หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 10.6 อลหม่าน (6)
ราธบันมองภาพด้านหลังของนักบุญหญิงที่กำลังมุ่งไปยังห้องประชุม สัมผัสที่จับมือนางเมื่อครู่ก่อนยังคงหลงเหลืออยู่ในมืออย่างชัดเจน ใบหน้าที่หวาดกลัวและร่างกายที่สั่นจนมองผ่านๆ ก็ตระหนักได้ เขาซึมซับร่องรอยนั้นอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเลออนและแอสรันกำลังจ้องคาร์ลเขม็งอยู่ตรงนั้น
แอสรันเป็นคนเปิดปากพูดก่อน
“ข้าสัมผัสอะไรไม่ได้เลยเพราะปกคลุมไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์จนน่าสะอิดสะเอียด”
“ข้าบอกแล้วไงว่าให้ระวังปากของเจ้า”
แม้เขาจะสวมใส่ชุดเครื่องแบบของวิหารหลวงแต่สันดานก็ยังไม่เปลี่ยนไป ราวกับว่าแอสรันไม่มีความคิดที่จะระวังตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ทว่าพอได้ยินว่าหากเขาพักอยู่ที่นี่ด้วยรูปลักษณ์แบบเดิม มันจะสร้างความเสียหายให้แก่นักบุญหญิง แอสรันจึงได้ยอมเปลี่ยนสีตาและเก็บงำพลังเวท อาจเป็นเรื่องที่ทำให้เหล่าจอมเวทที่นับถือแอสรันเป็นลมเมื่อได้รู้ แต่สำหรับราธบันแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าประทับใจเลย
หากแอสรันสร้างความเสียหายแม้เพียงเล็กน้อยให้แก่นักบุญหญิง เขาจะไม่ยอมปล่อยไว้เฉยๆ แน่
ราธบันจดจำคำสัญญานั้นพลางจ้องแอสรันเขม็ง
เขาไม่เคยคิดจริงๆ ว่าสถานการณ์เช่นนี้จะมาถึง สถานการณ์ที่ต้องจับมือกับเลออนและแอสรัน
ทั้งสามคนด้วยความสัมพันธ์อันดี ไม่สิ ทั้งสามคนถูกไล่ออกมาจากห้องของนักบุญหญิงด้วยบรรยากาศที่เหมือนเลออนเป็นผู้ชนะ จากนั้นก็จ้องกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังไป ทว่าคืนต่อมา ทั้งสามก็กลับมาเจอกันที่เดิมอีกครั้ง
คนสามคนที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึมจ้องประตูที่ยังคงปิดสนิทและเลือกที่จะถอยออกมาจากที่นั่นก่อนโดยไม่พูดอะไร
และคนสามคนก็มายืนประจัญหน้ากันที่สวนอีกครั้ง เลออนเป็นคนเปิดปากพูดก่อน
“ผู้บัญชาการราธบัน นักบวชคาร์ลนั่นเป็นคนอย่างไรกันแน่?”
คำถามนั่นทำให้ดวงตาของแอสรันหรี่ลง นั่นเป็นคำถามที่เขาก็อยากถามเช่นกัน และแน่นอนว่านั่นก็เป็นคำถามที่ราธบันก็กำลังถามตัวเอง
“เพราะเหตุใดถึงได้ถามถึงนักบวชคาร์ลขึ้นมา”
หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงคิดว่าองค์ชายรัชทายาทผู้คอยจ้องตะครุบวิหารหลวงผู้นี้คงมีแผนอะไรในใจและเตรียมลับคมมีดแล้ว ทว่าสถานการณ์ตอนนี้ต่างออกไป
‘แปลก’
สิ่งที่ทำให้ราธบันรู้สึกถึงความผิดปกติอีกครั้งคือตอนที่เห็นเหล่านักบวชที่มาทักทายเขาเมื่อเช้า
คาร์ลเป็นนักบวชทั่วไปที่ไม่มีตำแหน่งอะไรเป็นพิเศษ เพราะตอนที่ส่งเขาไปยังวิหารห่างไกล นักบุญหญิงยึดทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาครอบครอง นางกล่าวว่าการจะเข้าไปใกล้ชิดชาวบ้านต้องมีความตั้งใจจริงของนักบวชมิใช่หรือ ก่อนจะปลดเขาออกจากทุกตำแหน่ง
แม้ผู้คนจะกล่าวว่านักบุญหญิงทำเกินไปและรู้สึกเห็นใจคาร์ล แต่ตัวคาร์ลเองกล่าวว่าหากเป็นเจตนารมณ์ของนักบุญหญิง ตนก็จะทำตามด้วยความยินดี เขาลงจากตำแหน่งของตนอย่างมีมรรยาทโดยไม่โต้แย้งอะไรทั้งสิ้น
ตำแหน่งที่เขาครอบครองในวิหารหลวงมิได้มีเพียงอย่างสองอย่าง เริ่มด้วยการเป็นผู้ให้ความรู้ของนักบุญหญิง ไปจนถึงการเป็นผู้รับผิดชอบหนังสือโบราณในห้องสมุดของวิหาร เขาต้องวางทั้งหมดลง หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อกำหนดนักบวชที่จะรับช่วงต่อตำแหน่งที่เขาวางลงได้ คาร์ลก็ไปพบพวกเขาทีละคนๆ ทิ้งของที่เขาเคยจัดการมาไว้ให้และบอกกล่าวถึงสิ่งที่ควรระวังทันที
เหล่านักบวชที่หัวใจหนักอึ้งเพราะรู้สึกเหมือนตนไปแย่งตำแหน่งของคาร์ลมา ยิ่งรู้สึกผิดต่อคาร์ลผู้ยังคงยิ้มและอธิบายทุกอย่างที่ตนรู้ให้ฟังมากขึ้น ดังนั้นในวันที่คาร์ลจากไปพวกเขาจึงอยู่ส่งจนถึงสุดท้าย และในตอนนี้ที่เขากลับมา พวกเขาก็ออกมาต้อนรับเขาด้วยความยินดีก่อนใคร
“ยินดีเหลือเกินที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งเช่นนี้ ท่านนักบวชคาร์ล ข้ารอวันที่ท่านนักบวชคาร์ลจะกลับมาอยู่เสมอ”
บรรยากาศประหนึ่งว่าพวกเขาจะคุกเข่าลงไปร้องไห้ต่อหน้าคาร์ลบัดเดี๋ยวนั้น ตอนนี้ทุกคน กระทั่งคนที่ได้เลื่อนขึ้นไปเป็นนักบวชระดับสูงเองก็กำลังค้อมตัวต่อหน้าคาร์ลผู้เป็นนักบวชทั่วไป
‘นี่มันเป็นไปได้หรือ…?’
เมื่อก่อนเขาคิดว่าเหล่านักบวชทุกคนแสดงความเคารพเพราะการมีหน้ามีตาของคาร์ลและมองข้ามไป ทว่าตอนนี้ราธบันกลับรู้สึกว่าท่าทางเช่นนั้นของเหล่านักบวชมันมากเกินไป ทุกคนศรัทธาและเชื่อฟังคาร์ล ทั้งที่ควรมีสักคนที่น่าจะมีอารมณ์อิจฉาซึ่งแม้แต่นักบวชก็ยังควบคุมไม่ได้ แต่ทุกคนกลับทำเพียงก้มศีรษะต่อหน้าคาร์ลเท่านั้น
‘…ได้อย่างไร?’
แม้จะบอกว่าเขาใจดี มีเมตตาและถ่อมตัวกับทุกคน แต่สิ่งนั้นมันจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาได้รับความเลื่อมใสที่ใกล้เคียงกับความคลั่งไคล้จากทุกคนเลยหรือ
วันต่อมา เลออนที่ได้พบกันหน้าห้องเอ่ยถามถึงคาร์ล เมื่อเขาถามหาเหตุผล เลออนยังคงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“…ข้าถามเพราะวิธีการพูดของเขาดูไม่เหมือนนักบวช ก่อนเข้ามาในวิหารหลวงเขาเป็นคนที่ไหนหรือ?”
บนสีหน้าของเลออนไม่ปรากฏแววหยอกล้อและพูดเล่น ผู้ที่กำลังถามถึงคนน่าสงสัยตรงหน้าตนตอนนี้คือองค์ชายรัชทายาทของจักรวรรดิผู้เฉลียวฉลาดและหลักแหลม
“นักบวชคาร์ลเข้ามาในวิหารหลวงตั้งแต่เกิด”
“เป็นไปไม่ได้”
เลออนส่ายหน้าอย่างเคร่งเครียด เช้าวันนี้เลออนเองก็เคลื่อนไหวเช่นกัน เขาคิดว่าอย่างไรเขาก็ควรไปพบด้วยตัวเองว่านักบวชคาร์ลผู้ที่ทำให้วิหารหลวงแตกตื่นคือใคร
‘เห็นว่าเป็นคนที่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้อาวุโสคนต่อไปมากที่สุด’
ยิ่งทุกคนล้วนแต่เอ่ยชมเขาเหมือนกันหมดก็ยิ่งทำให้เลออนเกิดความสงสัย ตอนแรกเขาจึงตั้งใจจะไปตีสนิท ความคิดที่จะพานักบุญหญิงออกไปจากวิหารหลวงก็ยังไม่เปลี่ยนไป รวมถึงความคิดที่จะนำวิหารหลวงมาอยู่ใต้จักรวรรดิด้วย
‘ต้องไปดูว่าเขาเป็นคนที่พอจะค้ำจุนวิหารหลวงที่ไม่มีนักบุญหญิงได้ไหม’
เลออนไปบ้านของคาร์ลด้วยความตั้งใจที่จะคัดเลือกคนรับใช้ที่จะมาดูแลบ้านให้เจ้าของที่จะกำลังจะหายไป
องค์ชายรัชทายาทของจักรวรรดิ เป็นตำแหน่งที่สามารถแซงแขกที่มาต่อแถวยาวเหยียดและพบคาร์ลได้ก่อนใคร
“เป็นเกียรติมากที่ท่านผู้สูงศักดิ์มาพบข้าถึงที่นี่”
ท่าทางของคาร์ลที่ลุกขึ้นมาค้อมศีรษะกล่าวทักทายทำให้สีหน้าเลออนเคร่งเครียดขึ้น
‘คนผู้นี้…’
เลออนมองคาร์ลที่เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ
เลออนได้รับการสั่งสอนมากมายตั้งแต่ยังเด็ก สิ่งที่เขาสนใจเป็นพิเศษและได้รับการอบรมมานานมากที่สุดคือศิลปะการพูด อาจารย์ของเขาพูดอยู่เสมอ
“การดึงดูดความประทับใจจากคนอื่นเป็นเรื่องที่ง่ายดายกว่าที่คิด สิ่งเล็กๆ น้อยๆ จะปลุกความประทับใจที่อยู่ใต้จิตสำนึกขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น ความดังของเสียง ความเร็วในการพูด อากัปกิริยาในการทักทาย”
เลออนเรียนรู้ทุกอย่างเหล่านั้น ดังนั้นเพียงแวบเดียวเขาก็รู้
คาร์ลเป็นคนที่ดึงดูดความประทับใจของคนอื่นโดยเจตนา
เลออนตัดสินใจได้ทันทีว่าควรปฏิบัติตัวกับคาร์ลอย่างไร เขานั่งลงบนเก้าอี้ก่อนที่จะได้รับคำชวนจากคาร์ลผู้เป็นเจ้าของห้อง จากนั้นพูดขึ้นราวกับตนเป็นเจ้าของเสียเอง
“นั่งลงได้แล้วกระมัง ดูแล้วเหมือนขาเจ้าก็ไม่ค่อยสบายด้วย”
คำพูดแล้วเลออนทำให้คาร์ลและเหล่านักบวชที่อยู่รอบข้างหยุดการเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ นักบวชหลายคนถึงกับมีสีหน้าไม่พอใจเมื่อได้ยินคำพูดของเลออนอย่างเปิดเผย เลออนรีบพิจารณาสีหน้าของพวกเขาอย่างรวดเร็ว
‘แปลกจริง’
ความไม่พอใจที่เหล่านักบวชแสดงออกมาไม่ใช่เรื่องปกติ จนถึงตอนนี้ แม้จะเป็นตำแหน่งของทางโลก แต่เหล่านักบวชในวิหารหลวงก็ปฏิบัติกับเขาผู้เป็นองค์ชายรัชทายาทอย่างยกย่อง ดังนั้นต่อให้มีเรื่องที่ทำให้ไม่พอใจนิดหน่อยพวกเขาก็ไม่เคยสูญเสียรอยยิ้มมาก่อน
ทว่าตอนนี้พวกเขากลับแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อเขาจนน่าตระหนก หากตอนนี้เขาเอ่ยดูแคลนพระเจ้าตรงนี้ บางทีคงได้รับสายตาที่นุ่มนวลกว่านี้ก็เป็นได้
เลออนรู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องตรวจสอบคนชื่อคาร์ลมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงเลือกภาพลักษณ์องค์ชายรัชทายาทที่มีความมั่นใจและเย่อหยิ่งซึ่งน่าจะทำให้อีกฝ่ายเปิดเผยอารมณ์ออกมาได้ง่ายขึ้น
ทันทีที่คาร์ลเดินกระโผลกกระเผลกมาและนั่งลง นักบวชระดับสูงคนหนึ่งก็ฟังคำกระซิบบางอย่างจากนักบวชด้านข้างก่อนที่สีหน้าจะมืดครึ้ม
‘เห็นได้ชัดว่าเป็นนักบวชที่ปกป้องคาร์ล’
หนึ่งในนักบวชระดับสูงที่เขาเคยโน้มน้าวเองก็เป็นคนที่ปกป้องคาร์ลเป็นพิเศษ เลออนจำท่าทางที่เขาบ่นพึมพำว่าหากคาร์ลกลับมาแล้วตำแหน่งของผู้อาวุโสมันก็เกินความสามารถได้ชัดเจน และตอนนี้เขาผู้นั้นก็กำลังทำสีหน้าอึมครึมมาทางเลออน
เลออนเงยหน้ามองคาร์ลที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เลออนได้รับรายงานมาเช่นกันว่าหลังจากที่คาร์ลกลับมาก็มีนักบวชจำนวนมากมารวมตัวกันเพื่อทักทายเขา แม้แต่ตอนนี้ ด้านในและด้านนอกห้องแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยนักบวชที่มาเพื่อพบคาร์ล
‘แต่ก็ไม่น่ามีเวลามาพูดคุยกันไปทีละคนๆ ได้นี่’
เลออนแสร้งทำเป็นไม่เห็นสายตาเกลียดชังที่พรั่งพรูมาทางตนพลางขยับศีรษะ
‘แต่คนเรามันจะล่อลวงใครได้ขนาดนี้เลยหรือ?’
ต่อให้บอกว่าเขาคุ้นเคยกับการดึงดูดความประทับใจของอีกฝ่าย แต่ตราบใดที่มันไม่ใช่เวทมนตร์ อย่างไรก็เป็นวิธีที่มีข้อจำกัด อีกทั้งยังเป็นวิธีที่ไม่ได้ผลชัดเจนถ้าอีกฝ่ายเฝ้าระวังไว้ แต่เขากลับทำให้คนมากมายขนาดนี้มายืนเคียงข้างตนโดยไม่หวังผลตอบแทนได้ถึงเพียงนี้ นี่มันเป็นไปไม่ได้
ไม่นานคำตอบเกี่ยวกับคำถามของเรื่องนี้ก็ลอยเข้ามาในหัวของเลออน
‘มันถูกเตรียมไว้มานานแล้ว’
เลออนออกแรงที่มือที่จับพนักพิงเก้าอี้ ภายในปากรู้สึกแห้งผาก เขารู้สึกถึงความตื่นเต้นที่ทำให้สติแจ่มใสขึ้นมาพร้อมกัน
คาร์ลเริ่มจัดการเหล่านักบวชที่อยู่ที่นี่ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกันแล้ว มันไม่ใช่เรื่องยาก จากที่ฟังมา เขาได้ทำเรื่องมากมายภายในวิหารหลวงก่อนที่จะถูกไล่ไปอยู่วิหารเขตชายแดน
เขาคงให้คำแนะนำมากมายอยู่เคียงข้างและร่วมทำงานจนดึกดื่นกับเหล่านักบวชที่เพิ่งเข้ามาในวิหารหลวงครั้งแรก หรือไม่ก็เหล่านักบวชที่ยังไม่คุ้นชินกับงาน มนุษย์ย่อมมีไมตรีอย่างลึกซึ้งแก่คนที่ร่วมฝ่าฟันความลำบากมาด้วยกัน ทั้งยังเป็นคนที่ให้ความช่วยเหลือตน ไมตรีที่เรียกว่า ‘พวกเรา’ ที่จะมัดรวมตนและอีกฝ่ายเป็นหนึ่งเดียว
‘การที่จะรักษาระดับขนาดนี้ไว้…หมายความว่าเขายังคงจัดการมันแม้ไปยังที่ห่างไกลแล้ว…’
ไม่ใช่เรื่องยากที่คาร์ลจะรักษาความเลื่อมใสและความประทับใจนี้ไว้ขณะที่อยู่ในวิหารหลวง แต่เรื่องราวจะต่างออกไปหากเขาจากไปอยู่ไกลแล้ว มนุษย์ลืมง่ายถ้าไม่ได้อยู่ข้างกัน
‘เขาคงติดต่อกันทางจดหมายกับคนที่มีความจำเป็นแก่เขาอยู่แน่’
เลออนตั้งใจว่าพอออกไปจากที่นี่ ตนจะลองไปค้นหาจดหมายที่เหล่านักบวชที่กำลังจ้องตนเขม็งอยู่ตอนนี้ได้รับจากคาร์ลดู บางทีถ้าได้อ่านมัน ความคิดของเขาอาจจะได้รับการยืนยัน
เลออนพิจารณาดูคาร์ลที่กล่าวกับเหล่านักบวชคนอื่นว่าให้หลบออกไปชั่วครู่และขอให้เข้าใจ
คำว่าไม่มีพิษไม่มีภัยคงเป็นเช่นนี้เมื่อกลายเป็นมนุษย์ รูปลักษณ์ที่หาจุดโดดเด่นได้ยาก แม้หน้าตาจะธรรมดาและเรียบง่าย แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือบนใบหน้าของเขามีความเงียบสงบซึ่งชายที่อยู่ในช่วงวัยกลางคนไม่อาจมี
รูปตาที่โค้งขึ้นอย่างอ่อนโยนและมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อย ภาพลักษณ์ที่ราวกับทั้งชีวิตไม่เคยโกรธออกมาเลยสักครั้ง ทำให้ดูเหมือนว่าเขากำลังยิ้มอยู่ตลอดเวลา ใบหน้าที่เรียกได้ว่า ‘ใบหน้าแบบนี้แหละที่เป็นใบหน้าที่เหมาะสมกับนักบวชผู้ได้รับการยกย่องในวิหารหลวง’
‘เป็นคนน่าสนใจ’
เขาเพียงแค่ตั้งใจมาดูว่าผู้เข้าคัดเลือดผู้อาวุโสที่ได้รับความรักและความเคารพจากทุกคนจะเป็นนักบวชที่น่าเบื่อหน่ายถึงเพียงไหน แต่ใครจะไปคิดว่าจะได้มาเห็นงูดำที่กำลังทำท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูแอบซ่อนตัวอยู่ใต้หนังแกะแบบนี้
เลออนชอบของน่าสนใจ
‘เป้าหมายคืออะไร’
เลออนชักสงสัยว่าเป้าหมายของคาร์ลที่ซื้อความชื่นชอบจากคนในวิหารหลวงและกำลังเล่นลิ้นอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คืออะไร
‘ผู้อาวุโส?’
หากนั่นคือเป้าหมายล่ะก็ อีกไม่นานของที่คาร์ลต้องการก็คงจะมาอยู่ในมือของเขาแล้ว มิใช่ว่ารอบข้างก็ปรนนิบัติราวกับว่าเขาเป็นผู้อาวุโสแล้วหรอกหรือ หรือต่อให้ดูจากคุณสมบัติของผู้เข้าคัดเลือกผู้อาวุโสทั้งหมด คาร์ลก็ครอบครองตำแหน่งที่โดดเด่นอยู่ดี และยังได้รับกระทั่งการสนับสนุนจากผู้คนเช่นนี้ นี่แทบไม่มีความจำเป็นต้องดูผลเลยด้วยซ้ำ
คาร์ลผู้ทุ่มเทเอาใจใส่เหล่านักบวชรอบข้างมาเป็นเวลานาน แต่เมื่อหลายปีก่อนกลับถูกปลดออกจากตำแหน่งทั้งหมดและส่งไปทิ้งอยู่ที่วิหารซึ่งอยู่ชายแดนราวกับถูกขับไล่ด้วยคำสั่งของนักบุญหญิง ทว่าเขากลับอดทนต่อความยากลำบากที่ตนประสบโดยไม่โต้แย้งใดๆ และสุดท้ายก็กลับมายังวิหารหลวงเพื่อเข้ารับตำแหน่งของผู้เข้าคัดเลือกผู้อาวุโส
เขาควรปรบมือให้กับการเดินทางที่เต็มไปด้วยความพยายามจนทำให้น้ำตาไหลหรือไม่
เลออนคิดเช่นนั้นพลางทำสัญญาณมือให้กับทหารคนสนิทของตน ทันใดนั้น ทหารคนสนิทก็ถือกล่องที่ห่อเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าเดินเข้ามา
“นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ที่จักรวรรดิส่งมาให้เจ้า”
“…หมายถึงข้าหรือขอรับ?”
เลออนพยักหน้าให้คาร์ลที่ย้อนถามด้วยใบหน้าสงสัย พร้อมกับคิดไปด้วยว่าใบหน้าที่แสร้งทำเป็นตกใจนั่นมันช่างเป็นธรรมชาติเสียจริง และเขาเองก็จะพ่ายแพ้ให้กับความเป็นธรรมชาตินั่นไม่ได้
“ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ปฏิเสธและรับไป”
“มีเหตุผลที่อะไรที่ข้าได้รับของขวัญเช่นนี้…”
“ได้ยินมาว่าเหล่าอัศวินของจักรวรรดิเคยได้รับความช่วยเหลือจากเจ้ามามากขณะที่เจ้ายังอยู่ในวิหารหลวงสมัยก่อน ฉะนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ปฏิเสธและรับไป”
สายตาของเหล่านักบวชที่ยังไม่ออกจากห้องไปหันมายังกล่องที่ถูกห่อไว้ซึ่งถืออยู่ในมือของทหารคนสนิท แม้พวกเขาจะรู้ว่าการจ้องมองอย่างเปิดเผยเช่นนี้เป็นการเสียมารยาท แต่สายตาของพวกเขากลับไม่หลุดออกจากกล่องเลย ไม่ว่าจะมีความโลภหรือไม่ แต่มนุษย์ย่อมมีความสงสัยในสิ่งของที่ไม่รู้ว่าจะออกมาเป็นอะไร นั่นคือสัญชาตญาณ
แล้วคาร์ลจะมีการตอบสนองแค่ไหนกัน
เลออนคาดหวังพลางพิจารณาปฏิกิริยาของคาร์ล ทว่าคาร์ลกลับเพียงทำสีหน้าคล้ายว่าตกใจแล้วหันไปมองทหารคนสนิทชั่วครู่ ก่อนจะเบนสายตากลับมาทางเลออน เลออนหลบสายตาของเขาโดยแสร้งทำเป็นมองที่อื่นพลางแอบมองคาร์ล เขาเห็นขาข้างที่ไม่ค่อยดีของคาร์ลกำลังสั่นน้อยๆ แสดงให้เห็นถึงความรีบเร่งที่แอบซ่อนไม่ไหว
“คิดดูแล้ว…”
เลออนมองคาร์ลเอ่ยปากชวนตนคุยพลางเท้าคางด้วยสีหน้าเอื่อยเฉื่อย การเอ่ยปากคุยกับเขาเร่งด่วนกว่าของขวัญอย่างนั้นหรือ ดูเหมือนเขาจะมีอะไรที่ต้องการและอยากรู้จากเขาผู้เป็นองค์ชายรัชทายาท ตอนนี้คาร์ลเปิดปากพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ย้อมไปด้วยความคิดถึง
“เห็นว่าองค์ชายรัชทายาทสนิทสนมกับท่านนักบุญหญิงเรา”
ชั่วขณะนั้น เลออนพลันรู้สึกเหมือนเลือดเย็นลงจนยะเยือก เพราะเขาตระหนักได้แล้วว่าคาร์ลต้องการอะไร
“สนิทอะไรกัน”
เลออนระเบิดเสียงหัวเราะพลางตอบกลับไปด้วยสีหน้าราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เขาจงใจแสดงท่าทางโอ้อวดเกินจริงเท่าที่จะทำได้ ปลายนิ้วมือที่โบกอยู่ด้านหน้าเย็นเชียบ แต่ลิ้นของเขากลับขยับอย่างลื่นไหลยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“ข้าเป็นฝ่ายร้องขอจะพบอยู่ฝ่ายเดียวจนท่านนักบุญหญิงรำคาญ”
ขณะที่การปิดบังทำได้ยาก การพูดความจริงออกไปจะดีที่สุด ดังนั้นหลังจากพูดความจริงไปแล้ว เลออนจึงจัดการท่าทางของตนได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เลออนชอบเรื่องน่าสนใจ ยิ่งเป็นเรื่องที่อันตรายก็ยิ่งชอบ ความรู้สึกหวาดเสียวที่สัมผัสได้ขณะที่เผชิญหน้ากับเรื่องอันตรายจะปลุกสัมผัสทุกอย่างในร่างให้ตื่นอยู่เสมอ ทว่าครั้งนี้เลออนกลับรู้สึกอึดอัดใจมากกว่าที่เคยเป็นครั้งแรกเมื่อเจอเรื่องอันตราย
สิ่งที่คาร์ลต้องการ คือนักบุญหญิง