หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 10 อลหม่าน (7)
ในห้องประชุม นักบวชส่วนใหญ่ใกล้จะนั่งกันครบแล้ว ฉันเงยหน้าขึ้นมองหาคาร์ล แม้จะเรียกว่าเขาคือผู้เข้าคัดเลือกผู้อาวุโส แต่ที่แห่งนี้ตอนนี้จัดตำแหน่งที่นั่งตามลำดับสูงต่ำในวิหาร ดังนั้นที่นั่งของคาร์ลผู้เป็นนักบวชทั่วไปจึงตั้งอยู่ในจุดที่ห่างกับฉันมากที่สุด
ความจริงที่ว่าเขาอยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลจนถึงกับที่พอเงยหน้าขึ้นแล้วต้องมองหาจนทั่วจึงจะมองเห็นทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจโดยไม่รู้ตัว ขณะมองคาร์ล ฉันก็หันไปเห็นเลออนที่เข้ามานั่งสังเกตการณ์อยู่ตรงจุดที่ไกลกว่านั้น ราวกับตระหนักได้ว่าฉันกำลังมองอยู่ เขาถึงยกมือขึ้นมาโบกให้เล็กน้อย
“ชิ”
ท่าทางของเลออนทำให้เสียงเดาะลิ้นสั้นๆ ดังขึ้นด้านข้างฉัน พอหันไปดูก็เห็นราธบันกำลังจ้องเลออนเขม็งด้วยใบหน้าที่อัดแน่นไปด้วยความไม่พอใจ
‘โชคดีที่แอสรันไม่อยู่ที่นี่’
ก่อนเข้ามาในห้องประชุม แอสรันที่อยู่ด้านหลังฉันจนถึงตอนที่คาร์ลเข้ามาทักทายไม่ได้อยู่ที่นี่ตอนนี้ เมื่อเห็นสายตาของฉันที่ราวกับถามว่ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ เขาก็หลบหลีกสายตาของเหล่านักบวช และกระซิบกับฉันด้วยท่าทางอารมณ์ไม่ดี
“ข้าจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะลบรอยนั้นออกไป จะพยายามไม่ทำอะไรให้เกิดเรื่องที่ทำให้เจ้าลำบาก”
หลังจากพูดแบบนั้น แอสรันก็จ้องคาร์ลอีกครั้งก่อนจะผ่านเลยเขาไป เขากลับไปอย่างรวดเร็วจนฉันถึงกับสงสัยว่าเขามาทำไม แต่เมื่อเห็นภาพด้านหลังของแอสรันที่ไกลออกไปก็พลันเกิดความรู้สึกเชื่อมั่นขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
ฉันเอ่ยทักทายคาร์ลสั้นๆ จากนั้นก็เดินออกไปโดยไม่หันไปมองเขาอีก แม้คาร์ลจะพยายามจับและชวนคุยอะไรบางอย่างขณะที่เฉียดผ่านเขา แต่ฉันก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นและเดินผ่านเขาไป อันที่จริงในหัวของฉันเต็มไปด้วยความคิดที่ว่าทำไมราธบัน เลออนและแอสรันถึงได้มาอยู่ที่นี่ด้วยกันมากกว่าเรื่องของคาร์ลเสียอีก
ทันทีที่เห็นฉันเดินผ่านคาร์ลไปแบบนั้น เหล่านักบวชก็มองฉันสลับไปคาร์ลไปมาก่อนจะกระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง ราธบันก้าวมาเดินอยู่เคียงข้างฉันท่ามกลางความอึกทึกครึมโครมนั่น และถึงแม้ว่าตอนนี้จะมานั่งอยู่ในห้องประชุมแล้วแต่เขาก็ยังคงยืนอยู่ด้านข้าง
เนื้อหาในหนังสือที่ฉันเคยอ่านลอยเข้ามาในหัวเมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของเขา เพราะเวลาผ่านมานานจึงทำให้เนื้อหาเริ่มเลือนราง แต่ฉันก็ยังจำฉากที่ราธบัน เลออนและแอสรันร่วมมือร่วมใจและไม่ทะเลาะกันเป็นครั้งแรกได้ ตอนนั้นเอง เสียงที่คล้ายกับเสียงบ่นดังออกมาจากปากฉัน
“อีริส…”
ครั้งแรกที่ชายทั้งสามไม่ทะเลาะและร่วมมือกันคือต่อหน้าอีริส
“อีริส? เป็นชื่อที่เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก นักบวชของวิหารหลวงหรือขอรับ?”
คงเพราะได้ยินเสียงพึมพำของฉัน ราธบันที่ยืนอยู่ด้านข้างจึงเอ่ยถามขึ้น การที่ชื่อของอีริสถูกเอ่ยออกมาจากปากของราธบันโดยไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ทำให้ฉันย้อนนึกถึงภาพฉากในหนังสือที่เลือนราง
ส่วนสุดท้ายของเล่มสองที่ฉันอ่าน ราธบันสารภาพกับอีริสอย่างร้อนแรง และหลังจากนางได้รับการยอมรับเป็นนักบุญหญิง เขาก็เอ่ยเรียกชื่อของอีริสเป็นครั้งแรก อัศวินผู้ปกป้องนักบุญหญิง สำหรับเขา นักบุญหญิงไม่ต่างไปจากพระเจ้า เป็นคนที่เขาต้องยกย่องและให้การเคารพอยู่เสมอ เขาเป็นการดำรงอยู่ที่ไม่ควรมีอารมณ์ใดๆ แบบมนุษย์และไม่บังอาจมีอารมณ์แบบนั้นได้
‘แต่เขากลับคิดแบบนั้นกับอีริสไม่ได้’
ดังนั้นเขาถึงได้คุกเข่าต่อหน้าอีริสและเอ่ยเรียกชื่อนาง อีริสเพียงแค่รู้สึกแปลกใจและระบายยิ้มอึดอัดที่เขาเรียกชื่อตนเท่านั้น ไม่ได้รู้ว่านั่นมีความหมายยิ่งใหญ่แค่ไหนสำหรับราธบัน
เมื่อเห็นเขาเอ่ยเรียกชื่อของอีริสที่ควรจะเรียกด้วยความเร่าร้อนและอัดแน่นไปด้วยอารมณ์ทั้งหมดของตนอย่างไม่ใส่ใจด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ฉันก็พลันรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา ถ้าตอนนี้ฉันพูดไปว่าสักวันหนึ่งชื่อนั้นจะกลายเป็นชื่อของคนที่เจ้าต้องเชื่อฟังคนใหม่ เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกัน?
คิดแบบนั้นอยู่ชั่วครู่ ฉันก็หลุดยิ้มขมขื่น มันก็เป็นได้เพียงความเอาแต่ใจตื้นเขินของฉันที่อยากลองทดสอบเขาเท่านั้น ฉันตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของเขาแล้ว เขามีความชอบพอให้ฉันซึ่งไม่มีทางเกิดขึ้นได้หากเป็นไปในทิศทางเดิม และฉันต้องการยืนยันว่าขนาดของความรู้สึกที่เขามีจะสามารถบิดเส้นทางเรื่องได้หรือไม่
“ไม่มีอะไร ยืนอยู่แบบนั้นต่อไปจะเมื่อยนะ นั่งหน่อยดีหรือไม่?”
“ไม่เป็นไรขอรับ หากแค่ยืนยังทำไม่ได้ ก็คงเรียกว่าเป็นหน่วยอัศวินแห่งวิหารไม่ได้ขอรับ”
นักบวชระดับสูงที่อยู่แถวนั้นคนหนึ่งหันไปกระซิบกับนักบวชอีกคนที่นั่งอยู่ด้านข้างเมื่อได้ยินคำพูดของเขา แม้ไม่ได้ยินว่าเขาพูดว่าอะไร แต่ฉันมั่นใจว่าสายตาที่มองมาที่ฉันไม่มีความปรารถนาดี แต่กลับมีสายตาที่เต็มไปด้วยความเห็นใจไปทางราธบันแทน
เมื่อหันศีรษะกลับไปมองราธบันอีกครั้ง ก็เห็นเขากำลังมองเหล่านักบวชอยู่อย่างที่คิด จากนั้นสีหน้าของราธบันก็เคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
“ได้ยินไหม?”
“ขอรับ?”
“ได้ยินที่พวกเขาคุยกันหรือไม่?”
ราธบันผงกศีรษะอย่างลังเลเมื่อได้ยินคำถาม
“…ได้ยินขอรับ”
ดูจากสีหน้าของราธบันแล้ว ดูเหมือนเนื้อหาบทสนทนาที่เหล่านักบวชคุยกันจะไม่ค่อยดีนัก
“พวกเขาว่าอย่างไร?”
“…”
“ราธบัน?”
“…ไม่ใช่เรื่องที่น่าฟังขอรับ”
ฉันตระหนักได้ทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น ดูเหมือนนักบวชทางนั้นคงกำลังใส่ร้ายป้ายสีฉันอยู่ ไม่เข้าใจเลย ครู่ก่อนที่ฉันพูดกับราธบันมีอะไรที่เป็นปัญหาเหรอ? ฉันแค่ชวนให้เขานั่งลงเท่านั้นเอง
‘ดูท่าเขาคงไม่จะยอมบอกง่ายๆ’
แต่ต่อให้ฉันร้องขอเขาก็คงไม่ฟังอยู่ดี ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีทางเลือกแล้ว ฉันทำสัญญาณมือเรียกให้ราธบันเข้ามาใกล้ เขาค้อมตัวลงมาหาฉันที่กำลังนั่งอยู่ด้วยความสงสัยว่ามีเรื่องอะไร
“เข้ามาใกล้อีกนิด”
“…”
คิ้วตรงของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่ฉันก็ไม่มีทางเลือก ระยะห่างเท่านี้มันคือการสนทนา ไม่ใช่การกระซิบเสียหน่อย เขาก้มตัวลงมาอีกเล็กน้อยหลังจากลังเล เมื่อเห็นเขาที่ห่างไปประมาณสองคืบ ฉันก็คิดว่าเขาคงไม่ก้มลงมาใกล้กว่านี้แล้ว
‘ไม่มีทางเลือกแล้ว’
ฉันดันเก้าอี้ไปด้านหลังเล็กน้อย ก่อนจะขยับตัว เขาพยายามจะยกตัวขึ้นเพื่อหลบฉันที่เข้ามาใกล้อย่างกะทันหัน แต่ฉันรีบดึงเสื้อเขาไว้ตรงตำแหน่งที่ไม่มีใครเห็น
“นี่คือคำสั่ง จงบอกข้ามาว่าพวกเขาพูดอะไรกัน”
ร่างกายของราธบันพลันแข็งทื่อเมื่อได้ยินดังนั้น
******
คำว่าใกล้จะบ้าแล้วคงใช้ในสถานการณ์แบบนี้กระมัง โชคดีที่กระทั่งนักบวชที่สนทนาเรื่องนักบุญหญิงกับตนเมื่อครู่ก่อนก็หันกลับไปมองคาร์ลอีกครั้งแล้ว นั่นเลยทำให้ตอนนี้รอบข้างไม่มีใครมาใส่ใจเขาและนักบุญหญิง เพราะฉะนั้นเขาควรจะรีบออกห่างจากนักบุญหญิงได้แล้ว
“มันแย่มากถึงขนาดพูดออกมาไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ?”
ลมหายใจที่อยู่รอบใบหูทำให้เขาตัวแข็งทื่อไปทั้งอย่างนั้น ลมหายใจเจือกลิ่นหอมบางเบาที่เฉียดผ่านผิวหนังทำให้อัศวินผู้แข็งแกร่งที่สุดในทวีปหมดเรี่ยวแรงอย่างง่ายดายเหลือเกิน ความรู้สึกหวิวๆ ที่แล่นผ่านทั่วร่างขึ้นมาในชั่วพริบตา ทำให้ราธบันต้องดึงความอดกลั้นทั้งหมดในชีวิตมาและแสร้งทำตัวสุขุม
เขาเคยสัมผัสใกล้กว่านี้ แต่นั่นก็เป็นคืนที่มืดมิด และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในที่ที่ไม่มีใคร ดังนั้นเลยมีบางครั้งที่เขาคิดไปว่ามันไม่ใช่ฝันใช่หรือไม่ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน
เครื่องประดับโอ่อ่าที่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและภาพของเหล่านักบุญหญิงนักบุญชายรุ่นก่อนที่อยู่บนศีรษะกำลังจ้องมองเขาอยู่ สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่เขาจะมาอยู่ที่นี่สักวันหนึ่งหากหมดลมหายใจจากการต่อสู้กับปีศาจ การที่นักบุญหญิงเข้ามากระซิบใกล้ตนถึงขนาดนี้ในสถานที่แบบนั้น ทำให้ราธบันรู้สึกเวียนหัว
ราธบันหันหน้าหนี ริมฝีปากที่ใกล้แต่ไม่ได้สัมผัสอยู่ด้านข้างเขา เขาก้มศีรษะลง นี่เป็นสถานการณ์ที่ยากจะอดทนเกินไป ดังนั้นเขาจึงอยากรีบทำตามคำสั่งของนักบุญหญิงและถอยออกไป หากไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดเรื่องที่เลวร้ายกว่านี้ก็ได้
“ไม่ได้มีอะไรขอรับ พวกเขาเพียงแค่กล่าวว่าท่านนักบุญหญิงเยาะเย้ยสมรรถภาพทางกายของข้าเท่านั้น”
“…คำพูดของข้าฟังเป็นแบบนั้นก็ได้สินะ”
นักบุญหญิงออกห่างจากเขาผู้ทำตามคำสั่งของตนอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกโล่งใจแต่ขณะเดียวกันภาพของนักบุญหญิงที่กลับไปยังที่นั่งของตนก็ทำให้เขารู้สึกเสียดาย
ราธบันออกแรงกำมือพลางคิดถึงเรื่องอื่น เรื่องที่พอจะทำให้เขาตั้งสติได้เร็วๆ ไม่ช้าเขาก็นึกถึงแอสรัน ปีศาจที่เสพสุขกับนักบุญหญิง
‘ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเลย’
ใจจริงเขาอยากป่าวประกาศว่ามีปีศาจชั่วร้ายเข้ามาในวิหารหลวงและฟันทิ้งเสียเดี๋ยวนั้น แต่แอสรันเข้ามาเพื่อความปลอดภัยของนักบุญหญิงด้วยการไหว้วานของนาง และราธบันเองก็ต้องยืมพลังของเขาเช่นกัน
‘องค์ชายรัชทายาทเองก็เคยพูดไว้’
เลออนถามเรื่องคาร์ลกับเขาทันที ยิ่งคุยกันมากเท่าไรความคาใจเรื่องคาร์ลในตัวเขาก็ยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าจะเชื่อคำพูดขององค์ชายรัชทายาททั้งหมดนั่นไม่ได้ เลออนเป็นคนที่จ้องเล่นงานวิหารหลวงมาโดยตลอด
แอสรันที่ได้ฟังบทสนทนาของพวกเขากล่าวขึ้น
“บอกมาว่าไอ้นั่นมันอยู่นี่ไหน ข้าจะไปฆ่ามันเสีย”
ท่าทางของแอสรันที่ราวกับจะไปเด็ดคอของคาร์ลออกเดี๋ยวนั้นทำให้เขาถอนหายใจหนัก และกล่าวไปว่าตอนนี้ยังเป็นแค่การคาดเดา ให้สังเกตคาร์ลไปอีกสักพักแล้วค่อยมาคุยกันอีกครั้ง ตอนนั้นแอสรันพูดว่าอย่างไรกัน เขาบอกว่าแค่เห็นก็รู้แล้วมิใช่หรือ แต่หลังจากเจอคาร์ลเขาพูดว่าอะไรนะ? สัมผัสอะไรไม่ได้เลยเพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมมากเกินไป?
ราธบันอยากคืนคำว่าไอ้สุนัขไร้ความสามารถให้กับแอสรันไปเสีย
‘แต่อย่างไรก็ดูเหมือนจะตระหนักอะไรได้บางอย่าง’
ราธบันมองเหล่านักบวชระดับสูงที่ออกไปกับตนเพื่อรับคาร์ลกลับมา ไม่รู้ว่าพวกเขาใช้พลังศักดิ์ของพวกตนอย่างไม่บันยะบันยังเพื่อคาร์ลไปถึงเพียงไหน สีหน้าถึงได้ดูอิดโรยลง พลังศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มีอย่างไร้จำกัด แม้จะบอกว่ามันสามารถฟื้นฟูกลับมาได้เมื่อได้พักหลังจากใช้จนหมด แต่หากใช้จนพลังศักดิ์สิทธิ์หมดครั้งหนึ่งก็ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะกลับมาจนเต็มอีกครั้ง
พลังศักดิ์สิทธิ์เป็นพลังและพรที่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า ดังนั้นเหล่านักบวชจึงพยายามหลงเหลือพลังศักดิ์สิทธิ์ไว้เกินกว่าปริมาณที่กำหนดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะนั่นเป็นเหมือนหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าเลือกพวกตนและเป็นเหมือนพิธีกรรมที่ทำต่อพระเจ้า แต่พวกเขากลับให้มันกับคาร์ลจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่แยแส
บางทีหากตอนนี้สั่งให้พวกเขาเหล่านั้นก้มศีรษะให้คนเพียงคนเดียว ระหว่างนักบุญหญิงและคาร์ล พวกเขาคงต้องก้มศีรษะให้คาร์ลเป็นแน่ และไม่รู้ทำไมราธบันยังเกิดความรู้สึกว่าต่อให้บอกกับพวกเขาว่าสามารถก้มหัวได้เพียงฝั่งเดียวระหว่างพระเจ้าและคาร์ล พวกเขาก็คงจะเลือกคาร์ล
ราธบันส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว แม้เขาจะเป็นคนที่ค่อนข้างเชื่อลางสังหรณ์ของตนเอง แต่ก็ไม่อาจไปถามอะไรกับคาร์ลได้ การคาดเดาทั้งหมดมีรากฐานมาจากสมมติฐานเท่านั้น ไม่มีของที่เรียกได้ว่าเป็นพยานวัตถุเลย ‘ข้ารู้สึกตะขิดตะขวงใจกับท่าน ท่านจะต้องกำลังก่อเรื่องอะไรบางอย่างอยู่เป็นแน่’ หากจู่ๆ มีใครมาพูดแบบนี้ใส่มันจะไร้สาระเพียงไหนกัน
‘ก่อนอื่นต้องไปสืบให้ดีเสียก่อน’
การคิดไม่ดีเกี่ยวกับคาร์ลเป็นเรื่องที่เพียงพอจะทำในตอนหลังได้ ดังนั้นตอนนี้เขาต้องรวบรวมพลังในการตามหาหลักฐานเพื่อสนับสนุนสมมติฐานก่อน