สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - บทที่ 364-2 ใต้ม่านแห่งการแพทย์ (2)
บทที่ 364 ใต้ม่านแห่งการแพทย์ (2)
ปกติแล้วจะไม่มีการระบุเรื่องค่าแรงในกองทุนงานวิจัยในประเทศและเงินทุนสำหรับโครงการ บางครั้งคุณอาจจะระบุค่าแรงในโครงการที่มีเงินทุนห้าหมื่นหยวนแค่สามถึงห้าพันหยวนก็พอแล้ว
แต่ไป๋เยี่ยกลับไม่ทำเช่นนั้น นอกจากกองทุนงานวิจัยพื้นฐานแล้ว ไป๋เยี่ยยังจ่ายค่าแรงด้วย!
ถ้าโครงการมูลค่าห้าหมื่นหยวนผ่านการอนุมัติ ก็จะได้รับโบนัสราวๆ สองหมื่นถึงสามหมื่นหยวน ซึ่งนับเป็นค่าแรงได้
สิ่งนี้จะเพิ่มความกระตือรือร้นของทุกคนได้อย่างไม่ต้องสงสัย
อันที่จริงแล้ว โครงการมูลค่าห้าหมื่นหยวนในประเทศจีนนั้นก็ไม่ได้น้อย แต่ในหลายๆ ครั้งจะมีคนทำโครงการเหล่านี้จริงๆ หรือไม่ก็ไม่แน่นอน เพราะว่าโรงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าหลายล้านนั้นก็ล้วนเกิดขึ้นเพื่อหาข้อสรุปในการแก้ไขปัญหา
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน!
แล้วเงินไปไหนล่ะ
ถ้าอย่างนั้นจะยกตัวอย่างให้ดู
หากมีโครงการหนึ่งมีเงินทุนจำนวนหนึ่งแสนหยวน เช่นนั้นคุณอาจจะต้องบันทึกขั้นตอนการทดลองและจำเป็นต้องซื้อกล้อง ถ้าต้องการประมวลผลข้อมูลก็ต้องซื้อโน้ตบุ๊ก และบางทีคุณอาจจะเลือกซื้อเกมมิ่งโน้ตบุ๊กด้วยซ้ำ!
แม้แต่ค่าเดินทางเองก็ยังขอเบิกคืนได้ ตราบใดที่มีใบแจ้งหนี้และนำไปรายงานเป็นค่าใช้จ่ายในที่ประชุมได้…
สุดท้ายแล้ว คุณก็ต้องซื้อสิ่งของฟุ่มเฟือยเหล่านี้เพื่อทำการทดลองไม่ใช่หรือ อาจจะต้องซื้อก็ได้นี่ ใครจะไปรู้
เมื่อการทดลองสิ้นสุดลง ก็ไม่รู้ว่าทั้งกล้อง โทรศัพท์และโน้ตบุ๊กหายไปไหนแล้ว
แน่นอนว่าอาจมีคนประเภทนี้อยู่น้อย แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงปัญหาได้เช่นกัน พวกเขาอาจจะโอนเงินทุนทำวิจัยไปเก็บไว้ที่อื่นก็ได้
ทว่าไป๋เยี่ยได้เปิดเผยค่าแรงทั้งหมดแล้ว ส่วนอุปกรณ์การทดลองก็ถูกจัดเตรียมไว้ให้พร้อมแล้ว คุณมีหน้าที่แค่นำทีมของคุณไปทำการทดลองเท่านั้น
ในความเป็นจริงแล้ว ศาสตราจารย์ทุกคนก็คือทีมเดียวกัน ส่วนนักศึกษาปริญญาเอกและปริญญาโทที่อยู่ในสังกัดก็คือลูกทีมของพวกเขา
ดังนั้นหลายๆ คนจึงเรียกหัวหน้าทีมว่าเจ้านาย ไม่ใช่อาจารย์
ซึ่งนั่นก็แสดงให้เห็นถึงปัญหาอย่างหนึ่ง
อย่าได้คิดว่าผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ไม่ขัดสนเรื่องเงินทอง เพราะความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ไม่มีใครในปักกิ่งกล้าพูดว่าตนเองไม่มีปัญหาเรื่องเงิน
ผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์จำนวนมากได้รับเงินเดือนจากมหาวิทยาลัย ทั้งยังมีส่วนจากในโครงการเป็นบางครั้ง บางคนอาจจะได้รับรายได้เพิ่มเติมจากโรงพยาบาลซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เยอะนัก
ไป๋เยี่ยไม่ได้เร่งเร้าทุกคนแต่อย่างใด กลับกัน เขากลับหันไปพูดกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ทุกท่านไม่ต้องรีบตอบตกลงหรือปฏิเสธนะครับ กลับไปค่อยลองพิจารณาดูให้ดีก่อนก็ได้”
ทุกคนพยักหน้า ถึงแม้ว่าแนวคิดของไป๋เยี่ยจะน่าสนใจมาก แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้คนอื่นๆ ตอบตกลงได้ในทันที เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก พวกเขาเองก็อายุปูนนี้แล้ว จะทำอะไรก็ต้องคิดให้ดีก่อน ซึ่งคำพูดของไป๋เยี่ยก็ช่วยเปิดทางให้พวกเขาได้พอดี
สามวันหลังจากกลับมา เกาเย่ว์หยางและคณะบริหารกำลังหารือบางอย่างกันอยู่
นั่นคือการกำหนดให้สถาบันวิจัยกระดูกของไป๋เยี่ยเป็นสถานีวิจัยของนักศึกษาปริญญาเอก
เรื่องนี้แตกต่างจากเรื่องที่ไป๋เยี่ยเข้ามาเป็นอาจารย์โดยสิ้นเชิง เพราะว่าสถานีวิจัยของนักศึกษาปริญญาเอกอยู่ในระดับสูง และต้องรับผิดชอบโครงการใหญ่ๆ ของมหาวิทยาลัยยูเนียน ถือเป็นประเด็นที่เพิ่งมีการพูดถึงกันเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งนับเป็นการร่วมมือกันในเชิงลึกอย่างหนึ่ง
นั่นคือความร่วมมือที่เกิดขึ้นจากคณาจารย์ งานวิจัยและความสามารถล้ำสมัยของยูเนียนกับสถาบันวิจัยกระดูกของไป๋เยี่ยในการร่วมกันบ่มเพาะนักศึกษาปริญญาเอก
หลักสูตรปริญญาเอกและหลักสูตรปริญญาโทแตกต่างกันมาก จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหลายมหาวิทยาลัยถึงยังไม่มีหลักสูตรปริญญาเอก
ยิ่งไปกว่านั้น จุดประสงค์หลักที่แท้จริงของเรื่องนี้คือการเปิดช่องทางสำหรับความร่วมมือระหว่างอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณวุฒิระดับปริญญาเอกจากยูเนียนกับนักศึกษาระดับปริญญาโทจากสถาบันวิจัยของไป๋เยี่ย
อย่างไรเสียเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลจำนวนมากก็ไม่ได้รับอนุญาตให้มีงานหลายงาน อีกทั้งเมื่อพวกเขามาถึงจุดนี้แล้ว พวกเขาก็คงไม่อยากทำลายชื่อเสียงของตนเองนัก
แต่หลังจากที่หลายคนได้เยี่ยมชมสถาบันวิจัยกระดูกของไป๋เยี่ยแล้วก็ต่างตกตะลึง เพราะว่าเงินเดือนและผลประโยชน์อื่นๆ ที่ไป๋เยี่ยเสนอมาทำให้พวกเขาปฏิเสธได้ยากยิ่ง!
หลังจากที่ทุกคนกลับมาก็ได้ใช้ความคิดอยู่นาน จนกระทั่งเที่ยงวันถึงได้แนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว
โดยจะอนุมัติให้สถาบันวิจัยของไป๋เยี่ยเป็นสถานที่ฝึกอบรมนักศึกษาระดับปริญญาเอก!
ถ้าไป๋เยี่ยได้รู้ข่าวนี้ เขาคงจะหัวเราะทั้งน้ำตาแน่นอน
มหาวิทยาลัยหลายแห่งกำลังดิ้นรนกับการเปิดหลักสูตรปริญญาโทและปริญญาเอก แต่ไม่ว่าจะเตรียมตัวมากี่ปีก็ยังไม่ผ่าน ด้วยเหตุนี้เอง ไป๋เยี่ยจึงก่อตั้งสถาบันวิจัยขึ้น แต่ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะกลายเป็นสถานที่บ่มเพาะนักศึกษา
เกาเย่ว์หยางมองทุกคนด้วยสีหน้าอึดอัด “ทุกคนคิดว่าไงบ้างครับ”
รองผู้อำนวยการเจิงซินกว๋อกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ผอ.ครับ ทุกคนได้เห็นอุปกรณ์ บุคลากรและศักยภาพของสถาบันวิจัยกระดูกด้วยตาตนเองแล้ว ทั้งมาตรฐานด้านการทำวิจัยและศักยภาพนั้นล้วนเหมาะสำหรับการใช้เป็นสถานที่อบรมนักศึกษาปริญญาเอกอย่างยิ่ง”
รองผู้อำนวยการอีกคนพยักหน้า “ถูกต้อง! ผอ.เกา บุคลากรพิเศษก็ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ สถาบันที่พิเศษก็ต้องได้รับการจัดการแบบพิเศษเช่นกัน คุณจะใช้ชุดความคิดเดิมๆ ไม่ได้นะ ต้องทราบก่อนว่าตอนนี้ในประเทศเรามีสถาบันกระดูกและข้อที่มีเงินทุนเป็นพันล้านหยวนอยู่ไม่เยอะนัก พวกเรามีทั้งโอกาสและคุณสมบัติแบบนี้ก็ต้องรีบคว้ามันไว้และใช้ประโยชน์จากมัน!”
ศาสตราจารย์อาวุโสคนหนึ่งพยักหน้า “ใช่แล้ว ผอ.เกา เรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์แก่ๆ แบบพวกเรา จะมีใครบ้างที่ไม่อยากให้ลูกศิษย์ของตนเองได้รับโอกาสและการพัฒนาล่ะ สถาบันวิจัยของไป๋เยี่ยมอบโอกาสนั้นให้กับพวกเขาได้ นับเป็นเรื่องที่ดีสำหรับนักศึกษา!”
“ยิ่งกว่านั้นมันยังดีต่อประเทศด้วย! สำนักงานปริญญาแห่งชาติกำลังมองหาฐานการฝึกอบรมบุคลากรที่เหมาะสม ที่นี่ก็เป็นฐานได้ไม่ใช่เหรอ ผมคิดว่าเราควรจะเสนอมันให้สำนักงานลองไปพิจารณานะ”
“เห็นด้วย!”
“เห็นด้วย!”
ไป๋เยี่ยไม่คิดเลยว่าสถาบันของเขาจะถูกผู้คนจดจำ!
ชายสูงอายุกลุ่มหนึ่งต้องการทำให้สถาบันวิจัยของเขายิ่งใหญ่และแข็งแกร่งขึ้น!
นับว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้ายแต่อย่างใด!
ทว่าไป๋เยี่ยเองก็ไม่ได้อยู่เฉย เพราะว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน นักวิจัยในสถาบันเพิ่งค้นพบสิ่งแปลกๆ ในแล็บ
ตอนที่พวกเขากำลังศึกษาครีมรักษารอยฟกช้ำของตระกูลเหล่าเหอ พวกเขาก็บังเอิญค้นพบสารที่ช่วยเร่งการสร้างกระดูกได้
อย่างไรก็ตาม การแยกสารเหล่านี้ก็เป็นเรื่องยาก หรือในอีกแง่หนึ่งก็คือสารดังกล่าวมีสารประกอบมากเกินไป ทำให้การจะวิจัยและสกัดมันออกมานั้นเป็นไปได้ยาก ไป๋เยี่ยจึงต้องกลับไปที่ห้องแล็บเล็กๆ มืดๆ ของเขา
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ไป๋เยี่ยไม่ได้สนใจเรื่องนักวิชาการฉางเจียงเลยสักนิด เขามัวแต่จมปลักอยู่กับการสกัดและแยกสารจนถอนตัวเองไม่ขึ้น