สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - บทที่ 306 กงเกวียนกำเกวียน
บทที่ 306 กงเกวียนกำเกวียน
เมื่อเหล่าหลิวได้ยินไป๋ตงหลินถามคำถามนั้น เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าไป๋ตงหลินต้องมีอะไรในใจแน่ๆ
อันที่จริงเหล่าหลิวเองก็รู้ว่าไป๋ตงหลินเป็นคนดี เขาทำเพื่อคนอื่นเสมอ ทว่าเขากลับไม่มีความเด็ดขาดเลย
หมายความว่าอย่างไร
ไป๋ตงหลินเป็นคนกล้าหาญแต่ไม่เด็ดขาดพอ
แน่นอนว่าคนเราย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย หากไม่ใช่เพราะความซื่อสัตย์ของไป๋ตงหลิน เหล่าหลิวก็คงไม่ให้ความสำคัญกับเขามากขนาดนั้นหรอก
ไป๋ตงหลินหมุนถ้วยชาลายครามในมือ ไม่รู้ว่าภายในใจกำลังคิดสิ่งใดอยู่
เหล่าหลิวอุ่นชาโดยไม่เข้าไปรบกวนความคิดของไป๋ตงหลิน เพราะเรื่องบางเรื่องเขาก็ไม่อาจไปโน้มน้าวได้
“เอ้อ ว่าแต่นายรู้จักโรงพยาบาล 980 ไหม” เหล่าหลิวถามขึ้นในทันใด
ไป๋ตงหลินพยักหน้า เขารู้จักสถานที่นั้นดี เมื่อก่อนมันเคยตั้งอยู่ในเชตชานเมืองปักกิ่ง ซึ่งตอนนี้กลายเป็นเขตอสังหาริมทรัพย์ไปแล้ว ส่วนเรื่องนโยบายของรัฐนั้นเขายังไม่ค่อยรู้มากนัก
เหล่าหลิวกระแอมก่อนจะพูดต่อ “ว่ากันว่าจะมีการวางแผนจัดการที่ดินตรงนั้นใหม่แหละ จะมีการสร้างสวนธารณะขนาดใหญ่ใกล้ๆ โรงพยาบาล 980 แถมแถวนั้นยังมีบ้านพักคนชราด้วย”
ไป๋ตงหลินเข้าใจแล้ว โรงพยาบาล 980 เป็นของกองทัพ ไม่ได้รับการวางแผนจัดการที่ดิน ถ้าหากได้รับการวางแผนแล้ว โรงพยาบาล 980 ก็อาจจะมีค่าขึ้นมาก็ได้
จริงๆ แล้วไป๋ตงหลินก็รู้ว่าเหล่าหลิวเป็นคนดี แต่ถ้าเขาจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับสวีเป่าหมิงจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่พูดยาก เพราะฉะนั้นเหล่าหลิวก็คงจะไม่ยื่นมือมาช่วยเขาง่ายๆ แล้ว
สุดท้ายแล้ว ไป๋ตงหลินก็เอาชนะอุปสรรคตลอดหลายปีมานี้ได้ ความสำเร็จในหน้าที่การงานของเขาย่อมไม่ได้เกิดขึ้นเพราะจังหวะชีวิตเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้น เหล่าหลิวก็เก่งเรื่องการใช้คำพูดให้คนเก็บไปคิด โดยที่เขาจะไม่เข้าไปเร่งเร้าใดๆ
ถ้าตกลงทำก็ดีไป เพราะผมก็ต้องการสิ่งนั้น เราสองคนก็มาช่วยกันทำเงินด้วยกันเถอะ
แต่ถ้าไม่คิดจะทำ ผมก็จะไม่เร่งคุณ ต่างคนต่างทำก็ได้
วิธีการพูดของเหล่าหลิวฟังดูมีระดับ ไม่ทำให้คนรู้สึกอึดอัด อย่างน้อยๆ ก็ยังดีกว่าพวกคนที่เอาแต่พูดลับหลัง
ความหมายของสิ่งที่เหล่าหลิวพูดนั้นชัดเจนมาก ‘ถ้านายตกลง เราก็จะร่วมมือกัน ที่ดินผืนนั้นก็จะเป็นของพวกเรา’
แต่ถ้าคุณไม่มีความคิดนั้นก็ลืมมันไปเสียเถอะ ต่อให้เหล่าหลิวจะร่วมมือกับสวีเป่าหมิง คุณก็จะไปโทษว่าเขาทำตัวคิดไม่ซื่อก็ไม่ได้ อย่างไรเขาก็พูดชัดเจนแล้ว
กาน้ำชาบนโต๊ะเริ่มส่งเสียงเดือดปุดๆ ชาหลงจิ่งเป็นชาที่ห้ามนำไปต้ม จุดสำคัญคือต้องแช่ใบชาไว้ในน้ำ จากนั้นก็เทน้ำเดือดลงไปลวกใบชาในเวลาไม่นานนักเพื่อให้ได้รสชาติที่พอดี
ทันใดนั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออกโดยชายในเสื้อโค้ตสีเหลืองและรองเท้าหนังมันวาวคนหนึ่งเขาหวีผมจัดทรงเป็นระเบียบ บนใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มที่มุมปาก “ฮ่าๆ เหล่าหลิวนี่น้า ไม่มีน้ำใจเอาซะเลย มีที่ดีๆ แบบนี้ทำไมไม่เรียกผมมาด้วยล่ะ หรือว่าจะไม่ได้มอง ‘เหลาสวี่’ คนนี้เป็นเพื่อนแล้ว”
เสียงของชายคนนั้นไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป เหล่าหลิวที่บังเอิญได้ยินเสียงนั้นก็ก้มหน้าลงพลางยิ้มให้ไป๋ตงหลิน “ตายยากจริงๆ เจ้าหมอนี่มีหูมีตาเยอะไปหมดเลยแฮะ”
ไป๋ตงหลินยิ้มแหย
เหล่าหลิวยืนขึ้น “ฮ่าๆ ช่วงนี้ประธานสวี่กำลังยุ่งๆ นี่นา พี่ก็ไม่กล้าไปรบกวนหรอก เกิดไปกระทบเส้นทางทำเงินขึ้นมา มันก็เป็นความผิดของพี่น่ะสิ”
สวีเป่าหมิงไม่ได้ต่อประเด็นนั้นอีก ได้แต่พยักหน้า “เหล่าหลิว พี่คิดว่า…”
สวีเป่าหมิงเพิ่งจะมาถึงที่นี่ เขามาด้วยความคาดหวังว่าจะได้เพื่อนในแวดวงธุรกิจ ตอนนี้เขาจึงพยายามเบียดตนเองเข้ามาในวงการนี้ ซึ่งเหล่าหลิวเองก็รู้จักคนเยอะ สวีเป่าหมิงจึงอยากให้เหล่าหลิวช่วยแนะนำเพื่อนให้สักหน่อย
ทว่าเหล่าหลิวเองก็มีไหวพริบไม่แพ้กัน เขาเอาแต่เลื่อนงานเลี้ยงออกไป ทำให้สุดท้ายสวีเป่าหมิงต้องมาหาเขาด้วยตนเอง
แต่เมื่อสวีเป่าหมิงเงยหน้าขึ้น เขาก็ได้พบกับคนคุ้นเคยคนหนึ่ง!
คนคนนั้นดูคล้ายกับอดีตสหายร่วมรบของเขา เมื่อสวีเป่าหมิงก้าวเข้าไปใกล้ๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าคล้าย เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายดูจะมีมาดเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเล็กน้อย
สวีเป่าหมิงออกจากกองทัพมาได้เกือบสามสิบปีแล้ว ถ้ามีลูก ลูกก็คงใกล้จะมีหลานแล้ว นั่นทำให้สวีเป่าหมิงเกิดลังเลเล็กน้อย
ทันใดนั้นเหล่าหลิวก็หัวเราะออกมา “ทำไมล่ะ จำกันไม่ได้ซะแล้ว”
ไป๋ตงหลินจึงยืนขึ้นพร้อมกับเป็นฝ่ายยื่นมือออกไปก่อน “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
สวีเป่าหมิงขมวดคิ้วแน่น ไม่รู้ว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่ วินาทีนั้นที่เขาได้เห็นไป๋ตงหลิน เขาก็ตกตะลึงอย่างยิ่ง เพราะเขาไม่คิดเลยว่าจะได้เจอสหายเก่าที่นี่
เมื่อเห็นไป๋ตงหลินยื่นมือออกมา สวีเป่าหมิงจึงยื่นมือออกไปจับพลางกล่าว “ตงหลิน…ไม่ได้เจอกันนานเลย”
ไป๋ตงหลินยิ้มโดยไม่พูดอะไรอีก
สวีเป่าหมิงที่แต่เดิมเตรียมคำพูดมามากมาย จู่ๆ ก็เกิดพูดไม่ออก เขาปรับอารมณ์ตนเองก่อนจะเริ่มพูดต่อ “ที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง”
ไป๋ตงหลินยิ้ม “ก็ดี”
ไป๋ตงหลินไม่ชอบพูดจาคุยโวโอ้อวด ทันทีที่เขาพูดจบก็คว้าเสื้อคลุมขึ้นมาแล้วหันไปพูดกับเหล่าหลิว “ผมไปแล้วนะพี่ ไว้ว่างค่อยมาเจอกันใหม่”
หลังจากนั้นทั้งครอบครัวไป๋ก็ลุกขึ้นและเดินออกไปทันที
สวีเป่าหมิงถึงกับอ้าปากค้างราวกับว่าจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าเขากลับลังเล จึงได้แต่มองดูไป๋ตงหลินเดินจากไป
ถึงแม้ว่าไป๋เยี่ยจะกำลังร่วมวงพูดคุยกับแม่ของเขาและคนอื่นๆ แต่เขาก็ตั้งใจฟังบทสนทนาระหว่างเถ้าแก่ไป๋และเหล่าหลิวจนหูผึ่ง
บทสนทนานั้นทำเอาไป๋เยี่ยสงสัย แต่เขาก็พอจะคาดเดาสิ่งที่ทั้งคู่กำลังหมายถึงได้เช่นกัน
ดูเหมือนว่าสวีเป่าหมิงจะเคยมีประเด็นกับพ่อของเขามาก่อน และเขาน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พ่อของเขาลาออกจากกองทัพในปีนั้น
ซึ่งตอนนี้ชายคนนี้ก็ปลดประจำการแล้ว และต้องการรับช่วงต่อโรงพยาบาล 980 นั่นเอง
เมื่อไป๋เยี่ยได้ยินชื่อโรงพยาบาล 980 เขาก็ชะงักไปในทันที ว่าไงนะ เอาเปรียบพ่อไม่พอ ยังจะมีเอาเปรียบเราด้วยงั้นเหรอ
เราเล็งที่นั่นไว้แล้วนะ ไป๋เยี่ยจะไม่มีวันปล่อยที่ดินนั้นหลุดมือแน่ๆ
ดังนั้นเมื่อกลับถึงบ้าน ไป๋เยี่ยก็รีบปรี่ไปหาไป๋ตงหลินทันที “พ่อครับ ผมมีเรื่องอยากคุยด้วย”
เห็นได้ชัดว่าไป๋ตงหลินเองก็คิดเรื่องโรงพยาบาล 980 อยู่ ทันทีที่ได้ยินไป๋เยี่ยเรียก เขาก็ค่อยๆ เผยยิ้มออกมา “มีอะไรเหรอ”
ไป๋เยี่ยตอบ “ผมกำลังวางแผนสร้างสถาบันวิจัยอยู่น่ะ ช่วงนี้ผมไปเลือกสถานที่มา มันเป็นที่ดินของโรงพยาบาล 980 น่ะ เมื่อสองวันก่อนผมเพิ่งจะไปคุยกับผู้รับปิดชอบของโรงพยาบาลมาเอง…”
ไป๋ตงหลินถึงกับเลิกคิ้วเมื่อได้ยินไป๋เยี่ยพูดเรื่องโรงพยาบาล 980 บังเอิญเกินไปแล้ว
เดิมทีไป๋ตงหลินเองก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ อีกทั้งเขาก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก ให้พูดตามตรง ตอนนี้เขาไม่ชอบขี้หน้าใครเลยสักนิด
กรุงปักกิ่งวุ่นวายเกินไป ล้วนมีทั้งคนดีเลวปะปนกันไป ไป๋ตงหลินแค่คิดว่าอีกสองวันตนเองจะต้องเดินทางออกจากที่นี่แล้วทิ้งลูกชายไว้ตัวคนเดียว ก็เริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมา
เขาจึงคิดจะลืมทุกอย่างไปให้หมด
แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะหลีกเลี่ยงมันไม่ได้แล้ว
นี่สินะที่เขาเรียกว่ากงเกวียนกำเกวียน
ทว่าจู่ๆ ไป๋ตงหลินก็นึกถึงบางอย่างได้ โรงพยาบาล 980 งั้นเหรอ มันอยู่ในเขตกองทัพปักกิ่งไม่ใช่เหรอ แถมช่วงนี้ไป๋เยี่ย…ก็สนิทกับเฉินเจิ้นปั่งซะด้วย
ตอนนี้พ่อตาของสวีเป่าหมิงก็เกษียณแล้ว นี่อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่สวีเป่าหมิงปลดประจำการก็ได้
ตอนนี้เขาก็แค่ต้องการหาช่องทางทำเงินเท่านั้นแหละ!