงปลอบใจผู้ป่วยเท่านั้น “ตามปกติแล้ว จะบอกว่าไม่มีผลอะไรก็คงไม่ใช่ แต่ก็คงไม่มีผลกระทบอะไรมากหรอกครับ ไม่น่ามีปัญหากับชีวิตประจำวัน”
ในความเป็นจริงแล้ว การรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินเคสกระดูกเคลื่อนนั้นมักผ่านไปได้ด้วยดี หากล็อกให้ข้อต่อและข้อมืออยู่ในตำแหน่งเดิมแล้วก็จะไม่ก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บ นำน้ำแข็งมาประคบเย็นไว้ก็ดีแล้ว
ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยืนอยู่ด้านหลังหลิวปัวคนหนึ่งแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา แววตาของเขาแฝงไปด้วยความวิตกกังวลและไม่สบายใจ เขาดึงหลิวเสี่ยวกังเข้ามาก่อนจะเอ่ยปาก “หมอครับ เราต้องผ่าตัดไม่ใช่เหรอ รีบไปเตรียมตัวเถอะ ดูอาการหัวหน้าสิ”
ไป๋เยี่ยเดินเข้าไปดึงแขนของผู้ป่วยขึ้นก่อนจะแตะบริเวณข้อต่อด้วยมือซ้ายและออกแรงเล็กน้อยเพื่อตรวจดูอาการ
เมื่อถูกไป๋เยี่ยกดบริเวณที่กำลังเจ็บอยู่แบบนี้ ทันใดนั้นจ้าวปัวก็ร้องเสียงหลงเพราะความเจ็บปวด
ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังจ้องไป๋เยี่ยเขม็ง “หยุดเดี๋ยวนี้!”
จ้าวปัวยิ้มแหยพลางซี้ดปากไปด้วยก่อนจะโบกมือให้ไป๋เยี่ย “พูดดีๆ หน่อย หมอคนไหนจะไม่เคยฝึกมาล่ะ ขอโทษด้วยนะหมอ ลูกน้องผมเขากังวลน่ะ ไม่เป็นไรหรอก ตั้งใจฝึกไป ตอนที่ผมเข้ากองครั้งแรกแม้แต่ปืนยังถือไม่มั่นเลย แถมยังโดนครูฝึกลากออกไปอีก”
ป้ายที่ติดอยู่บนอกเสื้อของไป๋เยี่ยบ่งบอกว่าเขาเป็นนักศึกษาแพทย์ฝึกงาน ซึ่งแตกต่างจากป้ายของแพทย์ประจำบ้านโดยสิ้นเชิง ดังนั้นมองปราดเดียวก็รู้สถานะทันที
นอกจากนี้ไป๋เยี่ยยังอายุน้อย มีใบหน้าอ่อนวัย ต่างจากหลิวเสี่ยวกังที่ไว้เคราทว่ายังหลงเหลือร่องรอยแห่งความเยาว์วัยไว้อยู่บ้าง บางทีนั่นอาจจะเป็นหลุมสิวของเขา ถึงอย่างไรเขาก็ดูมีอายุมากกว่าอยู่ดี
ไป๋เยี่ยยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อเห็นว่าผู้ชายตรงหน้าไม่ได้มีท่าทีวางอำนาจเลย แม้ว่าตนจะเจ็บแต่ก็ยังข่มอาการไว้ได้
เหตุผลที่ไป๋เยี่ยแตะแขนจ้าวปัวก็เพราะเขาต้องการพิสูจน์ความคิดของตนเองหลังจากที่ได้ดูฟิล์มเอ็กซ์เรย์อย่างละเอียด เมื่อพิจารณาจากอาการผู้ป่วยแล้ว เขาคิดว่าตนน่าจะพอรักษาได้
แม้ว่ามันจะยาก แต่ไป๋เยี่ยคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร กลับกัน เขามั่นใจมาก เพราะข้อต่อไม่ได้เปลี่ยนรูปร่าง และผู้ป่วยก็ไม่มีโรคประจำตัว สาเหตุหลักมาจากการเคลื่อนตัวอย่างรุนแรงที่เกิดจากแรงภายนอก
จู่ๆ ไป๋เยี่ยก็ลุกขึ้นมาดึงตัวหลิวเสี่ยวกัง “ให้ผมลองดูนะครับ ผมช่วยได้”
หลิวเสี่ยวกังชะงักก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อก่อนจะกดเสียงลงและเอ่ยอย่างจริงจัง “อย่ามาล้อเล่นแถวนี้!”
ไป๋เยี่ยส่ายหัว “ผมจริงจัง”
ทว่าหลิวเสี่ยวกังยังคงปฏิเสธ “ไม่ ผมปล่อยให้คุณเสี่ยงไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนไข้เลย ไปเตรียมตัวผ่าตัดได้แล้ว มาเป็นผู้ช่วยผมซะ”
ไป๋เยี่ยพยักหน้า บางครั้งเรื่องแบบนี้พูดไปก็ไร้ความหมาย แต่ถึงกระนั้นไป๋เยี่ยก็ไม่ได้บีบบังคับอีกฝ่าย
จู่ๆ เสียงแจ้งเตือนจากระบบก็ดังขึ้น
[ติ๊ง! กระตุ้นภารกิจ ทำกายภาพบำบัดด้วยตนเองจำนวน 10 ครั้ง หลังสำเร็จภารกิจจะได้รับรางวัลเป็นชุดปฐมพยาบาลระดับต้น]
ได้เลย ภารกิจกายภาพบำบัดนี่คงจะไม่สำเร็จแน่นอน เพราะเราคงไม่มีโอกาสได้ทำภารกิจนี้ ค่อยว่ากันทีหลังแล้วกัน
คงต้องอยู่ในแผนกศัลยกรรมกระดูกอีกสักระยะหนึ่งจนกว่าจะมีคนยอมรับ บางทีอาจจะพอมีโอกาส
ไป๋เยี่ยมีทัศนคติที่ดี เขาไม่ได้มีชีวิตเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จอย่างเดียว แต่มีชีวิตเพื่อทำเรื่องอื่นๆ ด้วย ไป๋เยี่ยไม่ได้คัดค้านคำปฏิเสธของหลิวเสี่ยวกัง เพราะอย่างไรนี่ก็เป็นจรรยาบรรณแพทย์ขั้นพื้นฐานที่สุดและเป็นความรับผิดชอบต่อผู้ป่วย
ฝากฝังชีวิตไว้กับความรับผิดชอบ!
ดังนั้นทุกคนจึงเริ่มทำงาน
หลิวเสี่ยวกังไปเตรียมการผ่าตัดโดยด่วน ในขณะที่จ้าวปัวไปตรวจเลือดและเตรียมตัวก่อนการผ่าตัด
ระหว่างที่หลิวเสี่ยวกังกำลังจะออกไป ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างๆ เขา
“หมอครับ ทุกคนต้องเท่าเทียมกันสิ พวกเราก็นอนกระดูกหัก ข้อเคลื่อนอยู่ตรงนี้เอง…ไหงเขาถึงได้ผ่าตัดล่ะ”
ชายศีรษะล้านในชุดสีดำตะโกนจากบนเตียง เขาคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดจากข้อมือที่แพลง
ตำรวจที่ดุไป๋เยี่ยเมื่อครู่จ้องมองไปทางชายชุดดำ “ผมจะพูดตามตรงนะ! มันเป็นความผิดของคุณทั้งหมด ถ้าคุณมองย้อนกลับไปสักหน่อย ผมคงจะไม่ต้องสั่งสอนคุณหรอกนะ!”
ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆ ราวกับไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่าย เขาแตะมือที่เคล็ดของตนเองอย่างประหม่าก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณนี่นะ ยุคนี้สังคมเราอยู่ใต้กฎหมายแล้ว จะพูดจะทำอะไรก็ต้องรับผิดชอบนะ”
พูดจบเขาก็เริ่มคร่ำครวญอีกครั้ง “หมอ! ผมเจ็บ! ผมต้องการการรักษา … ”
ผู้ชายในชุดธรรมดาคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวเขาก็ร้องขึ้นมา “โอ๊ย…เจ็บชะมัด ผมต้องผ่าตัดแล้ว”
“ใช่ หมอ พวกเราเจ็บมาก พวกเราก็ต้องผ่าตัดนะ…ใครก็ได้ช่วยด้วย”
ภายในห้องฉุกเฉินก็เสียงดังจนแทบจะกลายเป็นตลาดสด
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังฟังชัดของใครบางคนดังขึ้นมา
“ทุกคนช่วยเงียบหน่อย ที่นี่คือโรงพยาบาล ไม่ใช่ตลาดสด”
ทุกคนมองไปรอบๆ ก็เห็นแพทย์หญิงชุดขาวสวมหน้ากากอนามัยยืนอยู่ ผมเผ้าของเธอยุ่งเหยิงเล็กน้อยเนื่องจากตารางงานอันวุ่นวายของเธอ
ชายหัวล้านเห็นดังนั้นก็พูดขึ้น “หมอครับ ไม่ใช่ว่าเราอยากสร้างปัญหาหรอกนะ แต่เพราะนี่มันไม่ยุติธรรมเกินไป พวกเราก็เป็นคนไข้เหมือนกัน ต้องเข้ารับการผ่าตัด แต่ทำไมคุณถึงผ่าตัดแต่เจ้าหน้าที่ล่ะ! พวกเราก็เป็นคนเหมือนกันนะ”
จ้าวปัวมีจิตใจที่เข้มแข็งพอ ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วเขาก็ต้องออกโรงอย่างแน่นอน
เขาเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปพูดกับหลิวเสี่ยวกัง “หมอครับ ไปตรวจพวกเขาก่อนเถอะ ผมไม่รีบ!”
หลังจากที่หลิวเสี่ยวกังคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว เขาก็เหลือบมองจ้าวปัวทีหนึ่ง ก่อนจะหันไปพูดกับหลิวเป่าเซ่อ “ห้องผ่าตัดถูกจัดเตรียมไว้แล้ว รอผลวินิจฉัยออกก็ดำเนินการได้เลย”
พูดจบเขาก็มองไปที่หลิวเป่าเซ่ออีกครั้งหนึ่ง “หัวหน้า ให้พวกผมไปที่ไหนไหมครับ”
หลิวเป่าเซ่อพยักหน้า “มีอีกหลายเคสที่มาด้วยอาการกระดูกและข้อเคลื่อน แต่ไม่ถึงขั้นกระดูกหัก เอ็กซ์เรย์ทุกคนแล้ว มีประมาณเจ็ดแปดคนที่กระดูกข้อมือ แขน และข้อศอกเคลื่อน แต่ไม่ใช่เคสร้ายแรงอะไร แค่บวมนิดหน่อย อาจจะต้องทำกายภาพบำบัด”
หลิวเสี่ยวกังพยักหน้า และใช้ประโยชน์จากช่วงการตรวจเลือดก่อนการผ่าตัดเพื่อเตรียมรับมือกับผู้ป่วยเหล่านี้ ในฐานะที่เป็นแพทย์อาวุโส เคสเหล่านี้ยังรักษาได้ด้วยการทำกายภาพบำบัดง่ายๆ
หลังจากที่เขาพาไป๋เยี่ยไปตรวจดูแต่ละเคสและตรวจดูภาพเอ็กซ์เรย์แล้ว จากนั้นก็…
หลิวเสี่ยวกังมองไป๋เยี่ยพลางถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เคสพวกนี้ไม่ค่อยยาก คุณแน่ใจนะว่าคุณทำกายภาพบำบัดได้”
ไป๋เยี่ยพยักหน้า “ผมแน่ใจครับ!”
หลิวเสี่ยวกังลังเล “ตามนั้น คุณไปทำกายภาพบำบัดให้คนหัวโล้นแล้วกัน กระดูกข้อมือเขาเคลื่อน คงจะรักษาไม่ยาก อาการก็ไม่หนักมาก…”
ไป๋เยี่ยพยักหน้า เขายืนขึ้นและเดินตรงไปหาชายศีรษะโล้น
เมื่อชายคนนั้นเห็นไป๋เยี่ยเดินมา เขาก็พูดขึ้น “ไม่ ผมต้องการหมอที่ดูแก่ๆ คนนั้น ไม่ใช่หมอเด็กๆ”
ไป๋เยี่ยยิ้ม “คุณคิดว่าคุณกำลังสั่งอาหารอยู่เหรอครับ”
พูดจบไป๋เยี่ยก็ยกมือของชายคนนั้นขึ้นมาดึงผ้าที่พันไว้ออกและพินิจพิจารณาอย่างละเอียด เขาพบว่าชายคนนี้แข็งแรงมาก แขนของเขาหนากว่าไป๋เยี่ยเกือบเท่าหนึ่ง
เขาสร้างกล้ามเนื้อมาอย่างดี ตั้งแต่แขนไปจนถึงหลังมือของเขาเต็มไปด้วยรอยสัก
ไป๋เยี่ยจับข้อมือของชายคนนั้นขึ้นมาบิดเล็กน้อยแล้วถามว่า “เจ็บไหมครับ”
ชายคนนั้นรู้สึกเจ็บปวดจนสูดหายใจเข้า “โอ๊ย…หมอมาลองโดนเองสิ หน็อย รอให้หายก่อนเถอะ”
ชายคนนั้นไม่ทันได้พ่นคำสาปแช่งต่อ ข้อมือของเขาก็เกิดเสียงดัง กร๊อบ
ดูเหมือนจะขยับได้แล้ว!
ชายคนนั้นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ขยับได้หรอกเหรอ
เขาบิดข้อมือแล้วลองสัมผัสดู ข้อมือของเขาขยับได้จริงๆ ถึงแม้ว่าจะยังบวมอยู่ แต่ก็รู้สึกดีขึ้นมาก ความเจ็บปวดก็บรรเทาลงค่อนข้างเยอะแล้ว
ชายคนนั้นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและมองไป๋เยี่ยอย่างสงสัย “หืม ไม่เจ็บแล้วแฮะ ขอบคุณมากหมอ”
คนรอบข้างก็ตกตะลึงเช่นกัน
แค่นี้ก็หายแล้วเหรอ
หมอหนุ่มคนนี้เก่งขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย
อันที่จริงการรักษาไม่ได้ยากนัก เพราะชายคนนั้นมีร่างกายค่อนข้างแข็งแรงและอาการไม่ร้ายแรงเท่าไหร่ แค่กระดูกเคลื่อนธรรมดาเท่านั้น เพียงแค่ต้องจัดให้กระดูกกลับสู่ตำแหน่งเดิมเท่านั้น
ไป๋เยี่ยพูดต่อ “เดี๋ยวคุณต้องไปที่แผนกศัลยกรรมกระดูกนะครับ ถึงจะทำกายภาพบำบัดแล้ว แต่ส่วนเส้นเอ็นและเนื้อเยื่อรอบๆ ที่ได้รับบาดเจ็บยังต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมด้วยครับ ทางที่ดีใส่เฝือกไว้สักสองสัปดาห์ งดทำกิจกรรมผาดโผน รอให้ข้อต่อของคุณหายก่อนนะครับ”
เมื่อชายหัวล้านได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ได้เลยหมอ หมอพูดถูกหมด ผมจะฟังหมอ ดีนะไม่ต้องเข้าผ่าตัด ผ่าตัดก็ต้องเสียเงินอีก ทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยจะมีเงินอยู่แล้ว”
“นี่ ในนี้มีใครต้องทำกายภาพบำบัดอีกไหม หมอคนนี้เชื่อถือได้ ให้เขาลองทำดูสิ”
“คุณหมอ เมื่อกี้ที่เสียมารยาท อย่าถือสาผมเลยนะ”