หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 10.2 อลหม่าน (2)
แสงสว่างพลันปรากฏขึ้นตรงมุมหนึ่งในความมืดใต้ฝ่าเท้าที่ไม่รู้ว่ากำลังยืนอยู่ตรงไหน เพราะเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความมืดมิด ดังนั้นในช่วงเวลาตอนนี้ เพียงแค่แสงประกายเล็กๆ ก็เป็นการมีอยู่ที่ชัดแจ้งดั่งได้เห็นดวงตะวันกำลังลอยเด่นขึ้น
ฉันทรุดตัวลงและลองสัมผัสด้านล่าง แม้จะลอยอยู่กลางอากาศ แต่เท้ากลับรู้สึกเหมือนกำลังเหยียบอยู่บนพื้นแข็ง เมื่อยื่นมือไป มือของฉันผ่านเลยพื้นลงไปสัมผัสข้างใต้ที่ลึกลงไปอีก
‘พื้นไม่มีรูปร่าง’
อย่างไรก็ดูเหมือนฉันสามารถเคลื่อนที่ได้หากต้องการ แต่ปัญหาคือฉันไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
‘แค่เดินลงไปเฉยๆ เลยจะได้ไหมนะ?’
แต่มันคงไม่ง่ายดายอย่างที่คิด
ที่แห่งนี้อยู่ในจิตสำนึกของอีเบลลีน่า ฉันจะสามารถเคลื่อนที่ได้ตามใจในสถานที่แบบนั้นเหรอ
‘แต่ว่า…สุดท้ายแล้วมันก็คือภายในร่างนี่นา?’
ฉันมองมืออีกครั้ง แม้จะบอกว่าที่นี่คือจิตสำนึกของอีเบลลีน่า แต่สุดท้ายแล้วมันก็ดำรงอยู่ภายในร่างกายที่ฉันได้รับมาตอนนี้ และฉันก็คุ้นเคยกับมันราวกับว่าเป็นร่างกายของฉันมาตั้งแต่แรก ดังนั้นแม้เพียงเล็กน้อย แต่ฉันก็เกิดความคิดว่าบางทีฉันอาจจะเคลื่อนที่ภายในจิตสำนึกแห่งนี้ได้ตามใจกว่าเมื่อก่อน โดยเฉพาะยิ่งเป็นตอนที่ไม่เห็นอีเบลลีน่าอยู่ตอนนี้ด้วย
“ฮู…”
ฉันสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่หลังจากขยับร่างกาย จากนั้นก็ก้าวเท้าไปด้านหน้าหนึ่งก้าว
“อ้าก!”
ชั่วขณะ ร่างกายของฉันก็ดิ่งฮวบลงด้านล่างราวกับร่วงจากหน้าผา ความรู้สึกตกจากที่สูงที่ทำให้หัวใจวูบลงด้านล่างทำให้สติเริ่มเลือนราง ระหว่างนั้นเอง ชิ้นส่วนของแสงที่ฉันเห็นก็ค่อยๆ ไกลจากบนหัวฉันไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
‘ไม่นะ!’
ความคิดที่จะเข้าไปใกล้แสงนั่นทำให้ฉันตะเกียกตะกายอย่างสุดความสามารถ ทันใดนั้น ร่างกายที่ร่วงลงมาอย่างไม่สิ้นสุดก็หยุดลง
“แฮ่ก… แฮ่ก…”
หัวใจเต้นอยู่ใต้หน้าอกอย่างบ้าคลั่ง ฉันใช้ฝ่ามือกดลงไปบนหน้าอกที่เต้นแรงอย่างทำอะไรไม่ได้พลางควบคุมลมหายใจ เป็นความรู้สึกที่หลงลืมไปแล้วช่วงเวลาหนึ่ง มีบางคราวที่ฉันรู้สึกแบบนี้ในโรงพยาบาลเมื่อนานมาแล้ว ขณะที่แพ้ยา หรือไม่ก็อาการป่วยแย่ลง และบางครั้งก็ไม่มีเหตุผลอะไร
หากหัวใจเริ่มเต้นอย่างบ้าคลั่ง ทีมแพทย์จะวิ่งมาและเริ่มจัดการ จากนั้นสติก็จะหายไปและกลับมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่สติกลับมาชั่วครู่ ฉันก็ได้ยินคำพูดที่ใครบางคนพูดขึ้น
“ถ้ายังเป็นแบบนี้อีกครั้งหนึ่ง คงจบจริงๆ แล้ว…”
แม้จะอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย แต่คำพูดประโยคนั้นก็ฝังลงในหูของฉันราวกับถูกสลักไว้ หลังจากนั้นฉันก็ล้มเลิกกระทั่งการออกกำลังกายที่พอจะทำได้ หากหัวใจเต้นแรงแบบนี้อีกครั้งฉันจะตาย ความคิดนั่นมันซุ่มหมอบอยู่มุมหนึ่งในหัวอยู่เสมอ
“ไม่เป็นไร…ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว…ตอนนี้…คือร่างอื่น…”
ฉันพึมพำอย่างสุดกำลัง แม้ว่านี่คือภายในจิตสำนึกไม่ใช่ร่างจริง แต่ในขณะนี้ การที่ฉันครอบครองร่างของอีเบลลีน่าอยู่ทำให้ฉันรู้สึกวางใจเป็นอย่างมาก
อยู่นิ่งมานานแค่ไหนแล้ว ทันทีที่ฉันแหงนหน้ามองขึ้นไปด้านบนก็เห็นแสงนั่นจางลงเหมือนจุดเพราะอยู่ไกลมาก
‘จะขึ้นไปด้านบนได้ไหม’
เหมือนกับที่ตกลงมา การขึ้นไปอีกครั้งร่างกายก็จะเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเหมือนครู่ก่อนอีกหรือไม่ ฉันนึกถึงความรู้สึกที่ร่วงลงมาจากที่สูงจนหวาดเสียวพลางกดหน้าอก ความตายที่ซุ่มหมอบอยู่ภายในหัวของฉันเสมอกำลังปลุกความหวาดกลัวและแผ่กระจายออกไป
นิ่งเอาไว้ หากอยู่นิ่งๆ ก็จะมีชีวิตนี้ต่อไปได้
เสียงกระซิบของความหวาดกลัวที่อยู่ด้วยกันตลอดดังขึ้น หากหมอบเอาไว้ กลั้นหายใจ และอยู่เงียบๆ ชีวิตก็จะไปต่อได้ ขณะที่ฉันหยอบตัวลงอย่างเป็นธรรมชาติตามนิสัย ประกายแสงพลันกรากฏขึ้นจากที่ไกลๆ อีกครั้ง
‘หากหมอบลงตอนนี้ก็จะจับเจ้านั่นไว้ไม่ได้’
ฉันที่กำลังจะย่อตัวลงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ฉันได้ยินเสียงที่บอกว่าถ้าอยากมีชีวิตให้อยู่นิ่งๆ ฉันมองขึ้นไปด้านบนอยู่สักพักก่อนจะยื่นมือออกไป ทันใดนั้นก็มีของบางอย่างถูกคว้าได้ราวกับโกหก ฉันจับมันและก้าวขึ้นไปด้านบนหนึ่งก้าว ร่างกายของฉันค่อยๆ ไต่อากาศขึ้นไปราวกับกำลังปีนบันไดที่มองไม่เห็น
หากตกลงไปอาจจะตายจริงๆ ก็ได้
ความหวาดกลัวกระซิบขึ้นอีกครั้ง ฉันส่ายหน้าเมื่อได้ยินเสียงนั้น ตอนนี้ไม่ใช่ร่างกายที่อ่อนแอถึงขนาดนั้นอีกแล้ว ถ้าหากฉันใช้ชีวิตแบบนั้นต่อไปล่ะก็…
‘แล้วมันจะต่างจากตอนที่ตายไปในโรงพยาบาลยังไง?’
ตอนอยู่ในโรงพยาบาล ฉันไม่ได้กำลังใช้ชีวิตแต่กำลังค่อยๆ ตายไปต่างหาก ทั้งที่ได้รับร่างกายใหม่และได้รับโอกาสใหม่มาราวกับปาฏิหารย์แล้วแท้ๆ
‘…ไม่อยากมีชีวิตแบบนั้นอีกแล้ว’
ฉันกัดฟันยื่นมือออกไปอีกครั้ง แสงกำลังเปล่งประกายอยู่จากที่ไกลๆ จนน่ากลัว
******
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว แม้จะอยู่ในจิตสำนึกแต่สุดท้ายร่างกายก็ยังเหน็ดเหนื่อย มันจะต้องมีวิธีเคลื่อนที่ในนี้ได้สบายกว่านี้แน่ แต่ตัวฉันที่ไม่รู้วิธี นอกจากการขยับร่างกายแล้วก็ทำอย่างอื่นไม่เป็น ฉันเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง แสงที่ดูเหมือนจะสัมผัสไม่ได้โดยสิ้นเชิงเพราะอยู่ไกลมากเข้ามาอยู่ใกล้ขึ้นตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ฉันเช็ดเหงื่อที่ไหลลงหน้าผากด้วยมือข้างหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ ไต่ขึ้นไปด้านบนอีกครั้ง ไม่นานก็สัมผัสเข้ากับสถานที่ที่มีแสงสว่างอยู่
“นี่คือ…อะไร…”
ชั่วขณะที่เดินเข้าไปใกล้แสง ฉันก็ไม่แทบอยากเชื่อสายตา อันที่จริงฉันคิดว่ามันคงแค่เปล่งประกายเท่านั้น แต่อีกฟากหนึ่งของแสงนั่นกลับมีภาพเหตุการณ์อื่น จะเรียกว่าเป็นความรู้สึกที่เหมือนมีโทรทัศน์จอเล็กๆ อยู่กลางกำแพงมืดได้ไหมนะ? มันทำให้ฉันนึกถึงวิดีโอในโทรศัพท์ที่เคยดูเงียบๆ คนเดียวใต้ผ้าห่มในตอนกลางคืน
ฉันจ้องมองภาพที่อยู่อีกฟากของแสง แล้วก็พบกับใบหน้าที่รู้จักในไม่ช้า
“…ผู้อาวุโส?”
ฉันมองเห็นผู้อาวุโสเดลเลอร์ที่ตอนนี้จากโลกนี้ไปแล้ว นางดูสาวและแข็งแรงกว่าที่ฉันเคยเห็นมากและกำลังพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“จริงหรือ บอกแค่หนึ่งแต่ท่านกลับรู้ถึงสิบ เช่นนี้อีกไม่นานท่านนักบุญหญิงคงจะมาสอนข้าได้แล้วกระมัง”
ใบหน้าที่ราวกับภาคภูมิใจและปลื้มปิติอย่างมากนั่นได้อธิบายคำว่าความสุขด้วยตัวมันเองแล้ว เพ่งดูให้ละเอียดขึ้นก็เห็นภาพพื้นหลังที่คุ้นเคย สถานที่ที่เห็นด้านหลังคือห้องหนังสือของนักบุญหญิง
‘แต่ว่า…’
โต๊ะหนังสือใหญ่กว่าที่ฉันเคยเห็นมาก ทันทีที่เบนสายตาก็เห็นกระจกที่อยู่ตรงมุมห้อง
“…อีเบลลีน่า”
ในกระจกสะท้อนภาพอีเบลลีน่าวัยเด็กกำลังยิ้มอย่างสดใสขณะนั่งถือปากกาอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ ตอนนั้นนางน่าจะอายุประมาณแปดขวบ? ภาพของอีเบลลีน่าที่สวมชุดเครื่องแบบสีขาวซึ่งไม่มีเครื่องประดับใดๆ และมัดรวบผมบลอนด์ซึ่งมีปลายลอนเล็กน้อยช่างน่าเอ็นดูจนทำให้ฉันระบายยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ
หลังจากจ้องมองภาพเหตุการณ์นั้นอย่างเหม่อลอย ฉันก็ตระหนักได้
‘นี่คือความทรงจำของอีเบลลีน่า’
นั่นคือความทรงจำที่นางไม่แสดงให้ฉันเห็นและยังเก็บซ่อนมันไว้จนถึงตอนนี้ ขณะที่กำลังมองดูภาพเหตุการณ์อีกฟากหนึ่งของแสงราวกับถูกล่อลวง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ทันใดนั้น อีเบลลีน่ากระโดดลงจากเก้าอี้ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตูและตะโกนขึ้นราวกับรออยู่แล้ว
“คาร์ล! คาร์ลมาแล้วหรือ?”
น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใสและความรักอันไร้ขอบเขต
ไม่ช้าประตูก็เปิดออก ชายที่สวมชุดนักบวชเดินเข้ามา
ชายเจ้าของผมสีน้ำตาลที่ยาวลงมาถึงใต้ใบหูซึ่งยาวกว่านักบวชคนอื่นเล็กน้อยครอบครองภาพลักษณ์ที่ดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก เขากางแขนออกและเดินเข้าไปหาอีเบลลีน่าที่วิ่งตึกๆ เข้ามาคล้ายจะขอกอด ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็โอนเอนไปมา ไม่ช้าฉันก็ได้รู้สาเหตุ
‘ขา…’
ขาข้างซ้ายโก่งอย่างน่าประหลาดจนแม้จะอยู่ใต้ชุดนักบวชหลวมโพรกก็ยังเห็นได้ชัด เป็นเหตุให้ความยาวขาต่างกับข้างที่สมบูรณ์มากจนทำให้ร่างกายโอนเอนอย่างแรงในทุกครั้งที่ก้าวเดิน
“คาร์ล หนูทำถูกหมดเลยค่ะ!”
อีเบลลีน่ากล่าวกับคาร์ลที่เข้ามาใกล้ ทันใดนั้นคาร์ลก็อ้าแขนและอุ้มอีเบลลีน่าขึ้น เสียงหัวเราะดังขึ้นทั่วทั้งห้องอย่างสนุกสนาน
“ข้าคิดไว้อยู่แล้ว เจ้าคือผู้ที่พระเจ้ารักที่สุด ดังนั้นการจะมีความเฉลียวฉลาดที่โดดเด่นมากกว่าผู้ใดก็เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว”
คาร์ลกล่าวเช่นนั้นพลางเช็ดคราบหมึกที่กระเด็นติดหน้าของอีเบลลีน่าอยู่ เป็นการเคลื่อนไหวที่ระมัดระวังราวกับกำลังเช็ดตุ๊กตากระเบื้อง ภาพนั้นของทั้งสองคนทำให้ผู้อาวุโสและเหล่านักบวชคนอื่นที่อยู่ในห้องต่างก็มีรอยยิ้มอบอุ่น
แล้วความมืดมิดก็กลับมาอีกครั้ง
“อา…”
ความทรงจำจบลงตรงนั้น ความมืดที่กลับมาอย่างกะทันหันทำให้ฉันกะพริบตาถี่
‘นี่คือความทรงจำที่อีเบลลีน่าไม่แสดงให้เห็นอย่างนั้นเหรอ?’
อีเบลลีน่าไม่ให้ฉันเห็นความทรงจำเกี่ยวกับคาร์ลเลยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว ฉันถึงได้มองดูความทรงจำด้วยความประหม่าถึงเพียงนั้นขณะที่ชื่อของคาร์ลออกมา ทว่าความทรงจำที่ฉันเห็นกลับเป็นเศษเสี้ยวหนึ่งของวัยเด็กอันแสนอบอุ่น ช่วงเวลาที่ได้รับความรักและความเอ็นดูจากทุกคนจนน่าอิจฉา อีเบลลีน่าในความทรงจำเองก็ดูมีความสุขมากถึงขนาดนั้น
ดูอย่างไรก็เป็นความทรงจำที่ไม่มีเหตุผลให้ต้องปิดบังเลย
“…”
ฉันจมอยู่ในความคิดอยู่สักพักแต่ก็หาคำตอบให้กับสาเหตุที่ทำให้อีเบลลีน่าแอบซ่อนความทรงจำแบบนี้ไม่ได้
‘อย่างไรก็ตาม ที่นี่ดูเหมือนจะอยู่ในจิตสำนึกของอีเบลลีน่าจริงๆ…’
แต่แม้ฉันจะเคลื่อนที่และแอบมองความทรงจำแบบนี้ อีเบลลีน่าก็ยังไม่ปรากฏตัว
‘ถ้านางยังไม่รู้สึกตัวงั้นบางทีอาจจะดูความทรงจำอื่นได้อีกหน่อย?’
ความทรงจำอื่นๆ อีกมากมายจะต้องอยู่ที่นี่แน่
‘นี่คือโอกาส’
ฉันลองคลำไปตรงที่ที่แสงประกายขึ้นเมื่อครู่ก่อน แต่มือกลับโบกอยู่กลางอากาศที่ไม่มีอะไรเลย แม้จะลองคลำหาตรงที่อื่นแต่ก็ไม่ได้สัมผัสโดนอะไรเป็นพิเศษ และไม่มีการตอบสนองอะไรด้วย
‘ฉันทำยังไงไปนะ?’
ฉันพยายามย้อนนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่แสงปรากฏขึ้นครั้งแรก
‘ฉันคิดว่าอยากดูความทรงจำเกี่ยวกับรอยแม้เพียงสักนิดและจากนั้นแสงก็ปรากฏขึ้นมา’
ถ้าอย่างนั้น ทำแบบเดิมอีกครั้งอาจจะได้
ฉันหลับตาและตั้งสมาธิ อะไรก็ได้ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับรอยนี้ หากได้เห็นความทรงจำที่อีเบลลีน่าแอบซ่อนไว้แม้เพียงเล็กน้อยอีกครั้ง ชั่วขณะ ภาพของคาร์ลที่ฉันได้เห็นในความทรงจำเมื่อครู่ก่อนพลันแวบผ่านในหัว
ทันใดนั้น ฉันก็สัมผัสได้ว่าอีกฟากหนึ่งของเปลือกตาที่ปิดอยู่มีแสงสว่างขึ้นรำไร เมื่อลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็วก็เห็นมันกำลังส่องประกายอยู่ไม่ไกล อีกทั้งคราวนี้ยังไม่ใช่ที่เดียว แต่มีหลายที่กำลังเปล่งประกายอยู่ ราวกับกำลังลอกเปลือกที่เรียกว่าความมืดซึ่งปกคลุมความทรงจำอยู่ออกมาทีละกลีบ
หากฉันม้วนความมืดนี้เก็บทั้งหมด อีกฟากหนึ่งจะต้องมีความทรงจำทั้งหมดของอีเบลลีน่าอยู่แน่
ฉันก้าวเข้าไปหาแสงที่อยู่ใกล้ที่สุดด้วยฝีเท้าที่คุ้นเคยขึ้นมาเล็กน้อย
อีกฟากหนึ่งของแสงปรากฏภาพเหตุการณ์อื่นอยู่อีกจริงๆ ฉันยื่นมือออกไปหามันอย่างรวดเร็ว
‘ต้องรีบแล้ว’
ฉันรู้สึกไม่สบายใจเหมือนอีเบลลีน่ากำลังจะปรากฏตัวออกมา หากเป็นเช่นนั้น การจะดูความทรงจำพวกนี้คงเป็นไปไม่ได้แน่ ดังนั้นก่อนจะเป็นแบบนั้น ต้องดูเพิ่มขึ้นอีกสักอันก็ยังดี แสงที่ถูกจับอยู่ในมือไหวกระเพื่อม ภาพเหตุการณ์ที่อยู่อีกฟากเริ่มแสดงให้เห็นอย่างสดใหม่ราวกับเป็นเหตุการณ์ที่ฉันได้ประสบเองตอนนี้
“เอาล่ะ ทำได้แน่นอน…”
อีเบลลีน่ายืนตัวสั่นและจ้องมองตนเองอยู่หน้ากระจก ภาพของอีเบลลีน่าที่กลายเป็นเด็กสาวซึ่งดูโตกว่าเด็กน้อยในความทรงจำที่เห็นเมื่อครู่ก่อนสะท้อนอยู่ในนั้น อีเบลลีน่าสวมชุดเครื่องแบบสีขาว
‘พิธีสวดภาวนาสินะ’
อีเบลลีน่ากำลังสวมชุดเครื่องแบบเดียวกันกับที่ฉันเคยใส่ในพิธีสวดภาวนาเมื่อไม่นานมานี้ ประตูเปิดออกในไม่ช้า เหล่านักบวชและอัศวินเข้ามา ชายสูงวัยสวมชุดเครื่องแบบของผู้บัญชาการอัศวินที่ฉันไม่เคยเห็นในความทรงจำมาก่อนยื่นมือมาทางอีเบลลีน่า
‘แน่ล่ะ ตอนนั้นราธบันเองก็ยังเด็ก เขาคงไม่มีทางเป็นผู้บัญชาการ’
ขณะที่คิดแบบนั้นพลางหันมองด้านข้าง ฉันก็แทบจะกรีดร้องออกมา ราธบันที่สวมชุดเครื่องแบบที่ยังไม่ได้ติดสัญลักษณ์หน่วยอัศวินแห่งวิหารด้วยซ้ำ กำลังยืนค้อมศรีษะอยู่ท้ายแถวของเหล่าอัศวินที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง
ได้มาเห็นภาพลักษณ์อื่นของเขาที่ไม่เคยคิดมาก่อนเสียได้ พลันรู้สึกได้ว่านี่คือความทรงจำในอดีตจริงๆ สินะ ก่อนจะมองดูความทรงจำต่อไป
ผู้บัญชาการอัศวินจับมือเล็กที่สั่นระริกของอีเบลลีน่าอย่างระมัดระวังพลางกล่าว
“ไม่จำเป็นต้องกังวลมากหรอกขอรับ”
“ต ต แต่ว่า…ข้าเพิ่งเคยใช้ พ พลังศักดิ์สิทธิ์ต่อหน้าผู้คนมากถึงเพียงนั้นเป็นครั้งแรก…”
ท่าทีของอีเบลลีน่าที่ดูคล้ายจะร้องไห้ออกมาเดี๋ยวนั้นทำให้ใบหน้าของผู้คนที่ยืนอยู่รอบข้างพลันมีความสงสารแวบผ่าน ขณะเดียวกันก็มีสายตาแห่งความภาคภูมิใจในตัวนักบุญหญิงตัวน้อยที่บัดนี้กำลังจะจัดพิธีสวดภาวนาครั้งแรก
“ไม่จำเป็นต้องประสาทพรให้กับทุกคนที่มารวมตัวกันก็ได้ขอรับ หากเหนื่อยเมื่อไรก็…”
“ไม่ได้ค่ะ!”
เสียงของอีเบลลีน่าสูงขึ้น แต่ก็หยุดสั่นเช่นกัน ท่าทีที่ดูประหม่าจนถึงเมื่อครู่ก่อนหายไปที่ไหนสักแห่ง และอีเบลลีน่ากำลังยืนอยู่ด้วยใบหน้าสง่าผ่าเผยที่เต็มไปด้วยความทะนง
“ข้าจะประสาทพรให้กับทุกคน”
พูดจบ อีเบลลีน่าก็ยืดออกแล้วกล่าว
“คาร์ลบอกเอาไว้ ว่าข้าเป็นคนที่ได้รับความรักของพระเจ้า เพราะฉะนั้นต้องแบ่งปันพลังที่ข้ามีอยู่แก่คนที่ต้องการความช่วยเหลือของข้า”
ท่าทางของอีเบลลีน่าที่พูดเช่นนั้นทำให้รอยยิ้มเบ่งบานบนใบหน้าของทุกคนอีกครั้ง
ความทรงจำจบลงตรงนั้น
แม้ย้อนนึกถึงความทรงจำที่ฉันได้เห็นเมื่อครู่ก่อนอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวกับรอยพวกนั้นเลย ฉันเริ่มรู้สึกงุ่นง่านใจ
‘ไม่ใช่เรื่องพวกนี้สิ! อะไรก็ได้ ได้โปรด!’
ฉันเข้าไปหาแสงที่อยู่ใกล้ที่สุดอีกครั้ง ความวุ่นวายใจค่อยๆ หนักขึ้น ฉันยื่นมือออกไปหาแสงพลางภาวนาใจจากจริง อะไรก็ได้ ขอให้เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับรอยพวกนั้นด้วยเถิด
ขณะที่มือสัมผัสเข้ากับแสง ความมืดก็เข้าปกคลุมอีกครั้ง พอหมุนมองรอบข้างก็ค่อยๆ เห็นภาพของพื้นที่ที่คุ้นเคย
“ที่นี่มัน…”
ภาพของห้องนอนที่คุ้นตา กระจกที่อยู่มุมหนึ่งสะท้อนภาพของอีเบลลีน่า มันค่อนข้างใกล้เคียงกับรูปลักษณ์ในตอนนี้ ทว่าดูจากความอ่อนเยาว์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่แล้วคงเป็นช่วงอายุที่จวนเจียนจะกลายเป็นหญิงสาว ดูคล้ายจะเป็นภาพลักษณ์เมื่อไม่กี่ปีก่อน
อีเบลลีน่าที่นั่งหมิ่นเหม่อยู่ขอบเตียงในห้องมืดสลัวค่อยๆ ดึงชายชุดนอนของตนเองขึ้น
“…!”
หลังจากเห็นสิ่งนั้น ฉันก็อุดปากเพื่อไม่ให้เสียงกรีดร้องหลุดออกมา ที่ต้นขาของนางมีรอยอยู่ ทว่ามีเพียงรอยเดียว มิใช่สามรอย ตอนนั้นเอง เสียงของอีเบลลีน่าดังขึ้น
“ทำอย่างไรดี…?”
เสียงที่พึมพำออกมาแฝงไปด้วยเสียงสะอื้น หยดน้ำตาตกลงบนเข่าพร้อมกับเสียงกลั้นการร้องไห้
ภาพลักษณ์ของอีเบลลีน่าที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกทำให้ฉันทำได้เพียงมองไปอย่างเหม่อลอยด้วยความตกใจโดยไม่อาจคิดอะไรได้เลย ไม่นานอีเบลลีน่าก็เช็ดน้ำตา ก่อนจะประสานสองมือ
“พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ข้า…ทำตามคำสอนของท่าน…มอบพลัง…ให้แก่ผู้ที่จำเป็น…”
เมื่อได้เห็นอีเบลลีน่าสวดภาวนา ฉันก็ตระหนักได้ ความทรงจำที่ฉันเห็นมาจนถึงตอนนี้ ไม่เคยมีที่ใดเลยที่นางสวดภาวนาให้แก่พระเจ้า ทั้งที่นางเป็นนักบุญหญิง
ก๊อกก๊อกก๊อกก๊อก
เสียงเคาะประตูสี่ครั้งราวกับนัดกันไว้
“ฮึบ…”
อีเบลลีน่ากัดริมผีปากและกลั้นหายใจเมื่อได้ยินเสียงนั่น จิตใจของนางที่จ้องมองประตูที่ส่งเสียงดังเอ่อล้นไปด้วยความหวาดกลัว ในตอนนั้นเอง
เจ้า!
เสียงตะโกนจนคล้ายเสียงกรีดของของอีเบลลีน่าดังขึ้นในหัว ฉันตระหนักได้ตอนนั้นเอง
‘ถูกจับได้แล้ว!’
ได้อย่างไร! ที่นี่! เจ้ากล้า!
คำพูดที่เรียบเรียงไม่ถูกซึ่งอัดแน่นไปด้วยอารมณ์กำลังทะลักออกมา ขณะที่ได้ยินเสียงของอีเบลลีน่า ความทรงจำก็หยุดลงตรงนั้นและเริ่มจางลงในไม่ช้า
“ไม่นะ!”