สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - บทที่ 333 คุณเป็นคนแบบไหนกันแน่
บทที่ 333 คุณเป็นคนแบบไหนกันแน่
ถ้าไม่ได้อ่านเนื้อหา นิคสันก็คงคิดว่าหนังสือเล่มนี้กำลังโม้อยู่แน่นอน เพราะศัลยกรรมกระดูกคือแนวคิดที่ไม่เคยมีใครศึกษามาก่อน
ทว่าไป๋เยี่ยกลับสรุปข้อมูลนี้ขึ้นจากเคสผู้บาดเจ็บกว่าหลายพันคนที่เมียนมา เพียงแค่พิจารณาความน่าเชื่อถือของเขา ก็คงเรียกได้ว่านี่เป็นหนังสือที่มีคุณค่าต่อการศึกษาอย่างยิ่ง
สำหรับหนังสือทางการแพทย์แล้ว ไม่ว่าจะใช้วาทศิลป์แบบใดก็ต้องอิงตามความเป็นจริงและต้องบังเกิดประสิทธิผล เพราะว่านี่คือจิตวิญญาณแห่งการแพทย์
ทุกสิ่งที่ไป๋เยี่ยเขียนลงในหนังสือล้วนเป็นเคสจริง เขาวิเคราะห์เคสต่างๆ จากนั้นก็เรียบเรียงความคิดของตนเองและเขียนบทสรุปออกมา
มีการจัดอันดับต่างๆ ซึ่งไป๋เยี่ยเป็นคนทำมันด้วยตนเอง!
นิคสันมีความเข้าใจในระบบโครงกระดูกของมนุษย์ในทุกแง่มุม ทำให้เขาเข้าใจกายวิภาคของมนุษย์เป็นอย่างดี
และเพราะเหตุนี้ เขาจึงเข้าใจในประเด็นต่างๆ ที่ไป๋เยี่ยเขียนอย่างลึกซึ้ง!
ช่างเป็นความรู้สึกที่น่าอัศจรรย์ใจ
นิคสันมีส่วนร่วมในการกู้ภัยมานับไม่ถ้วน แผนกฉุกเฉินของเมโยคลินิกโด่งดังไปทั่วทั้งโลก ถึงขั้นที่ผู้ป่วยบางรายก็เอ่ยปากขอรับการรักษาจากนิคสันด้วยตนเอง
เมื่อเขาเห็นสิ่งที่ไป๋เยี่ยเขียนลงในหนังสือ เขาก็รู้สึกราวกับว่าได้ตื่นรู้ในทันที!
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง!
เส้นประสาทอัตโนมัติจะอยู่แนวขนานไปกับกระดูก ถ้ากระดูกเกิดการแตกหักหรือเคลื่อนตัว เส้นประสาทอัตโนมัติก็จะเสียหายได้ง่าย ทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติและอาจจะหยุดหายใจได้!
ทันใดนั้นนิคสันก็นึกไปถึงเคสผ่าตัดฉุกเฉินเคสนั้น…เมื่อนึกถึงอาการของผู้ป่วย นิคสันก็ถึงกับนิ่งงันไป!
ที่แท้เราก็คือฆาตกร!
ไม่ ไม่ ไม่!
จะโทษตัวเองไม่ได้นะ
นิคสันส่ายหัวไปมา
การแพทย์คือศาสตร์ที่กำลังพัฒนา บางครั้งวินาทีต่อมา คุณอาจจะคัดค้านสิ่งที่เพิ่งได้เรียนรู้ไปเมื่อครู่ก็ได้
นิคสันตระหนักถึงเรื่องนี้ดี แต่ไม่เขาจะปลอบใจตัวเองอย่างไร เขาก็ไม่อาจลบล้างความรู้สึกผิดที่ฝังลึกอยู่ในใจได้
ถ้าเราคิดอะไรแบบนั้นได้บ้าง เราจะช่วยคนพวกนั้นได้หรือเปล่านะ
นิคสันยังคงเปิดอ่านหน้าต่อๆ ไป มีคำศัพท์เฉพาะทางมากมายที่เขาไม่เข้าใจ…
ตอนนี้นิคสันรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปสมัยเรียนมหาวิทยาลัยปีแรก เขาเพิ่งจะย้ายจากสาขาชีววิทยามาเรียนแพทย์และกำลังสับสนงุนงงกับศาสตร์การแพทย์
ตอนนี้เขารู้สึกว่าประสบการณ์ในการเป็นแพทย์ที่สั่งสมมากว่าสามสิบปีนั้นช่างไร้ค่าเหลือเกิน!
ทำไมเราอ่านไม่รู้เรื่องเลย
ที่เขียนอยู่ข้างหลังคืออะไรเนี่ย
อย่างไรก็ตาม ยิ่งเขาไม่เข้าใจมากเท่าใดก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น เพราะว่าสิ่งที่คนเราไม่รู้ย่อมกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นได้เสมอ
นิคสันคิดแล้วก็อดยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นของเขาไว้ไม่ได้
เขาเริ่มค้นหาข้อมูลอย่างจริงจัง…แต่ถึงกระนั้น บนอินเทอร์เน็ตก็ไม่มีเรื่องพวกนี้เลย!
หมายความว่าอย่างไร
นี่คือต้นฉบับ!
ต้นฉบับที่คิดค้นด้วยตนเอง!
นิคสันคิดแล้วก็ปิดหนังสือลงด้วยความสิ้นหวัง เขาคิดว่าเขาคงไม่จำเป็นต้องอ่านมันอีกต่อไป
เพราะว่า…
เพราะเขาไม่เข้าใจ!
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงท้องร้อง เมื่อเขามองที่นาฬิกาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
ตั้งแต่สิบโมงเช้าจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาสิบชั่วโมงแล้ว!
โอ้!
ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงหิว
ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ…
ขณะที่เขากำลังจะลุกออกไปนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น นิคสันหยิบมันขึ้นมาและพบว่าเป็นคาโปนั่นเอง
คาโปถาม “นายอ่านหนังสือเล่มนั้นจบหรือยัง คิดว่ายังไงบ้าง ลองออกความเห็นมาหน่อยสิ”
นิคสันกระแอม เขาต้องเรียบเรียงคำพูดก่อน แต่เขากลับพบว่าตนไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ จึงถามอีกฝ่ายกลับ “เอามุมมองแบบไหนล่ะ หรือว่าจะเอาแบบล้อเล่น”
คาโปไม่สนใจอารมณ์ขันของนิคสัน กลับกันเขาเอาแต่เร่งเร้า “ทุกคำที่นายพูดนั่นแหละ ฉันจะเขียนมันลงในไทม์แมกกาซีน”
นิคสันนิ่งไปครู่หนึ่ง คาโปมักจะชอบนำเรื่องนี้มาขู่เขาเสมอ หลังจากที่เงียบไปนานนิคสันก็เอ่ยปากขึ้นมา “ฉันไม่ควรออกความเห็น”
หา ว่าไงนะ
คาโปคิดว่าตนคงได้ยินผิดไป
หลังจากที่ได้สติคืนมา
คาโปก็ถึงกับอึ้งไป เขาเริ่มอัดเสียงแล้ว แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะตอบเพียงแค่นี้ “นิคสัน นี่ไม่ใช่เวลามาล้อเล่น พรุ่งนี้ฉันต้องเขียนแบบร่างแล้ว”
นิคสันกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันพูดจริงๆ คนเขียนหนังสือเล่มนี้อยู่เหนือฉันมาก คุณค่าของมัน…ฉันประเมินไม่ได้จริงๆ เรียกมันว่าขุมทรัพย์ก็คงไม่เสียหายอะไร!”
“อีกนัยหนึ่งคือ เขาเก่งจนไม่มีทางเลือนหายไปกับประวัติศาสตร์ของวงการศัลยกรรมกระดูก เพราะว่าไป๋เยี่ย…คือคนที่สร้างประวัติศาสตร์!”
คาโปกลืนน้ำลายลงคอ เขาแทบจะปล่อยโทรศัพท์ลงสู่พื้น ความคิดเห็นนี้…
ประเมินค่าไว้สูงมากจริงๆ!
หลังจากวางสายแล้ว นิคสันกลับไม่รู้สึกอยากกลับบ้านเลยแม้แต่น้อย เขาเดินออกจากโรงพยาบาลด้วยความงุนงง ยามแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวก็ต้องถอนหายใจออกมา
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมคนเก่งๆ แบบโมลโดถึงลาออก
เพราะมีปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่คอยชี้แนะอยู่นี่เอง
แม้แต่นิคสันเองก็เริ่มเกิดแรงกระตุ้นภายในใจ เขาอยากไปที่จีนเพื่อขอคำแนะนำจากไป๋เยี่ย
ไป๋เยี่ย…ไป๋เยี่ย
คุณเป็นคนแบบไหนกันแน่!
ว่าแต่…เขากำลังทำอะไรอยู่นะ
บางทีเขาอาจจะกำลังตรวจคนไข้ในวอร์ด ประจำที่เตียงผ่าตัด หรือไม่ก็กำลังทำวิจัยอยู่ในสถาบัน
ณ ที่พักบุคลากรของโรงพยาบาลผู่เจ๋อ กรุงปักกิ่ง
ไป๋หลิง หลีจื่อเหยียนและหูไฉ่อวิ๋นกำลังนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟาอย่างสบายใจ
“เสี่ยวเยี่ย ไปล้างจาน!”
ช่วงที่ผ่านมานี้ หลีจื่อเหยียนมักจะมาที่บ้านของไป๋เยี่ยทุกครั้งที่ว่าง นั่นทำให้ไป๋เยี่ยอดคิดไม่ได้ว่าวอร์ดฉุกเฉินว่างขนาดนั้นเลยเหรอ
ไป๋ตงหลินออกไปกินข้าวข้างนอก เขามักจะทำตัวลึกลับอยู่เสมอ ไม่มีใครรู้ว่าเขามัวแต่ทำอะไรทั้งวัน
ไป๋หลิงพูดขึ้น “พี่หั่นผลไม้เสร็จยัง พวกเราอยากกินแล้ว”
วันนี้ซีรีส์เรื่อง ‘เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่’ กำลังออกอากาศอยู่ ทั้งสามคนจึงเอาแต่นั่งดูซีรีส์ทั้งวัน
หลีจื่อเหยียนเองก็เพลิดเพลินไปกับสองแม่ลูกเช่นกัน ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ทั้งสามคนจึงสนิทกันขึ้นมาก
ส่วนงานบ้านก็ถูกรับช่วงต่อโดยสองพ่อลูกแทน
มีการแบ่งหน้าที่กันชัดเจน โดยเหล่าไป๋มีหน้าที่ทำอาหาร ส่วนเสี่ยวไป๋มีหน้าที่ล้างจาน
แต่ถึงกระนั้นไป๋เยี่ยก็ไม่ได้บ่นอะไร ครอบครัวของเขาตัดสินใจเดินทางกลับไปที่อเมริกาในวันเสาร์หน้า ซึ่งยังเหลือเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์
นั่นทำให้หูไฉ่อวิ๋นและไป๋หลิงรู้สึกเซ็งมาก!
เพราะว่า…
เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ยังฉายไม่จบ
ส่วนสถาบันวิจัยก็ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ไป๋เยี่ยจึงยังว่างอยู่ มีเพียงเรื่องเดียวที่เขาจะต้องคิดนั่นคือการจัดหาบุคลากร
เมื่อบุคลากรพร้อมแล้วถึงจะเริ่มทำงานได้
ไป๋เยี่ยนั่งลงกับทั้งสามคน ซีรีส์ที่กำลังฉายอยู่ถูกขัดจังหวะด้วยโฆษณา หูไฉ่อวิ๋นจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม “จื่อเหยียน ช่วงนี้ว่างเหรอจ๊ะ ไม่ใช่ว่าแผนกฉุกเฉินงานยุ่งมากหรอกเหรอ”
หลีจื่อเหยียนตอบด้วยน้ำเสียงแฝงแววครุ่นคิด “คุณป้าคะ หนูทำเรื่องลาออกโดยไม่รับเงินเดือนไว้แล้วค่ะ”