หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 10.3 อลหม่าน (3)
ฉันตะโกน ความทรงจำที่จวนเจียนจะได้เห็นแล้วจะมาหายไปแบบนี้ไม่ได้ ฉันต้องได้ดูความทรงจำนี้ต่ออีกสักหน่อย ทำไมอีเบลลีน่าถึงมองรอยพวกนี้แล้วสวดภาวนา? ใครมาหานางกันแน่? ทำไมนางถึงต้องหวาดกลัว? ในวิหารหลวงแห่งนี้ไม่มีผู้ใดสามารถทำอันตรายนางได้
ตอนนั้นเอง ภาพรอบข้างที่จางลงก็เริ่มชัดเจนขึ้นอีกครั้ง แม้จะเชื่องช้า แต่ฉากในความทรงจำที่หยุดลงก็กลับมาเคลื่อนไหว
เจ้าแตะต้องความทรงจำได้อย่างไร!
เสียงกรีดร้องของอีเบลลีน่าทำให้ฉันอยากตะโกนถามตัวเองเช่นกัน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? เห็นได้ชัดว่าฉันกำลังทำให้ความทรงจำที่อีเบลลีน่าหยุดไปเคลื่อนไหวขึ้นอีกครั้ง อีเบลลีน่าในความทรงจำกำลังก้าวเข้าไปทางประตูอย่างเชื่องช้า อีกนิด อดทนอีกนิด ฉันก็จะได้เห็นว่าใครที่อยู่อีกฟากของประตู
คิดว่าข้าจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นหรือ?
อีเบลลีน่าตะโกนราวกับกำลังอ่านความคิดของฉันอยู่ สิ้นเสียงของนาง ทัศนียภาพทั้งหมดที่อยู่ในสายตาก็เริ่มแตกร้าว ทุกอย่างเบื้องหน้าเริ่มดูเหมือนกำลังสะท้อนผ่านกระจกแตก เศษชิ้นส่วนจากภาพเหตุการณ์ไกลๆ เริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“…!”
ตอนนี้ อีเบลลีน่าในความทรงจำจับที่จับประตูแล้ว ทว่าส่วนหนึ่งของประตูที่นางกำลังจะเปิดออกกำลังเริ่มแตกกระจาย ส่วนที่กำลังแตกขยับช้าลงทันทีที่ฉันยื่นมือออกไปอย่างรีบเร่ง
อีกนิด อดทนอีกสักนิด…
บนชิ้นส่วนที่แตกร้าวโดยสมบูรณ์กำลังสะท้อนภาพประตูที่กำลังเปิดออกอย่างเชื่องช้า
หายไปเสีย!
มันหยุดตรงนั้น ในเวลาเดียวกับที่เสียงตะโกนของอีเบลลีน่าดังขึ้น ภาพของความทรงจำอันน่าอับอายทั้งหมดที่ฉันอดทนมาจนถึงตอนนี้หายไปอย่างรวดเร็ว พื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยความมืดกลับมาอีกครั้งในขณะเดียวกัน ไม่สิ ตอนนี้ไม่ใช่ความมืดแล้ว เพราะใบหน้าที่คล้ายจะระเบิดออกมาเดี๋ยวนั้นของอีเบลลีน่ากำลังอยู่ตรงหน้าฉัน
เจ้า…กล้า…
อีเบลลีน่าที่ไม่อาจรับมือกับร่างกายที่กำลังสั่นด้วยความโกรธได้กำลังจ้องฉันเขม็ง
ข้าจะไล่เจ้าออกไปจากร่างเดี๋ยวนี้ จะทำให้เจ้ากลับไปเป็นเหมือนแมลงที่ทำไม่ได้กระทั่งหายใจอีกครั้ง!
ฉันตอบกลับเมื่อได้ยินเสียงตะโกนแบบนั้นของนาง
“ไม่ เธอทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”
…!
สถานการณ์เมื่อครู่ก่อนทำให้ฉันได้รับการยืนยัน ฉันแตะต้องความทรงจำที่นางยอมลบทิ้งดีกว่าจะให้ฉันดู ทว่าอีเบลลีน่ากลับทำเพียงร้องตะโกนแต่ทำอันตรายอะไรกับฉันไม่ได้
ฉันหวนนึกถึงความผิดปกติที่รู้สึกได้ไปพร้อมกัน
ต่างจากครั้งแรก ตอนนี้ฉันอยู่ในร่างอีเบลลีน่าในพื้นที่แห่งนี้อย่างสมบูรณ์ ฉันสามารถเดินไปรอบๆ ได้ตามอำเภอใจในพื้นที่ซึ่งฉันเคยเคลื่อนที่ไม่ได้ และแม้ว่าฉันจะกลับเข้ามาในจิตสำนึกของนาง แต่อีเบลลีน่าก็สังเกตไม่ได้ว่าฉันมา
สถานการณ์ต่างๆ เหล่านั้นบอกคำตอบได้เพียงอย่างเดียว
“ตอนนี้ร่างกายนี้มันกลายเป็นของฉันไปแล้ว ใช่ไหม อีเบลลีน่า?”
…
คำพูดของฉันทำให้สีหน้าของอีเบลลีน่าพลันสูญสลาย นั่นกลายเป็นคำตอบให้กับคำถาม ทันทีที่ยืนยันได้ว่าสมมติฐานที่คิดถูกต้อง ฉันก็รู้สึกว่างเปล่า ความรู้สึกที่รวมตัวกันอยู่ในส่วนลึกของหัวใจถูกผลักไปรวมอยู่ที่ปลายนิ้วราวกลับกระแสน้ำที่ไหลย้อนกลับ ภายในร่างเหมือนถูกปล่อยว่างจนโหวง
‘ฉันถูกหลอก’
ขณะที่ตระหนักได้ ฉันก็พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ทำไมจนถึงตอนนี้ฉันถึงคิดไม่ได้กันนะ ทำไมถึงได้คิดว่าคำพูดทุกคำของอีเบลลีน่ามันคือเรื่องจริง? ฉันด่าตัวเองที่โง่เง่าพลางจ้องอีเบลลีน่าเขม็ง นางยังคงมองฉันด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ชั่วขณะต่อมา ร่างกายที่ว่างเปล่าของฉันก็อัดแน่นไปด้วยความโกรธที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างแรงราวกับคลื่นสึนามิ
มือเริ่มสั่น ความรู้สึกที่อึดอัดไปทั่วคอทำให้หายใจไม่ออก
“…สนุกไหม?”
อีเบลลีน่าใช้ร่างกายนี้เป็นอาวุธมาข่มขู่ฉัน นางบอกว่าถ้าไม่ฟังคำพูดของตนก็จะมีชีวิตต่อไปไม่ได้ นางบอกว่าจะเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันได้ลิ้มลองกลับคืนไป สำหรับฉันที่เคยตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่มีคำพูดไหนที่น่ากลัวไปกว่าคำพูดพวกนั้น ดังนั้นสุดท้ายคำพูดของอีเบลลีน่าจะไม่ทำให้ฉันก้มหัวได้เหรอ
ฉันย้อนนึกถึงเสียงหัวเราะของอีเบลลีน่าที่ดังขึ้นในหัวของฉันพร้อมกับความรู้สึกที่ว่ายังมีชีวิตในทุกเช้า เสียงหัวเราะที่ราวกับกำลังดูสภาพที่ไม่เรียบร้อยและน่าขำขัน
กรีดร้องออกไปดีไหม หรือวิ่งเข้าไปหาอีเบลลีน่าแล้วตบหน้านางสักที ฉันไม่รู้เลยว่าควรจัดการกับความโกรธที่กำลังเดือดปุดอยู่ภายในร่างของฉันอย่างไร
ทว่าแค่นั้นมันยังไม่เพียงพอ
‘ฉันอยากเอาคืน’
ย้อนนึกถึงความกระวนกระวายที่กัดกินร่างกายในแต่ละวันและความละอายที่ต้องออกตามหาเป้าหมายเพื่อวิงวอนขอให้ใช้เวลายามค่ำคืนตามคำพูดของอีเบลลีน่า ฉันอยากคืนช่วงเวลาที่ผลักฉันไปสู่ขุมนรกให้กับนาง และมิใช่ว่าฉันตระหนักได้ถึงวิธีการอันแสนเรียบง่ายเมื่อครู่ก่อนหรอกเหรอ
ฉันก้าวไปหาอีเบลลีน่าหนึ่งก้าว
ร่างกายที่ตกลงไปเบื้องล่างอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเมื่อครู่ก่อน สามารถยืนอยู่ได้ทันทีโดยไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
เมื่อได้รับการยืนยัน ฉันก็สามารถรับรู้ได้เองโดยที่ไม่ต้องมีใครอธิบาย ที่นี่คือภายในจิตสำนึกของอีเบลลีน่า แต่ตอนนี้มันก็คือภายในร่างกายที่ได้กลายเป็นของฉันแล้ว ฉันจึงสามารถควบคุมมันได้ระดับหนึ่ง
เมื่อฉันเงยหน้าขึ้นมองด้านบนก็เห็นชิ้นส่วนของแสงปรากฏขึ้นทั่วทุกที่ แสงสว่างที่ฉีกความมืดออกทำให้ใบหน้าของอีเบลลีน่าบิดเบี้ยวขึ้นมาในทันที
เจ้า…ทำอะไร!
ฉันหวนนึกถึงภาพของอีเบลลีน่าที่เกรี้ยวกราดราวกับเป็นบ้าขณะที่ฉันดูความทรงจำของนางเมื่อครู่ก่อน ตอนนี้ก็เช่นกัน ท่าทางที่ดูไร้เหตุผลของนางทำให้ฉันยื่นมือไปคว้าแสงที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างแรง ไม่ช้าประกายแสงกลุ่มใหญ่ก็เข้าปกคลุมร่างกาย
หลังจากกะพริบตาชั่วครู่ ภาพทัศนียภาพในความทรงจำพลันปรากฏ
‘อาคารกลางของวิหารหลวงเหรอ?’
ภาพของพื้นที่กว้างที่ไม่มีอะไรเลยซึ่งโดยรอบถูกสร้างขึ้นด้วยกำแพงสีขาวล้วน สายลมที่พัดผ่านพวงแก้มนั้นเย็นและชื้น
‘…ใต้ดิน?’
ชั่วขณะนั้น เบื้องหน้าพลันมีเปลวเพลิงสีน้ำเงินเข้มลุกโชนขึ้น ขณะที่ได้เห็นกลุ่มเปลวเพลิงสีฟ้าครามขนาดใหญ่เท่าบ้านหลังหนึ่ง ฉันก็สามารถรับรู้ได้ว่ามันถูกสร้างขึ้นจากพลังศักดิ์สิทธิ์ ขนาดก็ส่วนหนึ่ง แต่พละกำลังที่น่าเกรงขามทำให้ฉันทำได้เพียงมองอ้าปากค้างเท่านั้น
เปลวเพลิงของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไหวกระเพื่อมชวนให้รู้สึกถึงความโดดเด่นที่มากกว่าขนาดของมัน มันคือก้อนพลังที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่จนทำให้คิดว่าการกระเพื่อมหนึ่งครั้งอาจจะทำให้การไหลของแม่น้ำสักแห่ง รูปร่างของภูเขา และความลึกของมหาสมุทรเปลี่ยนแปลงไปก็ได้
อีเบลลีน่ากำลังจ้องมองไปที่พลังก้อนใหญ่นั่นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ราวกับคุ้นเคย ฉับพลัน เปลวเพลิงของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ลุกโชนก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขึ้น มันแกว่งไกวไปพร้อมกับลมที่พัดแรง จากนั้นความรุนแรงของเปลวเพลิงก็อ่อนลงในไม่ช้า
เทียบกับครู่ก่อนแล้วน่าจะลดเหลือประมาณครึ่งหนึ่ง? แม้จะยังมีขนาดใหญ่ แต่เทียบกับที่เห็นเมื่อครู่ก่อนแล้วเปลวเพลิงที่หลงเหลืออยู่ดูอ่อนแอลงอย่างมาก
“อึก…!”
ร่างกายอีเบลลีน่าทรุดลงกับพื้นทันที น้ำเสียงอ่อนแรงดังออกมาจากปากของนางผู้นั้น
“มัน…ลดลงอีกแล้ว…”
ขณะที่พึมพำแบบนั้น ภาพเหตุการณ์ที่อยู่ในสายตาก็เริ่มเกิดรอยร้าว อีเบลลีน่าคงกำลังลบความทรงจำนี้อยู่ เป็นไปตามคาด ความทรงจำหายไปในชั่วพริบตา สิ่งที่กลับเข้าสู่สายตาอีกครั้งมีเพียงพื้นที่มืดและอีเบลลีน่าที่มีสีหน้าเย็นชาอย่างถึงที่สุด
ฉันลังเลว่าจะดึงความทรงจำลงมาอีกครั้งดีไหม แต่หากทำแบบนั้นอีเบลลีน่าคงจะยิ่งโกรธ ฉันมองมือของอีเบลลีน่า ชิ้นส่วนของแสงที่แตกเป็นเสี่ยงๆ กำลังร่วงหล่นจากมือของนางราวกับเม็ดทรายก่อนจะสลายไป บางทีฉันคงไม่อาจดูความทรงจำพวกนั้นได้เป็นครั้งที่สองอีกแล้ว
ฉันเกิดความรู้สึกสนุกสนานที่ได้กระตุ้นความโกรธของอีเบลลีน่าอยู่ชั่วครู่ก่อนจะรู้สึกร้อนใจ อีเบลลีน่าคิดจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันพยายามจะดู
‘แบบนั้นวุ่นวายแน่’
รอยที่อยู่บนขา ฉันต้องได้รับข้อมูลเกี่ยวกับมัน ทว่าเพราะยังไม่หายโกรธ ฉันจึงยังไม่อาจพูดคุยกับอีเบลลีน่าได้ง่ายๆ ใจจริงอยากจะดึงความทรงจำต่างๆ ที่อยู่ในนี้ลงมาให้หมดเพราะอยากเห็นท่าทางที่ทำอะไรไม่ถูกของนางด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายการทำแบบนั้นก็มีแต่จะทำให้ฉันเสียเปรียบ
ผ่านไปอีกสักพัก สุดท้ายฉันก็สามารถพูดกับอีเบลลีน่าได้
“…ปล่อยความทรงจำไว้”
ทำไมข้าต้องทำเช่นนั้น
“เธอเองก็อยากลบรอยออกไปนี่นา เพราะงั้นถึงได้เรียกแอสรันมาและทำสัญญากับเขา”
ฉันปรับลมหายใจชั่วครู่ ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งโดยพยายามอย่างถึงที่สุดไม่ให้มันกระตุ้นอีเบลลีน่า
“ฉันจะช่วย… ลบรอยพวกนี้ให้…”
ทว่ายังไม่ทันได้พูดจบ ฉันก็ได้ยินเสียงถุยและเสียงหัวเราะดังขึ้นจากปากของอีเบลลีน่า นางจับหน้าท้องของตัวเองก่อนจะเริ่มหัวเราะราวกับคนที่ได้ยินเรื่องเล่าที่ตลกที่สุดในโลก เสียงหัวเราะสะท้อนจนดังก้องในความมืดมิด ท่าทางของอีเบลลีน่าที่ร่างกายขยับขึ้นลงทั้งที่ก้มเอวอยู่ ไม่รู้ทำไมถึงได้ดูเหมือนกำลังร้องไห้
นางยกตัวขึ้นหลังจากผ่านไปสักพัก น้ำตาที่เกาะอยู่บนขอบตาหยดแหมะลงมาเพราะหัวเราะหนักไป ก่อนที่นางจะกล่าว
แค่ได้ร่างกายไปก็ไม่คิดว่าจะทะนงตัวจนถึงขนาดนี้นะเนี่ย จะช่วย? เจ้าเนี่ยนะ? ช่วยข้า?
อีเบลลีน่าหัวเราะเสียงสูงอีกครั้งหลังจากกล่าวเช่นนั้น เสียงหัวเราะที่คล้ายจะมีต่อไปของนางหยุดลงชั่วขณะ
ไสหัวไป ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า
อีเบลลีน่าพูดแบบนั้นพลางยื่นมือออกมา ทันใดนั้น ชิ้นส่วนแสงพลันปรากฏขึ้นทั่วทุกที่เหมือนอย่างที่ฉันทำเมื่อครู่ก่อน อีเบลลีน่าคว้าและทำลายพวกมันในมืออย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
‘อีเบลลีน่าไม่ได้สูญเสียอำนาจควบคุมไปทั้งหมดสินะ’
แม้ฉันจะสามารถเคลื่อนที่ได้ตามใจ แต่อย่างไรที่นี่ก็คือในจิตสำนึกของอีเบลลีน่า ความตั้งใจของนางผู้เป็นเจ้าของเดิมอย่างไรก็ส่งผลอย่างแรงกล้ามากกว่าอำนาจของฉันอยู่แล้ว เบื้องหน้าเริ่มเลือนรางคล้ายกับตอนที่จะออกจากจิตสำนึกของนางเมื่อก่อน
ฉันกัดริมฝีปาก ความรู้สึกเจ็บแสบทำให้ได้สติคืนมาชั่วครู่ ตอนนั้นเอง ชิ้นส่วนของแสงหลายอันที่อยู่รอบกายฉันก็ลอยขึ้นมา
เจ้า!
ฉันไม่สนใจเสียงตะโกนของอีเบลลีน่าและเดินโซเซเข้าไปคว้าชิ้นส่วนของแสง ในมือถือข้างละชิ้น จิตสำนึกเริ่มพร่ามัวอย่างรวดเร็วโดยที่ยังไม่มีเวลาให้พิจารณาด้วยซ้ำว่าเป็นความทรงจำเกี่ยวกับอะไร ทัศนีภาพรอบข้างเปลี่ยนไปในไม่ช้า
ห้องนอนของนักบุญหญิงที่ทุกอย่างแตกละเอียด เก้าอี้หัก ม่านฉีกขาด กระจกและแจกันดอกไม้แตกร้าว ภายในห้องไม่มีของชิ้นไหนเลยที่ไม่เสียหาย สิ่งที่ยังสมบูรณ์ดีมีเพียงอย่างเดียว นั่นคืออีเบลลีน่า อีเบลลีน่ากวาดตามองรอบห้องอันน่าเวทนา ก่อนจะบ่นงึมงำ
“ทำไมถึงยังไม่ตายอีก”
อีเบลลีน่าพูดแบบนั้นก่อนจะทรุดลงกับพื้น มือของนางหยิบเศษแจกันดอกไม้ที่แหลมคมขึ้นมา
“ทำไมจิตวิญญาณถึงยังกลับมาอีก เพราะเป็นนักบุญหญิงอย่างนั้นหรือ?”
ร่างกายของนางล้มลงไปด้านหน้าช้าๆ ไม่นานหลังจากนั้น ร่างที่นอนคว่ำอยู่ก็ขยับและส่งเสียงสะอึกสะอื้น ก่อนที่เสียงสะอึกสะอื้นจะกลายเป็นเสียงร้องโหยหวน
จิตสำนึกเริ่มจางลงอย่างรวดเร็ว
‘ใกล้จะตื่นขึ้นจากสภาพความเป็นจริงแล้ว’
ฉันควรจะสบายใจเมื่อคิดได้แบบนั้น แต่ฉันไม่อาจเอาเสียงร้องไห้ของอีเบลลีน่าที่ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องออกจากหูได้เลย
ความทรงจำของนางที่ฉันเห็นล้วนแต่เป็นเรื่องที่มีความสุข ทุกคนต่างก็รักและยกย่องนาง และนางเองก็ครอบครองพลังอันแกร่งกล้า ทว่าความทรงจำสุดท้าย นางกำลังพยายามฆ่าตัวตาย
ชีวิตของนางตรงกันข้ามกับฉัน ฉันไม่มีใครอยู่รอบข้างและไม่มีความสามารถที่โดดเด่นอะไรเลยจนไม่มีแม้กระทั่งสิ่งที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นความทรงจำ ทว่าฉันก็ตะเกียกตะกายเพื่อที่จะมีชีวิตรอดจนถึงที่สุด
ดังนั้นการที่ฉันจะไม่เข้าใจอีเบลลีน่ามันก็สมควรแล้ว
แต่เสียงร้องไห้ของอีเบลลีน่าที่ยังคงดังอยู่ทำให้ฉันรู้สึกเศร้าใจอย่างน่าประหลาด ความสิ้นหวังที่ไม่รู้สาเหตุและอารมณ์ที่น่าขนลุกเข้าโอบล้อมตัวฉันในจิตสำนึกที่กำลังเลือนราง เมื่อหันหน้ากลับก็เห็นชิ้นส่วนแสงในมือที่ถูกลืมไปแล้ว ฉันกำมันเอาไว้ด้วยแรงเฮือกสุดท้าย มันค่อยๆ จางหายไปราวกับซึมเข้าไปในฝ่ามือ
แม้รู้สึกว่าทัศนียภาพรอบข้างเปลี่ยนไป แต่ตาที่ปิดอยู่ทำให้ไม่สามารถมองมันได้ตรงๆ เสียงแปลกประหลาดดังเข้ามาในหูที่ยังไม่ปิด เสียงจ๊วบจ๊าบที่คล้ายกับเสียงดูดของที่เปียกชื้นและเสียงหอบหายใจหนักที่ดังขึ้นบางครั้ง
‘อีเบลลีน่า?’
ทันทีที่ฉันได้ยินเสียงไอที่เหมือนกำลังคายสิ่งที่น่าขยะแขยงออกมา ฉันก็รู้ว่าเสียงนั่นมาจากอีเบลลีน่า ขณะที่กำลังคิดว่านางกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ก็ได้ยินเสียงอื่นดังขึ้น
“ไม่ได้ อีเบลลีน่า อดทนและพยายามอีกหน่อยเถิด”
ทั่วทั้งร่างพลันขนลุกซู่ เหมือนกับที่ได้เห็นในความทรงจำอื่น นี่คือเสียงที่อ่อนโยนและอบอุ่นของคาร์ล เพราะฉะนั้นฉันถึงได้ขนลุก เสียงชื้นแฉะดังขึ้นอีกครั้ง เสียงร้องครางของอีเบลลีน่าดังขึ้นเป็นครั้งคราว แต่กลับไม่มีเสียงที่เป็นห่วงนางผู้นั้น และเสียงของคาร์ลดังขึ้นอีกครั้ง
“ห้ามลืมนะ อีเบลลีน่า ท่าน…ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ…อึก!”
ในน้ำเสียงของคาร์ลผสมผสานไปด้วยเสียงหายใจหอบถี่ เขาพูดต่อไป
“คนที่ต้อง…เสียสละให้”
ขณะที่เขาพูดจบ เสียงครางของอีเบลลีน่าก็ดังขึ้น ความทรงจำหยุดลงตรงนั้น ตอนที่เห็นความมืดกลับมาและกำลังจะหลับตาลง ฉันก็ได้ยินเสียงอีเบลลีน่าดังขึ้นจากที่ไกลๆ
การพาเจ้ามาเป็นเรื่องที่ผิดพลาด ข้าน่าจะอดทนจนถึงที่สุด
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความว่างเปล่าซึ่งไม่รู้ว่าแรงที่ใช้ตะโกนหายไปไหนแล้ว มิใช่พูดกับฉัน แต่เป็นเสียงพูดพึมพำที่เอ่ยออกมาราวกับกำลังเรียบเรียงความคิดของนางเอง
…โชคดีที่พลังยังไม่หายไปจนหมด เพราะยังมีกระดานชนวนอยู่
นั่นเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่ฉันจำได้ในจิตสำนึก
และขณะที่ได้สติกลับมาอีกครั้ง
“ท่านนักบุญหญิง!”
“นักบุญหญิง ได้สติหรือยัง?”
เสียงของราธบันและแอสรันที่ได้ยินจากด้านข้าง ทำให้ฉันอยากสลบไปอีกครั้ง