หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 11.2 คาถา (2)
เลออนกำลังโยนเหยื่อล่อ
เขาอยากอธิบายสถานการณ์ของตนตอนนี้แบบนั้น
‘ดีมากที่เตรียมการมาก่อน’
การที่เขาไปพบกับเหล่านักบวชก่อนที่คาร์ลจะกลับมาไม่ใช่เรื่องเปล่าประโยชน์ แม้ความคิดเกี่ยวกับตำแหน่งผู้อาวุโสของแห่งวิหารหลวงอาจจะต่างกันไปแต่พวกเขาก็หลีกเสี่ยงสายตาผู้คนและตระหนักได้ดีถึงมูลค่าของที่เลออกมอบให้ เพราะฉะนั้นเลออนจึงได้รับอนุญาตจากนักบวชหลายคนและได้เข้ามานั่งในฐานะของผู้สังเกตการณ์ในการประชุมคัดเลือกผู้อาวุโสได้โดยไม่มีปัญหา แน่นอนว่ามันไม่ใช่โอกาสที่ได้รับมาง่ายๆ
การที่คนนอกอย่างเลออนได้เข้ามาในการประชุมที่สำคัญเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าขณะที่ราธบันปรากฏตัวออกมารับประกันตัวตนให้เขา ทุกคนก็อนุญาตเลออนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรอีก
“สมกับเป็นราธบัน…”
อันที่จริงแล้วเป็นเพราะการเสียสละตนเองของราธบันมิใช่หรือที่ทำให้ยังรักษาเกียรติยศของวิหารที่กำลังจะพังทลายลงไว้ได้ อีกทั้งยังได้ยินว่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชายแดนที่เขาเข้ามาช่วยชีวิต ในตอนกล่าวบทสวดภาวนาตอนสุดท้าย พวกเขายังกล่าวชื่อของราธบันแทนชื่อของพระเจ้าเสียอีก
ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ราธบันมีอิทธิพลมากยิ่งกว่านักบุญหญิง ไม่มีใครใส่ร้ายป้ายสีเขาเพราะทุกคนรู้ว่าเขาเชื่อฟังพระเจ้าและรับผิดชอบหน้าที่ของตนมากกว่าใคร รวมถึงเขายังแข็งแกร่งกว่าใครในแผ่นดินด้วย
ในบรรดาทหารคนสนิทที่ติดตามเลออนก็มีคนที่เป็นอัศวินของจักรวรรดิด้วยเช่นกัน เขามีสีหน้าปลื้มปิติทันทีที่ได้เห็นราธบันจากที่ไกลๆ จากนั้นก็เอ่ยกล่าวคำพูดที่เขาไม่ได้ถาม
“องค์ชายรัชทายาทอาจจะไม่เคยเห็นเลยไม่รู้พ่ะย่ะค่ะ การที่อัศวินแบบพวกเราได้ใช้ชีวิตอยู่ในยุคเดียวกับคนผู้นั้นทั้งเป็นเกียรติ และขณะเดียวกันก็รู้สึกเศร้าใจด้วยพ่ะย่ะค่ะ เพราะเขาเป็นเหมือนกำแพงที่ไม่มีวันข้ามไปได้”
ใครได้ยินคงนึกว่าเขาจะมอบเงินเดือนและตำแหน่งของตนให้ราธบัน เลออนกล่าวเหน็บแนมไปว่าหากพูดสรรเสริญองค์จักรพรรดิด้วยสีหน้าและน้ำเสียงแบบนั้นคงได้เลื่อนขั้นอย่างน้อยสี่ขั้นไปแล้ว แต่ต้องขอบคุณที่นั่นทำให้เขาได้รู้ว่าราธบันได้รับความเลื่อมใสจากผู้คนมาเพียงไหน
‘ตอนนี้เป็นประโยชน์ก็จริง…’
แต่หลังจากนี้จะเป็นอุปสรรค
เลออนฝังร่างเข้ากับเก้าอี้ จากนั้นใช้เท้าดันปลายโต๊ะแล้วโยกเก้าอี้อย่างหวาดเสียว เลออนชอบสภาพเช่นนี้ที่หากเขาพลาดไปนิดเดียวก็จะล้มลงทันที บนใบหน้าของเขาที่กำลังสนุกสนานกับการโยกเยกที่อันตรายมีรอยยิ้มไม่พอใจปรากฏขึ้น
‘ถึงจะร่วมมือกันแต่ไม่คิดจะแบ่งปันหรอกนะ’
เลออนย้อนนึกถึงอีกฝ่ายที่ทำให้ชายทั้งสามกระดิกหางให้ สีหน้าหวาดกลัวขณะที่นักบวชคาร์ลเดินเข้ามาใกล้ และใบหน้าโล่งใจขณะที่พวกเขาจับนางเอาไว้แวบผ่านในหัวของเขาตามลำดับ
นั่นมันถ้าได้เห็นคนเดียวคงจะดีมากแท้ๆ เขาย้อนคิดถึงภาพของนักบุญหญิงที่ได้เห็นก่อนหน้านี้เพื่อบรรเทาความเสียดายที่โหมเข้ามา บางทีภาพของนักบุญหญิงที่หยุดดูนู่นดูนี่ในหมู่บ้านนอกวิหารหลวงก่อนที่จะเดินได้ถึงสามก้าวคงเป็นภาพที่มีเขาคนเดียวที่เห็น
ตอนนี้ในหัวของเลออนมีภาพของราธบันและแอสรันลอยเข้ามาอีกครั้ง รวมถึงภาพของคาร์ลที่มีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ในห้องประชุมที่จบลงอย่างวุ่นวายก็ลอยเข้ามาพร้อมกัน
“หากไม่มีข้าจะทำอย่างไร”
อัศวินและจอมเวท คนสองคนที่ครอบครองพลังซึ่งเลออนไม่มี เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีความจำเป็นต่อนักบุญหญิง ทว่าการต่อสู้มิได้มีเพียงแค่การใช้กำลังเท่านั้น บางทีหากเป็นในสนามที่ต้องสู้กับปีศาจก็ไม่แน่ แต่ที่นี่คือวิหารหลวงซึ่งต้องใช้ฝีปาก มิใช่ดาบในการต่อสู้
สนามรบที่เขาสามารถโลดแล่นได้ดีที่สุดทำให้เลออนรู้สึกขอบคุณ ท้ายที่สุด คนที่จะชนะในตอนสุดท้ายจะต้องเป็นเขา
ก๊อกก๊อก
“เข้ามาได้”
ทันทีที่เอ่ยตอบเสียงเคาะประตู ไม่นานหนึ่งในทหารคนสนิทของเขาก็เข้ามาและค้อมศีรษะ
“มีเรื่องอะไร?”
“ตอนนี้ด้านนอก ท่านนักบวชคาร์ลมาพบพ่ะย่ะค่ะ”
“…อะไรนะ?”
เลออนขยับตัวอย่างพรวดพราดทันทีที่ได้ยินชื่อคาร์ล นั่นเลยทำให้เก้าอี้ที่โยกเยกอยู่ซวนเซคล้ายจะล้มลง แต่เลออนก็จับศูนย์กลางได้อีกครั้งอย่างมีพรสวรรค์ และลุกขึ้น
“…พาเขาเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เลออนมองกระจกทันทีที่ทหารคนสนิทออกไป ตอนพบคาร์ลคราวที่แล้ว เขาเลือกภาพลักษณ์ขององค์ชายรัชทายาทที่อวดดีและเอาแต่ใจพอประมาณ วันนี้ลองเพิ่มอะไรลงไปหน่อยดีไหม เขาครุ่นคิดสั้นๆ เนื่องจากคาร์ลไม่ใช่คนธรรมดา ดังนั้นเลือกภาพลักษณ์ที่ต้องโกหกน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จะสบายที่สุด
เลออนมองกระจกพลางจงใจทำให้เสื้อหลายส่วนยับยู่ยี่และปรับสีหน้า ผ่านไปสักพัก ในกระจกก็สะท้อนภาพของเขาที่ดูวิตกกังวลและเต็มไปด้วยความหงุดหงิดยืนอยู่ การทำสีหน้าแบบนี้ไม่ยากเลย เพราะเป็นสีหน้าที่เขาทำออกมาเองเมื่อนึกถึงราธบันกับแอสรัน
เพราะเขาจงใจถอดพรมออกเลยทำให้ได้ยินเสียงเดินเอี๊ยดอ๊าดมาจากด้านนอกประตู เสียงที่ดังอย่างประหลาดกำลังบอกว่าคนที่เดินเข้ามาคือคาร์ลจริงๆ
‘โยนเหยื่อไปก็จริง แต่ใครจะคิดว่าคนที่ต้องการแต่แรกจะมางับมัน’
เลออนยุ่งมากหลังจากจบการประชุมลง เพราะเขาต้องทำงานที่ราธบันและแอสรันทำไม่ได้ ต้องไปพบนักบวชหลายคน จากนั้นก็แอบเปิดเผยสิ่งที่ตนต้องการให้พวกเขารู้ สิ่งนั่นเหมือนกับสิ่งที่คาร์ลต้องการ
‘คิดไว้แล้วว่าจะต้องมีการตอบสนอง’
คนที่เพ่งเล็งของเหมือนกัน ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างการจับมือกับอีกฝ่ายหรือไม่ก็ตัดมือของอีกฝ่าย แน่นอนว่าเลออนคิดว่าคาร์ลเป็นคนประเภทที่เลือกแบบหลังจึงไม่ได้ระแวงอะไร และแน่นอนว่าเขาเองก็เป็นคนที่เลือกแบบหลังเช่นกัน ทว่า
‘มันง่ายกว่านี่นาถ้าแสร้งทำเป็นจับมือกันจากนั้นเรียนรู้ว่าเขาจะตัดตอนไหน’
เลออนตัดสินใจแล้วว่าการพบกันบ่อยๆ และคอยทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของเขามันดีกว่าการเฝ้าระวังอยู่ไกลๆ ผู้ที่ไม่อาจพลาดการเคลื่อนไหวได้แม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นคงต้องแกล้งโง่แล้วสะบัดหางให้เขาสักหน่อย
ไม่นานทหารคนสนิทและคาร์ลก็ปรากฏตัวขึ้น เขาแสร้งทักทายอย่างยินดีสั้นๆ เลออนจงใจปล่อยให้คาร์ลยืน เมื่อเห็นร่างของเขาเริ่มสั่นโงนเงน ตอนนั้นเองถึงได้เอ่ยชวนให้เขานั่งลงราวกับเพิ่งนึกได้ แม้เพียงเล็กน้อย แต่การเหน็บสภาพร่างกายของเขาก็เป็นโอกาสที่จะทำให้เลออนดูเสียมารยาท
“เจ้ามาพอดีเลย อันที่จริงข้ามีอะไรที่อยากจะขอร้องเจ้า”
แม้เขาจะใช้คำพูดระดับต่ำราวกับกำลังคุยกับผู้ใต้บังคับบัญชาของตน แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของคาร์ลก็ยังคงไม่เปลี่ยนไป
“มีเรื่องอะไรที่พอจะให้องค์ชายรัชทายาทขอร้องนักบวชตัวไปเช่นข้าด้วยหรือ สิ่งที่ข้าทำได้มีเพียงนำทางในวิหารหลวงเท่านั้น อีกทั้งข้ายังไม่อยู่ที่นี่มานาน บางทีอาจจะแนะนำได้ไม่ดีเสียด้วยซ้ำ”
“เห็นว่าเจ้าอยู่ในวิหารหลวงมานาน ต่อให้ที่นี่เปลี่ยนไปแล้วมันจะเปลี่ยนไปมากเท่าไรกัน ยิ่งกว่านั้น…”
เลออนทำสัญญาณมือไล่ให้ทหารคนสนิทที่ยืนอยู่ตรงมุมห้องออกไป พลังจากทหารคนสนิทออกไป เลออนจงใจสั่นขาและถูมือราวกับกระสับกระส่ายแล้วเปิดปากพูด
“พอได้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ข้าก็ได้รู้อย่างชัดเจน เจ้าจะได้เป็นผู้อาวุโสคนถัดไป”
“พูดอะไรกันขอรับ นั่นเป็นเรื่องที่ยังไม่แน่นอนจนกว่าการประชุมจะสิ้นสุด”
“ถ่อมตนอะไรกัน ใครที่มีตาก็รู้ทั้งนั้น แม้ว่าการประชุมจะถูกระงับไปเพราะจู่ๆ ผู้บัญชาการราธบันก็ขอให้ปลดจากตำแหน่งอะไรไม่รู้ แต่อย่างไรนี่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น”
“…”
เพราะเลออนพูดย้ำราวกับห้ามไม่ให้ปฏิเสธทำให้คาร์ลไม่ตอบโต้อีกและปิดปากลง
“เอาเป็นว่าที่ข้าอยากพูดไม่ใช่เรื่องนี้…พูดตามตรงเลยคือข้ามีความสนใจในตัวท่านนักบุญหญิงมาก ไม่รู้ว่าเคยได้ยินมาบ้างหรือไม่ ดังนั้นข้าจึงขอพบท่านอยู่หลายครั้งและก็เป็นเกียรติมากที่ข้าได้มีโอกาสพบท่านอยู่หลายหน พอได้พบด้วยตนเองแล้วถึงได้รู้ว่ามีหลายจุดที่ต่างจากข่าวลือในโลกนี้อยู่มาก”
“ข่าวลือในโลก….”
“ไม่รู้หรือ? แต่ก็นะ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าฟังสำหรับเหล่านักบวชเท่าไรหรอก”
เลออนโบกมือราวกับมันไม่ใช่เรื่องดีเลย
“อย่างไรก็ตาม ข้าอยากจะพบท่านนักบุญหญิงให้มากกว่านี้ มิใช่แค่การพบทั่วไป แต่อยากจะสนทนาเรื่องสำคัญเพื่อความสัมพันธ์ระหว่างวิหารหลวงและจักรวรรดิในอนาคต”
พอไม่ได้โกหกแล้ว ลิ้นก็ขยับไม่หยุดอย่างสนุกสนานเลยทีเดียว
“แล้วเรื่องที่ท่านจะขอร้องข้าคือ…”
“อันที่จริง…ช่วงนี้ท่านนักบุญหญิงอยู่กับราธบันมากเหลือเกิน เลยไม่ค่อยมีเวลาให้ข้าเลย คืองี้นะ…”
เลออนจงใจเข้าไปใกล้คาร์ลและกล่าวเสียงต่ำ
“พอเจ้าได้เป็นผู้อาวุโสแล้ว สามารถมอบหมายหน้าที่ใหม่ให้ผู้บัญชาการราธบันเลยได้หรือไม่? ยิ่งไปไกลเท่าไรก็ยิ่งดี”
เลออนเองก็ยังคิดว่านี่ช่างเป็นการไหว้วานที่โง่เง่าและสิ้นคิดเลยทีเดียว เขากำลังไหว้วานคนที่แสร้งทำตัวอ่อนน้อมใช้ความศรัทธาอันซื่อสัตย์มาเป็นอาวุธให้มาร่วมมือกับตนและกำจัดผู้บัญชาการอัศวินแห่งวิหาร เป็นการไหว้วานที่คาร์ลไม่มีทางรับฟัง และยังเป็นการไหว้วานที่คาร์ลไม่ได้รับผลประโยชน์ ทว่าพอเป็นการไหว้วานที่เต็มไปด้วยความใจจริงแล้ว คำพูดก็ไหลออกมาไม่หยุดเลยจริงๆ
“นั่นเป็นไปไม่ได้ขอรับ ไม่ใช่เพียงแต่ข้ายังไม่ได้เป็นผู้อาวุโส แต่หรือต่อให้ข้าได้เป็นก็คงไม่อาจทำตามคำร้องขอนั้นได้”
คาร์ลกล่าวอย่างเฉียบขาดคล้ายว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก เลออนรู้สึกอับอายขายขี้หน้าและจ้องไปที่คาร์ลด้วยสายตาขุ่นเคือง เสมือนว่าตนเป็นองค์ชายรัชทายาทที่ไม่มีความคิดลึกซึ้งจริงๆ
ตอนนั้นเอง คาร์ลกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“…ท่านศรัทธาท่านนักบุญหญิงหรือ”
เลออนกำหมดเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดเสียงต่ำของคาร์ล พร้อมกับคิดว่าจะกัดไอ้เหยื่อตัวนี้ให้แน่นเลย
คาร์ลมองเลออน ผู้ที่ครอบครองทุกอย่างทั้งความหนุ่ม รูปหล่อและแข็งแรง ผู้ที่มีทุกอย่างที่เขาไม่อาจมี คาร์ลจึงเกลียดเลออน
‘ร่างกายคงกระสับกระส่ายแย่’
แต่ก็ไม่เกินไปนัก อีเบลลีน่ายังสาวและงดงาม อีกทั้งนางยังเป็นนักบุญซึ่งไม่สามารถเข้าถึงได้ง่ายๆ คงจะไปกระตุ้นเลือดขององค์ชายรัชทายาทผู้ยังหนุ่มแน่นคนนี้
คาร์ลย้อนนึกถึงภาพของราธบันที่เข้าไปในห้องข้างๆ กับนักบุญหญิงเมื่อครู่ก่อน
‘บังอาจกล้าขัดขวางข้า?’
โดยไม่จำเป็นต้องมีการประชุมหรืออะไรทั้งนั้น อีกนิดเดียวเขาก็เกือบจะคว้าตำแหน่งผู้อาวุโสมาไว้ได้แล้ว แต่เป็นเพราะราธบันที่ทำให้มันหายไปในชั่วพริบตา แม้จะบอกว่าเดี๋ยวก็ได้มาครอบครองแล้ว แต่นั่นก็เป็นหลังจากที่จัดการปัญหาของราธบันเสร็จ
‘หรือมันแอบเล่นชู้กับนักบุญหญิงในระหว่างที่ข้าไม่อยู่’
เห็นได้ชัดว่านักบุญหญิงเกลียดเขาอย่างถึงที่สุด ระหว่างนั้นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
คาร์ลกัดริมฝีปาก หากราธบันเข้ามาขัดขวางก็ต้องดึงเขาลงมา ไหนๆ แล้วก็ลงมากับนักบุญหญิงด้วยกันเลย
คาร์ลมองเลออนอีกครั้ง องค์ชายรัชทายาทวัยหนุ่มผู้ร้อนรุ่มไปด้วยตัณหาเป็นคนที่อ่านง่ายมาก จนถึงขนาดที่เขาสงสัยว่าคนผู้นี่ใช่องค์ชายรัชทายาทเลออนที่โด่งดังผู้นั้นจริงหรือ
‘แต่ นั่นก็ไม่สำคัญ’
คาร์ลคิดถึงรอยที่อยู่ใต้เสื้อพลางลูบแขน เขาจะให้องค์ชายรัชทายาทที่น่าเกลียดชังผู้นี้ได้ดูอะไรดีๆ ภาพที่นักบุญหญิงที่หายใจหอบถี่ด้วยความใคร่กำลังเกลือกกลิ้งกับใครคนอื่น
หากเป็นตนก็ดี แต่คราวนี้การให้โอกาสกับราธบันดูสักครั้งก็ไม่แย่เหมือนกัน