สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - บทที่ 263 ผมจะสมัคร!
บทที่ 263 ผมจะสมัคร!
การประชุมกำหนดให้เจ้าหน้าที่ทุกคนเข้าร่วมการประชุม ทั้งโรงพยาบาลมีคนเกือบสองพันคน และมีเจ้าหน้าที่กว่าหนึ่งพันคน
การประชุมจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมชั้นยี่สิบสามของโรงพยาบาล แต่เพราะมีคนกว่าพันคนในขณะที่ที่นั่งไม่เพียงพอ ทุกคนจึงยืนขึ้นแทน
หลิวป๋อหลี่ยืนบนโพเดียมด้วยสีหน้าจริงจังและเคร่งขรึม หลังจากที่ทุกคนมาถึง เขาก็เอ่ยขึ้น “ผมเชื่อว่าทุกคนทราบข่าวแล้ว เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เมียนมา เบื้องบนจึงแจ้งลงมาให้ทางเราจัดทีมแพทย์ไปที่นั่น”
“ผมจะอธิบายทุกอย่างให้ทุกคนฟังอย่างละเอียด ทีมแพทย์ชุดนี้เป็นอาสาสมัคร ไม่มีการบังคับ จะมีรางวัลให้ผู้เข้าร่วม แผนการจัดเตรียมทีมแพทย์ครั้งนี้จะมีผลเหมือนตอนที่ส่งทีมแพทย์ไปแอฟริกา หลังจากที่ทีมแพทย์กลับมาแล้วจะมีการเลื่อนตำแหน่งให้”
“อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมต้องแจ้งทุกคนก็คือแผ่นดินไหวในเมียนมายังไม่สงบ ยังมีอาฟเตอร์ช็อกเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง ดังนั้นผมหวังว่าทุกคนจะพิจารณาอย่างถี่ถ้วน…”
คำพูดของหลิวป๋อหลี่ทำให้ทุกคนพากันเงียบ การกู้ภัยหลังแผ่นดินไหวไม่ง่ายอย่างที่คิด มีอาฟเตอร์ช็อกเกิดขึ้นตลอดเวลา หากว่ากันตามตรงแล้ว ผู้เสียชีวิตจากแผ่นดินไหวจำนวนมากมักเสียชีวิตจากอาฟเตอร์ช็อกมากกว่า
ยิ่งกว่านั้น ประเทศเมียนมาไม่ใช่ประเทศจีนและไม่ใช่ความเดือดร้อนของตนเอง ทุกคนจึงไม่ค่อยสนใจมากนัก
เลื่อนตำแหน่งเหรอ
จะเลื่อนตำแหน่งได้ก็ต้องอาศัยดวงด้วย ตอนนั้นก็มีการจัดตั้งทีมแพทย์ฉุกเฉินไปที่เมืองถังซาน ทุกคนจำเป็นต้องไปที่นั่นและทุกแผนกต้องเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย
หลังจากที่ทีมแพทย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยออกมาได้แล้ว เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้นทีไร ภายในใจก็ยังคงรู้สึกหวาดผวา จนแม้แต่ตอนนอนก็ยังหลับตาไม่ลง เพราะกลัวว่าจู่ๆ หลังคาจะถล่มลงมา
แผ่นดินไหวไม่ใช่เรื่องตลก ภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นสิ่งที่โหดเหี้ยม และไม่ใช่ว่าทุกคนที่ยื่นมือไปช่วยเหลือจะได้กลับมาเสมอ
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เมืองถังซานมีความรุนแรงน้อยกว่าแปดริกเตอร์ แต่คราวนี้เป็นแผ่นดินไหวที่รุนแรงกว่าแปดริกเตอร์ ประเทศเมียนมาเองก็มีส่วนที่ติดทะเล ถ้าเกิดมีสึนามิด้วยจะไม่ราบเป็นหน้ากลองเลยหรือ
ทุกคนยังคงเงียบ ไม่มีใครพูดถึงเรื่องการเลื่อนตำแหน่งเลยสักคน
ไป๋เยี่ยที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจไปด้วย ทันทีที่เขาได้ยินเกี่ยวกับแผ่นดินไหว เขาก็เกิดความคิดอยากช่วยเหลือผู้คน
นี่คงจะเป็นสัญชาตญาณของหมอใช่ไหม
ไม่ใช่แค่ไป๋เยี่ย หากว่ากันตามตรง ใครจะไม่อยากใช้ความสามารถของตนเองให้สุดพละกำลังกันล่ะ แต่ทุกคนก็มีครอบครัว ถ้าไปคนเดียวแล้วเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา ใครจะช่วยคุณได้
ความจริงของสังคมปัจจุบันคือ ทุกคนย่อมเปลี่ยนตนเองจากคนเลือดร้อนมาเป็นคนที่ประพฤติตนได้อย่างเหมาะสม เล่ห์เหลี่ยมของคนเราไม่ได้หายไปไหน เพียงแค่ถูกล้อมรอบไว้ด้วยวงกลมจนหาเหลี่ยมไม่เจอเท่านั้น
ดังนั้นวันนี้ทุกคนจึงนั่งเงียบ ไม่แสดงความยินยอมทั้งนั้น
ทันใดนั้นก็มีเสียงใสกังวานของใครบางคนโพล่งขึ้นมา “ฉันจะเข้าร่วมทีมแพทย์”
สิ้นเสียงนั้นก็มีอีกเสียงหนึ่งขัด “คุณสมบัติของคุณไม่เพียงพอหรอก นั่งลง!”
ทุกคนมองไปรอบๆ และเห็นหญิงสาวร่างเล็กในชุดคลุมตัวหนา ใบหน้าใต้หมวกผ้ากำมะหยี่ดูไร้เดียงสา แต่ในแววตาของเธอกลับเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณอันเข้มแข็ง
ไป๋เยี่ยหันไปตามเสียง หลีจื่อเหยียนนี่นา
และคนที่บอกให้เธอนั่งลงก็คือรองผู้อำนวยการโรงพยาบาล ‘หลี่หมิง’ นั่นเอง!
สีหน้าของหลี่หมิงเคร่งเครียด “เพิ่งมาทำงานได้ไม่นาน ระดับความเชี่ยวชาญยังไม่ถึงเกณฑ์มาตรฐานเลยด้วยซ้ำ ถ้าไม่ผ่านเกณฑ์ก็เข้าร่วมไม่ได้!”
หลีจื่อเหยียนถอดหมวกและยืนขึ้น “ฉันทำได้ค่ะ ผอ.หลิวบอกว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนเข้าร่วมได้ ทำไมฉันจะทำไม่ได้ล่ะคะ อีกอย่าง ฉันก็สังกัดอยู่แผนกเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลฉันก็เต็มที่ตลอด ฉันผ่านเงื่อนไขเข้าร่วมทีมแพทย์แน่นอนค่ะ”
หลี่หมิงจ้องหลีจื่อเหยียนตาเขม็งแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ ตอนนี้ยังคงอยู่ในการประชุม ทุกคนในโรงพยาบาลมารวมตัวกันที่นี่ จึงมีบางสิ่งที่เขาพูดไม่ได้
แต่เมื่อเขาเห็นว่าลูกสาวของตนคิดจะเข้าร่วม ด้วยสัญชาตญาณความเป็นพ่อย่อมอยากคัดค้านอยู่แล้ว เขาจึงโพล่งออกมาแบบนั้น
ผู้หญิงคนนี้หัวแข็งและยืนกรานจะเป็นหมอตั้งแต่เด็ก เธออยากเรียนแพทย์ก็เรียนไป แต่ทำไมต้องเป็นสาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉินด้วย! มันใช่แผนกที่ผู้หญิงควรอยู่นักหรือ
หลี่หมิงเป็นถึงศัลยแพทย์ เขารู้ดีว่าการเรียนแพทย์นั้นเหนื่อยและยากแค่ไหน
ตอนนี้ผู้คนรอบข้างเริ่มหันไปซุบซิบกัน
“พ่อของหลีจื่อเหยียนคือรองผอ.หลี่หมิง!”
“ไม่น่าแปลกใจ ครั้งนี้มันเสี่ยงไปจริงๆ จื่อเหยียนเพิ่งเรียนจบแถมยังไม่ได้แต่งงานเลยด้วยซ้ำ เธอจะไปที่นั่นไม่ได้!”
“ใช่แล้ว อาฟเตอร์ช็อกยังไม่สงบเลย อันตรายสุดๆ!”
ไป๋เยี่ยที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็สัมผัสได้ว่าเลือดของตนสูบฉีดร้อนแรงไปทั่วทั้งหัวใจ แม้แต่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ยังไม่กลัวเลย เราจะกลัวอะไรกัน
เรามีวิชาแพทย์ฉุกเฉินเลเวลหก ไหนจะมีร่างกายที่ได้รับการเสริมพันธุกรรมมาแล้ว เวลานี้เราต้องได้ออกโรงแล้ว!
ทำไมเราถึงมาเรียนแพทย์ล่ะ
เพราะต้องการรักษาโรคและช่วยชีวิตผู้คนหรือว่าเพื่อเป็นเกียรติแก่บรรพบุรุษกันแน่
ไม่มีทาง!
ตอนนี้มีคนนับแสนกำลังรอการช่วยเหลืออยู่ในซากปรักหักพัง ถ้าไม่ไปตอนนี้ ระบบนี่จะมีประโยชน์อะไร
แต่ถึงยังไงเราก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น วันหนึ่งก็ต้องสิ้นลมลงเหมือนกัน ถ้าเกิดเจอแผ่นดินไหวเราก็คงทำได้แค่วิ่งหนี!
ถ้าเรายังอยู่ เราก็คิดค้นและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น และสร้างประโยชน์ต่อสังคมมากยิ่งขึ้นไปอีก!
ไป๋เยี่ยเงยหน้าขึ้นมองห้องประชุม ระหว่างที่เขาเงียบไปก็พลันนึกถึงตอนที่ได้ปฏิญาณตนกับรุ่นน้องปีหนึ่งที่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซี
ฝากชีวิตไว้แล้วย่อมต้องรับผิดชอบชีวิตนั้น!
ถ้าเราเองยังเป็นตัวอย่างไม่ได้ จะไปมีคุณสมบัติไปสอนคนอื่นได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น จะไปมีคุณสมบัติอะไรไปเป็นหมอ
การแพทย์ไม่มีขอบเขต การช่วยชีวิตก็เช่นกัน!
จู่ๆ ไป๋เยี่ยก็รู้สึกว่าเขาเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ถ้าเขาพลาดครั้งนี้ไป เขาอาจจะเสียใจไปตลอดชีวิต ไม่ว่าเขาจะประสบความสำเร็จแค่ไหนในอนาคต เขาก็ไม่อาจซ่อนความคิดที่แท้จริงไว้ได้
นักเขียนคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่าการเรียนแพทย์ช่วยชาวจีนไม่ได้ จึงเลิกเรียนแพทย์และหันไปเรียนวรรณกรรม ทว่าไป๋เยี่ยคิดว่าตอนนี้ในฐานะที่เขาเป็นแพทย์คนหนึ่ง นี่ถือเป็นความรับผิดชอบของเขาที่จะต้องช่วยชีวิตผู้คน!
ก็จริงที่การเรียนแพทย์ไม่อาจกอบกู้ประเทศจีนได้ แต่การแพทย์ช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในวิกฤตและต้องการรักษาได้
ต่างคนต่างอ้าปากค้างเพราะพูดไม่ออก แม้แต่ผู้อำนวยการหลิวป๋อหลี่ เลขาหูเฟิงอวิ๋นและ และคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่บนเวทีก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน
ไป๋เยี่ยเข้าใจโดยแจ่มแจ้งแล้ว เขาลุกขึ้นพรวดและกล่าวด้วยเสียงดังชัดเจน “ผมอาสาเข้าร่วมทีมแพทย์ครับ!”
ไป๋เยี่ยเข้าใจโดยแจ่มแจ้งแล้ว เขาลุกขึ้นพรวดและกล่าวด้วยเสียงดังชัดเจน “ผมอาสาเข้าร่วมทีมแพทย์ครับ!”
เสียงของเขาดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องโถง!
เสียงของเขาดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องโถง!
ไป๋เยี่ยคือคนที่ทีมแพทย์ต้องการน้อยที่สุด แทบไม่มีเหตุผลที่เขาต้องไปเลยด้วยซ้ำ!
ทุกคนมองไปรอบๆ และพบว่าต้นเสียงมาจากไป๋เยี่ย
เขาคืออนาคตของผู่เจ๋อและอนาคตของการแพทย์จีน กล่าวเช่นนี้คงไม่เกินจริงนัก
ต่างคนต่างอ้าปากค้างเพราะพูดไม่ออก แม้แต่ผู้อำนวยการหลิวป๋อหลี่ เลขาหูเฟิงอวิ๋นและ และคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่บนเวทีก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน
ไป๋เยี่ยคือคนที่ทีมแพทย์ต้องการน้อยที่สุด แทบไม่มีเหตุผลที่เขาต้องไปเลยด้วยซ้ำ!
อนาคตของไป๋เยี่ยสดใสเกินกว่าที่คุณจะจินตนาการได้ เขาไม่ต้องเดินตามลู่ทางนี้เพื่อรับโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งก็ได้ ความสำเร็จของเขามากพอที่จะทำให้เขาได้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงแล้ว
เขาคืออนาคตของผู่เจ๋อและอนาคตของการแพทย์จีน กล่าวเช่นนี้คงไม่เกินจริงนัก
ทว่าไป๋เยี่ยกลับยืนขึ้นและป่าวประกาศว่าจะไป ทำไมเรื่องนี้จะไม่น่าตกใจล่ะ
ทว่าไป๋เยี่ยกลับยืนขึ้นและป่าวประกาศว่าจะไป ทำไมเรื่องนี้จะไม่น่าตกใจล่ะ
อนาคตของไป๋เยี่ยสดใสเกินกว่าที่คุณจะจินตนาการได้ เขาไม่ต้องเดินตามลู่ทางนี้เพื่อรับโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งก็ได้ ความสำเร็จของเขามากพอที่จะทำให้เขาได้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงแล้ว
เพราะอะไรกัน
นอกจากความรับผิดชอบของแพทย์แล้ว ยังมีอะไรที่ผลักดันให้คนหนุ่มผู้มีอนาคตก้าวไกลผู้นี้จะไปที่นั่นได้อีก
แต่ไป๋เยี่ยก็ยังจะไป!
แต่ไป๋เยี่ยก็ยังจะไป!
บัดนี้ทุกคนจึงได้แต่นิ่งเงียบกันไป!
เพราะอะไรกัน
นอกจากความรับผิดชอบของแพทย์แล้ว ยังมีอะไรที่ผลักดันให้คนหนุ่มผู้มีอนาคตก้าวไกลผู้นี้จะไปที่นั่นได้อีก
บัดนี้ทุกคนจึงได้แต่นิ่งเงียบกันไป!