สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - บทที่ 339 ผมต้องออกโรงแล้ว
บทที่ 339 ผมต้องออกโรงแล้ว
ทันทีที่มอริสได้ยินชื่อของไป๋เยี่ย สีหน้าของเขาก็ซีดเผือด
ทำไมที่ไหนก็มีแต่เขา!
โมนิกาพยักหน้า “หมอไป๋เยี่ยจะมาถึงในเร็วๆ นี้ ทุกคนพักผ่อนก่อนได้เลยค่ะ ฉันสั่งอาหารมาให้ทุกคนแล้ว เรื่องนี้จบลงเมื่อไหร่ฉันจะดูแลพวกคุณเป็นอย่างดี”
โมนิกาพูดจบก็เดินออกจากห้อง คอยถามไถ่ว่าอีกนานไหมกว่าไป๋เยี่ยจะมาถึง
เมื่อมอริสได้ยินชื่อไป๋เยี่ยก็พลันไม่พอใจขึ้นมา เพราะเขาคิดว่าไป๋เยี่ยไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับเขาเลย ที่มาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะกระแสและโชคช่วยเท่านั้น
ไป๋เยี่ยมีอะไรที่สู้เขาได้บ้าง
เพราะฉะนั้นเมื่อเขาได้ยินว่าโมนิกาตั้งความหวังสุดท้ายของเธอไว้ที่ไป๋เยี่ย เขาก็พลันรู้สึกว่าตนเองช่างไร้ค่า
นั่นทำให้เขารู้สึกอึดอัดมาก!
นับตั้งแต่การประชุมครั้งล่าสุด เขาก็ไปค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับไป๋เยี่ยอย่างละเอียด เขาไม่มีแม้กระทั่งใบประกอบวิชาชีพ ย่อมมีปัญหาในแง่การประกอบอาชีพอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย
เขายอมรับว่าไป๋เยี่ยเป็นอัจฉริยะและเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในสาขาสัตววิทยาทดลองและเวชศาสตร์ทวารหนักอย่างมาก แต่ถึงกระนั้นการก้าวไปถึงจุดสูงสุดของสาขาศัลยกรรมกระดูกนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความพยายาม การฝึกฝน ทักษะภาคปฏิบัติและปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย
มอริสจึงอิจฉาและไม่อยากยอมรับว่าชายหนุ่มวัยยี่สิบคนนี้กำลังนำหน้าเขาในสาขาที่ถนัดอยู่
คิดได้ดังนั้น เขาก็รีบเดินตามโมนิกาไปก่อนจะเอ่ยถาม “คุณโมนิกา คุณรู้จักไป๋เยี่ยเหรอครับ”
โมนิกาชะงักไปเล็กน้อย “คุณมอริสหมายความว่าไงคะ”
น้ำเสียงของมอริสแฝงไปด้วยความจริงจัง “ผมคิดว่าผมจะต้องแนะนำไป๋เยี่ยให้คุณรู้จักสักหน่อย”
“ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับไป๋เยี่ยมาอย่างละเอียดแล้วครับ เขาเพิ่งจะอายุยี่สิบห้าปี เป็นนักศึกษาปริญญาโทปีแรกของสาขาแพทย์แผนจีนที่โรงพยาบาลผู่เจ๋อ ความรู้ด้านกระดูกและข้อของเขาแข็งแกร่งขึ้นภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนของการฝึกงานในโรงพยาบาล…คุณเชื่อใจเด็กที่ไม่รู้อะไรเลย แต่ไม่เชื่อใจผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือกว่างั้นเหรอครับ”
โมนิการู้สึกตกใจเล็กน้อยกับสิ่งที่มอริสพูด แต่…ถ้าเธอไม่เชื่อ เธอจะทำอะไรได้บ้างล่ะ
ในเมื่อผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นเอาแต่พร่ำบอกเปอร์เซ็นต์การรักษาสำเร็จของพี่ชายเธอ
เชื่อ
หรือจะไม่เชื่อ
ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ถึงคำชมเชยไป๋เยี่ยจากนิคสัน บางที…มันอาจจะ…
โมนิกาถอนหายใจ “ลองดูเถอะค่ะ!”
ตอนนี้ เธอจะพูดอะไรได้อีกนอกจากบอกให้ลองดู
เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวลงจอดที่สนามบินลอสแอนเจลิสเมื่อเวลาประมาณตีห้า
ไป๋เยี่ยและโมลโดมาถึงลอสแอนเจลิส รถคาดิลแลคที่จอดรอพวกเขามาเนิ่นนานก็ได้เร่งความเร็วมุ่งหน้าสู่ฮอลลีวูดในทันที
ไป๋เยี่ยมองบรรยากาศของเมืองลอสแองเจลิสผ่านหน้าต่างก่อนจะหันไปถามโมลโด
“คุณรู้จักโคบีไหม โคบี ไบรอันต์น่ะ!”
โมลโดสะดุ้งเล็กน้อย เขาไม่คิดเลยว่าจู่ๆ ไป๋เยี่ยจะพูดเรื่องนี้
“รู้จักสิ แต่ผมเคยเจอเขาแค่ครั้งเดียวเอง จริงๆ แล้วผมชอบพาร์กเกอร์มากกว่านะ!”
ไป๋เยี่ยมองออกไปนอกหน้าต่างพลางเอ่ยกับตนเอง “นี่สินะ วิวของลอสแจงเจลิสตอนตีสี่ อ๊ะ! ไม่สิ! นี่มันตีห้าแล้ว”
คนขับรถได้ยินดังนั้นก็รีบบิดพวงมาลัย
ไป๋เยี่ยเพิ่งเคยมาที่ลอสแองเจลิสเป็นครั้งแรก ความประทับใจแรกของเขาต่อสถานที่นี้คือเลเกอร์ส โคบี ไบรอันต์และฮอลลีวูด
ตอนนี้เป็นช่วงของฤดูกาลปกติ น่าเสียดายที่โคบีเลิกเล่นไปแล้ว
เขาไม่คาดคิดเลยว่าจะมีโอกาสเช่นนี้ในการเดินทางมาฮอลลีวูดครั้งแรก
ไม่นานนัก รถคาดิลแลคก็จอดลงโดยมีโมนิกายืนคอยอยู่ด้านนอก
เมื่อเห็นเธอเห็นว่าไป๋เยี่ยและโมลโดมาถึงแล้ว ก็รีบกล่าวทักทายอย่างสุขใจทันที “สวัสดีค่ะ คุณไป๋เยี่ย ขอบคุณมากจริงๆ…”
ไม่ทันให้อีกฝ่ายได้พูดจบ ไป๋เยี่ยก็ชิงถามขึ้นก่อน “คนเจ็บอยู่ที่ไหนครับ”
โมนิกาผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบพาไป๋เยี่ยเข้าไปข้างใน
ไฟด้านนอกสตูดิโอฮอลลีวูดส่องแสงสว่างไสว นักข่าวนับหลายร้อยคนจากสื่อมวลชนนับสิบเจ้าและบรรดาแฟนคลับหลายพันคนต่างมารวมตัวกันที่นี่
คนกลุ่มนี้ไม่ได้สนใจการมาเยือนของไป๋เยี่ยมากนัก แต่นั่นกลับทำให้บรรดาทีมกู้ภัยบังเกิดความอยากรู้อยากเห็น
หนุ่มน้อยคนนี้คือใครกัน
ในที่สุดมอริสก็ได้เห็นไป๋เยี่ยแล้ว ทว่าเมื่อเขาเหลือบไปเห็นโมลโดที่เดิมตามมาติดๆ กลับต้องขมวดคิ้ว
นิคสันเดินตรงเข้าไปทักทาย “สวัสดีครับ คุณไป๋เยี่ย ในที่สุดคุณก็มาแล้ว ผมนิคสันนะครับ!”
ไป๋เยี่ยยังคงถามคำถามเดิม “คนเจ็บอยู่ที่ไหนครับ ผมจะไปดูหน่อย”
นิคสันพยักหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “ได้ครับ ผมจะพาคุณไปเดี๋ยวนี้เลย!”
ไป๋เยี่ยและโมลโดเดินตามนิคสันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและตรงไปที่รถกู้ภัยทันที
คนข้างนอกค่อนข้างแปลกใจเมื่อเห็นว่าไป๋เยี่ยยังอายุแค่ราวๆ ยี่สิบปี พวกเขาจึงพากันพูดคุยกันถึงเรื่องนี้
ทว่าคนเหล่านั้นย่อมไม่มีทางเข้าใจ จึงได้แต่ส่ายหัวไปมาเท่านั้น
ต่างจากมอริส เขารู้ดีว่าคนคนนี้คือไป๋เยี่ย ไม่มีทางที่เด็กอย่างไป๋เยี่ยจะเทียบชั้นกับเขาได้
มอริสมองตามไป๋เยี่ยที่เดินเข้าไปในรถพลันรู้สึกกังวลขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล จะรักษาได้จริงเหรอ
ครั้นความคิดนั้นผุดขึ้นมา มอริสก็รีบส่ายหัวสลัดมันทิ้งไปอย่างรวดเร็ว เป็นไปไม่ได้!
จะเป็นไปได้ไง
เรื่องแบบนี้ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด มอริสคิดแล้วก็ส่ายหัว
หลังจากที่ไป๋เยี่ยเข้ามาในรถแล้ว เขาและโมลโดก็เริ่มตรวจร่างกาย ตอนนี้ครูซไม่ได้ใส่เสื้อผ้ าจึงเห็นได้ชัดว่ากระดูกซี่โครงของเขาหัก!
เกิดการแตกหักบริเวณกระดูกสันอกซึ่งเป็นส่วนที่คอยพยุงกระดูกซี่โครงไว้ และมีกระดูกซี่โครงอีกหลายซี่ที่หัก นี่ไม่ใช่สภาพที่ดีต่อการรักษาและฟื้นตัวเอาเสียเลย
ถึงแม้ว่าสัญญาณชีพจะค่อนข้างคงที่ แต่ตอนนี้ผู้บาดเจ็บกำลังหมดสติอยู่ ซึ่งอาจเกิดจากการเสียเลือดจำนวนมาก
จากนั้นไป๋เยี่ยก็เริ่มตรวจร่างกายทีละขั้นตอน เขาต้องการตรวจสภาพร่างกายของผู้บาดเจ็บให้แน่ใจก่อน
เขาเงยหน้าขึ้นมองนิคสัน “ผมลงมือได้หรือยัง”
นิคสันชะงักไปก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีลังเล “ผมขอถามคุณโมนิกาก่อนนะครับ เรื่องนี้ผมตัดสินใจไม่ได้”
ไป๋เยี่ยพยักหน้า “เร็วๆ นะครับ อาการของผู้บาดเจ็บไม่คงที่เท่าไหร่ ต้องรีบตรวจก่อน จากนั้นถึงค่อยตัดสินใจ”
นิคสันพยักหน้าและกำลังจะเดินออกไปข้างนอก ทว่าเขากลับหยุดลงและหันกลับมาถามไป๋เยี่ยอีกครั้ง “คุณมั่นใจแค่ไหนเหรอครับ”
ไป๋เยี่ยนิ่งไปครู่หนึ่ง “มั่นใจอะไรเหรอครับ”
นิคสันถึงกับชะงักไป นั่นสิ มั่นใจอะไร ตอนนี้จะมีใครมั่นใจบ้างเหรอ
นิคสันส่ายหัวและกำลังจะเดินออกไป ทว่ากลับถูกรั้งไว้ด้วยเสียงของไป๋เยี่ย “ตอนนี้ผมตัดสินอะไรไม่ได้หรอกครับ ผมต้องประเมินอาการของเขาก่อน ส่วนเรื่องความมั่นใจน่ะ…รอผมตรวจเสร็จก็รู้แล้ว”
นิคสันพึมพำ เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินออกไปในทันที
โมนิกาจ้องมองไปที่ประตูรถกู้ภัยด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจ เธอฝากความหวังไว้กับเด็กหนุ่มที่ดูไม่น่าเชื่อถือคนนี้ ทว่าตอนนี้เธอกลับคิดว่าตนคือคนที่ไม่น่าไว้ใจที่สุดมากกว่า เหมือนกับที่มอริสได้พูดไว้
เมื่อเห็นนิคสันเดินออกมา หัวใจของโมนิกาก็เต้นระรัว จะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายกันนะ
คนรอบข้างก็เข้ามามุงดูด้วยความอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
นิคสันถามขึ้น “คุณไป๋เยี่ยต้องการตรวจอาการผู้บาดเจ็บอย่างละเอียด ผมเลยมาถามความยินยอมจากคุณก่อน”
เมื่อโมนิกาได้ฟังคำถามของนิคสัน ในใจของเธอก็เกิดความลังเลว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไรดี
เมื่อเห็นว่าโมนิกาลังเลอยู่นาน นิคสันก็ชิงพูดขึ้นก่อน “แค่ตรวจร่างกายครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่อาจจะต้องมีการทำหัตถการนิดหน่อย ผมเลยมาถามคุณ”
โมนิกาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกำลังจะตอบตกลง ยืดเยื้อต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว