สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - บทที่ 398 สวัสดีครับ หัวหน้าไป๋
บทที่ 398 สวัสดีครับ หัวหน้าไป๋
การสอบปฏิบัติมีทั้งหมดสามช่วง ช่วงแรกเป็นการสอบข้อเขียนหัวข้ออายุรศาสตร์จำนวนสองข้อ ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ซึ่งไป๋เยี่ยก็มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหามาก ทักษะด้านการแพทย์แผนจีนของเขาแทบจะเกินหน้าผู้เชี่ยวชาญไปแล้วด้วยซ้ำ การสอบขั้นพื้นฐานนี้จึงไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับเขา
นอกจากนี้ หลังจากที่ไป๋เยี่ยติดตามหลิวป๋อหลี่ไปราวน์วอร์ดอยู่บ่อยครั้ง เขาก็เริ่มเข้าใจถึงความแตกต่างของกลุ่มอาการและแนวคิดการรักษาตามแบบแพทย์แผนจีน จากความรู้พื้นฐานก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นแนวคิด
สุดท้ายแล้วการแพทย์ก็เป็นศาสตร์ที่เน้นการปฏิบัติ ต่อให้คุณจะมีความรู้และทฤษฎีแน่นแค่ไหน แต่ถ้าคุณไม่มีทักษะภาคปฏิบัติเลย มันก็ไม่มีความหมายแต่อย่างใด
หลังจากช่วงแรกผ่านไปแล้ว อีกสองช่วงก็จะเป็นการสอบปฏิบัติ ทางโรงพยาบาลเตรียมห้องสอบไว้ทั้งหมดสามห้อง ซึ่งทุกคนจะมีเวลาสอบประมาณสิบนาทีเท่านั้น เท่ากับว่าจะมีนักศึกษาเข้าไปสอบครั้งละสามคน
ส่วนนักศึกษาคนอื่นๆ ก็ต้องรออยู่ในห้อง
และเพื่อเป็นการป้องกันการทุจริต นักศึกษาจะถูกยึดโทรศัพท์มือถือและสิ่งของต่างๆ เมื่อเข้าห้องสอบ
กลุ่มคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นเริ่มเบื่อหน่ายจึงหันไปพูดคุยกันอย่างสบายๆ บ้างก็เอาแต่นั่งคิดเรื่องขั้นตอนการสอบ
ความทรมานครั้งยิ่งใหญ่กำลังรออยู่ข้างหน้า ยิ่งรอนานก็ยิ่งร้อนรน เมื่อเข้าห้องสอบไปคุณก็อาจจะลืมทุกอย่างที่เตรียมมาไปเลยก็ได้
ไป๋เยี่ยและหยางเผิงเหว่ยเดินเข้ามาด้วยกันและพบว่าในห้องมีคนมากมาย ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิงทั้งนั้น คงต้องบอกว่าข้อดีอย่างหนึ่งของการเรียนแพทย์คือหาแฟนง่าย…
โดยทั่วไปแล้วอัตราส่วนนักศึกษาแพทย์ชายต่อหญิงจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งต่อสอง ยกเว้นแผนกศัลยกรรมที่ส่วนใหญ่จะมีแต่ผู้หญิง ภาพกลุ่มนักศึกษาแพทย์หญิงในเสื้อกาวน์สีขาวช่างดูสบายตาจริงๆ!
ตัดภาพมาที่ไป๋เยี่ย เขารู้สึกว่าเสื้อกาวน์ของตนเองดูน่าเกลียดมากเสียจนอยากจะจับรางวัลได้เป็นเสื้อกาวน์ตัวใหม่ มันจะต้องสวยมากแน่ๆ!
เทียบกับนักศึกษาคนอื่นๆ ที่มาสอบที่ผู่เจ๋อแล้ว ไป๋เยี่ยก็เปรียบเสมือนเจ้าถิ่น เขาคุ้นเคยกับที่นี่มากจริงๆ
แต่เมื่อทุกคนเห็นไป๋เยี่ย พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าเจ้าถิ่นคืออะไร!
ทันทีที่กรรมการคุมสอบเห็นไป๋เยี่ย เขาก็รีบเดินเข้ามาพร้อมกับขวดน้ำแร่ที่ยังไม่ได้เปิดก่อนจะเอ่ยทักทายอย่างกระตือรือร้น “หัวหน้าไป๋มาคุมสอบเหรอครับ”
ไป๋เยี่ยชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะโบกมือไปมา “แค่กๆ ไม่ใช่ครับ ผมมาสอบใบอนุญาต”
ชายคนนั้นได้ฟังก็ตบปากตนเอง “ไอ้หยา ความจำไม่ดีเลยเราเนี่ย เกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้วเชียว ฮ่าๆ งั้นคุณก็นั่งพักเถอะ ผมไม่รบกวนคุณแล้ว”
ไป๋เยี่ยพึมพำ เขาส่งยิ้มและกล่าวทักทายอีกฝ่ายก่อนจะเดินต่อไป
แต่ทันทีที่ชายคนนั้นเดินออกไป ก็มีอีกคนเข้ามา
“หัวหน้า? คุณจริงด้วย! คุณก็มาสอบเหรอคะ” หญิงสาววัยสามสิบปีคนหนึ่งมองไป๋เยี่ยด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นพร้อมกับก้าวเข้ามาทักทาย
ไป๋เยี่ยจึงหันกลับไปแล้วพบว่าเธอคือเจ้าหน้าที่จากกองบรรณาธิการนั่นเอง “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ”
ผู้หญิงคนนั้นยิ้ม “มาจัดสอบไงคะ กลัวว่าจะว่างเกินไปก็เลยมาช่วยซะหน่อย”
ไป๋เยี่ยตอบกลับ “พวกคุณจัดการธุระไปเถอะครับ ไม่ต้องห่วงผม”
หญิงสาวคนนั้นพยักหน้าแล้วจากไปทันที
ทว่าตอนนี้ผู้คนรอบข้างต่างพากันตกตะลึง!
ทุกคนพากันส่งเสียงกระซิบกระซาบ “เขาคือใคร ทำไมดูเก่งจัง ใครๆ ก็รู้จักเขา”
หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา “นั่นสิ เมื่อกี้ได้ยินไหม มีคนเรียกเขาว่าหัวหน้าทั้งที่เขาเป็นคนมาสอบด้วย”
“เขาน่าจะมาจากผู่เจ๋อแหละมั้ง…”
หญิงสาวอีกคนหนึ่งแทรกขึ้นมา “นี่พวกเธอไม่รู้จักเขาเหรอ เขาคือไป๋เยี่ยไง!”
สาวๆ รอบๆ ได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตากว้าง “เขาคือไป๋เยี่ยจริงเหรอ”
ชื่อของไป๋เยี่ยนั้นโด่งดังในหมู่นักศึกษายิ่งกว่าปรมาจารย์ด้านการแพทย์แผนจีนเสียอีก เพราะว่าเขาประสบความสำเร็จมากมายตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อนร่วมรุ่นถึงได้พากันชื่นชม
ไม่เพียงเท่านั้น ตอนที่คนอื่นๆ โม้ว่าเพื่อนร่วมชั้นของเขาเก่งแค่ไหน นักศึกษาแพทย์พวกนี้ก็จะสวนกลับอย่างเย็นชาว่า “เพื่อนฉันชื่อไป๋เยี่ย”
ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูเกินจริงและน่าขันไปหน่อย แต่มันก็ค่อนข้างมีเหตุผล
หยางเผิงเหว่ยเดาะลิ้น “ไป๋เยี่ย เยี่ยจื่อ พี่เยี่ย! นายนี่มันสุดยอดจริงๆ! เมื่อไหร่นายจะมาช่วยเพื่อนๆ ที่น่าสงสารของนายบ้าง”
ไป๋เยี่ยหัวเราะเบาๆ “ให้ตายสิ”
หยางเผิงเหว่ยยิ้มแห้ง “นี่พี่เยี่ย นายนี่มันทั้งหล่อทั้งประสบความสำเร็จ ไหงเป็นแบบนี้ล่ะ”
เมื่อผู้คนรอบๆ เห็นไป๋เยี่ยเดินมาก็พากันลอบมองอย่างสงสัย อยากรู้จริงๆ ว่าคนเก่งระดับตำนานแบบเขาจะมีอะไรแตกต่างจากคนอื่นๆ บ้าง
แต่เมื่อมองดูดีๆ นอกจากความหล่อแล้วก็ดูไม่มีอะไรแตกต่างเลย
เหอเสี่ยวหมิงดูจะเงียบกว่าหยางเผิงเหว่ยมาก
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อิจฉาไป๋เยี่ยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีความคิดอยากเอาชนะแล้ว เพียงแค่ตอนนี้เขาคิดได้มากขึ้น และมองไป๋เยี่ยเป็นเป้าหมายและแนวทางในการดำเนินชีวิตมากกว่า
หยางเผิงเหว่ยเรียนสาขาศัลยกรรมกระดูก เขาชื่นชมไป๋เยี่ยมากกว่าที่ปรึกษาของเขาอย่างหลี่เจี้ยนเหว่ยเสียอีก ทุกครั้งที่เขาไปช่วยหลิวเสี่ยวกังผ่าตัด อีกฝ่ายก็มักจะมีคำพูดว่า “เผิงเหว่ยดูดีๆ นะ วิธีการผ่าตัดแบบนี้น่ะ ถ้าไป๋เยี่ยเป็นคนทำล่ะก็…”
หยางเผิงเหว่ยจึงกลายเป็นแฟนตัวยงของไป๋เยี่ยโดยไม่รู้ตัว
ในหอพักมีทั้งหมดสี่คน มีแค่หยางเฉาที่ไม่ต้องสอบ เขามีอายุมากกว่าพวกไป๋เยี่ยหลายปีจึงผ่านการสอบใบอนุญาตมาแล้ว
คนอื่นๆ เริ่มทยอยเข้าห้องไปทีละคน จนกระทั่งผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็ถึงคิวของไป๋เยี่ยแล้ว
เมื่อได้ยินคนเรียกชื่อ ไป๋เยี่ยก็รีบลุกเดินไปยังห้องสอบ
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป ไป๋เยี่ยก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแล้วก็ต้องตกใจ!
เพราะ…
กรรมการคุมสอบไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นซ่งเจี่ยนั่นเอง และยังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ไป๋เยี่ยไม่รู้จักด้วย
ไป๋เยี่ยยกยิ้มสุภาพนอบน้อม “สวัสดีครับอาจารย์ ผมไป๋เยี่ย”
ซ่งเจี๋ยเห็นไป๋เยี่ยก็เกือบหลุดหัวเราะออกมา แต่เพราะวันนี้เขาอยู่ในฐานะกรรมการคุมสอบ จึงไม่สะดวกที่จะพูดอะไรมากนัก หญิงสาวข้างๆ จึงเอ่ยขึ้นเบาๆ “โอเค มาเริ่มสอบกันดีกว่า”
ไป๋เยี่ยพยักหน้าพร้อมกับก้าวไปหยิบกระดาษข้างหน้ามา
บนกระดาษมีข้อสอบทั้งหมดสามหัวข้อ
‘การตรวจหัวใจโดยการเคาะ’
‘การล้างแผล’
‘การสวมชุดผ่าตัด’
คำถามเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับไป๋เยี่ยเลย ทันทีที่เขาอ่านคำถามจบก็วางกระดาษลงบนโต๊ะแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ผมเริ่มเลยได้ไหมครับ”
หญิงสาวคนนั้นเห็นว่าซ่งเจี๋ยยังคงเงียบจึงเป็นฝ่ายพูดแทน “เริ่มได้เลยค่ะ”