หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 12.3 พลุมพราง (3)
เสียงนกร้องยามเช้าดังขึ้น ฉันตั้งสติพลางลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เช่นเดียวกับร่องรอยการกลับไปของแอสรัน อากาศเย็นยะเยือกยามย่ำรุ่งพัดผ่านเข้ามาระหว่างหน้าต่างที่แง้มออกเล็กน้อย
“อืม…”
ฉันขยี้ตาพลางลุกขึ้น จากนั้นเดินเข้าไปใกล้หน้าต่างและเปิดออกจนกว้าง อากาศเย็นจนทำให้รู้สึกสดชื่นพัดเข้ามาพร้อมกับขอบฟ้าสีกรมท่าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มซึ่งเห็นได้ไกลๆ จากอีกฟากหนึ่งของกำแพงวิหารหลวง ดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นในไม่ช้า ฉันเท้าคางบนหน้าต่างและจ้องมองภาพนั้นอยู่สักพัก
ความรู้สึกที่เรือซึ่งไหวโคลงเคลงจากพายุฝนทอดสมอลงจอดที่ท่าเรือได้อย่างมั่นคงคงเป็นแบบนี้
แม้ยังไม่มีเรื่องที่ได้รับการแก้ไขใดๆ ทั้งสิ้นแต่ฉันกลับรู้สึกสบายใจมากกว่าตอนไหนๆ
ฉันย้อนนึกถึงเรื่องเมื่อวาน คำสารภาพของราธบันและบทสนทนากับแอสรัน หลังจากนึกถึงคำพูดของทั้งสองคน ฉันก็ชันเข่าขึ้นและฝังหน้าลงไป ตอนนี้ทุกคนต่างก็เรียกฉันด้วยชื่อลีน่า ไม่ใช่อีเบลลีน่าแต่คือลีน่า และพวกเขายังพูดว่าจะช่วยโดยที่ไม่ใช่เพราะคำสั่ง และไม่ใช่เพราะข้อแลกเปลี่ยนอีกด้วย
นั่นมันช่างน่าปลื้มใจจนทนไม่ไหว
ฉันดื่มด่ำกับอากาศยามเช้าตรู่แบบนั้นอยู่สักพักก่อนจะขยับตัวแล้วเดินเข้าไปใกล้บนโต๊ะ ตารางงานที่เหล่านักบวชวางไว้วันก่อนอยู่บนนั้น
อย่างไรการคัดเลือกผู้อาวุโสก็หยุดชะงักและเพราะต้องตามหาต้นกำเนิดของพลังเวทที่ปกคลุมวิหารหลวงเลยทำให้ตารางงานส่วนใหญ่ถูกหยุดไว้ก่อน
‘แต่เรื่องเกี่ยวกับคาร์ลยังคงดำเนินต่อไป’
และเหตุผลที่ตั้งใจไปพบเขาก็เป็นเพราะจู่ๆ นักบวชจำนวนมากก็ลาออกเพื่อจะยกตำแหน่งของตนเองให้คาร์ลด้วย
ฉันกดลงบนรอยที่อยู่ใต้ร่มผ้า ต่างจากที่รู้สึกได้ในห้องรับรอง ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้นราวกับรอยนั่นกำลังหลับอยู่
‘คาร์ลทำอะไรกันแน่’
เมื่อลองรวมความทรงจำของอีเบลลีน่าและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องรับรองเข้าด้วยกัน มีความเป็นไปได้สูงที่คาร์ลจะเป็นคนสร้างรอยนี้ขึ้น หรือต่อให้ไม่ใช่ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถใช้งานมันได้
‘แต่ฉันมั่นใจว่าเขาใช้งานมันไม่ได้ตลอด’
เพราะหากทำได้ ตอนนี้ฉันเองก็คงจะยังถูกความใคร่ก่อกวน แต่รอยนั่นกลับไม่เคลื่อนไหวอะไรอีก
คาร์ลส่งเลออนมาหลังจากนัดเจอกัน รวมถึงเหล่านักบวชที่อยู่จนเต็มห้องด้านข้างและทางเดินก็เป็นเขาที่ใช้แผนการพามารวมกันที่นั่นเป็นแน่ ฉันรู้ว่าภาพที่เขาต้องการคืออะไร ภาพที่ฉันเสียหายต่อหน้าราธบันและเลออน และเขายังต้องการให้ภาพนั้นถูกเผยต่อหน้าผู้คนจำนวนมากขึ้นไปอีก
‘ทำแบบนั้นแล้วเขาจะได้อะไร?’
ทำไมเขาถึงต้องพยายามทำให้นักบุญหญิงตกต่ำลงแบบนี้ด้วย
ฉันเริ่มสงสัยจากใจจริงแล้วว่าคาร์ลต้องการอะไร
หากว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาต้องการ แล้วเขาจะได้รับอะไร
ชื่อเสียงอันดีงามของนักบุญหญิงคงร่วงลงสู่ก้นบึ้งมากกว่าเดิม จะว่าไปแล้วจนถึงตอนนี้ แม้อีเบลลีน่าจะผ่านสัมพันธ์กับเหล่าชายหนุ่มมามากมาย แต่นางก็ยังไม่เคยเปิดเผยสภาพแบบนั้นให้ใครเห็น ความสัมพันธ์ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นในห้องของนาง หรือไม่ก็ในสถานที่ซึ่งลับตาคนอย่างมาก ดังนั้นแม้ทุกคนจะรู้ว่าอีเบลลีน่าทำอะไรแต่ก็ไม่เคยเห็นมัน พวกเขาคงซุบซิบกันว่าตอนนี้ก็เปิดเผยเรื่องแบบนั้นด้วยแล้ว
‘ทำอย่างไรดี…’
สมัยก่อนในตอนที่ดูความทรงจำเหล่านั้น ฉันเพียงแต่รับรู้และผ่านเลยไป แต่เมื่อได้เห็นความทรงจำที่ถูกอีเบลลีน่าแอบซ่อนเอาไว้ แล้วลองคิดดูอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าอีเบลลีน่าจะต้องไม่ชอบให้ใครเห็นสภาพแบบนั้นของตนเป็นแน่ ฉันลูบคลำรอยอีกครั้ง
อีเบลลีน่าไม่ต้องการมัน
‘แต่ว่านักบุญหญิงไม่สามารถถูกบีบบังคับอะไรได้’
พลังศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่พลังที่มีไว้โจมตีแต่มีไว้เพื่อป้องกัน แม้จะไม่อาจทำร้ายผู้คนที่ไม่ใช่ปีศาจแต่ก็ยังสามารถปกป้องตนเองจากการมีอยู่ที่เป็นอันตรายได้ ดังนั้นจึงไม่มีทางถูกบังคับให้ยอมจำนนแน่
วูบหนึ่งฉันนึกถึงคำพูดที่แอสรันเคยกล่าวไว้ เขาบอกว่ารอยนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างขึ้นได้ในวันสองวัน เช่นนั้นแล้วมันมาอยู่บนร่างของอีเบลลีน่าได้อย่างไรกัน มีความคิดหนึ่งลอยเข้ามาในหัวทันที
‘ถ้าหากว่าอีเบลลีน่าไม่รู้ว่ารอยนี้คืออะไรล่ะก็…’
ขนพลันลุกซู่ ในความทรงจำของอีเบลลีน่าที่ฉันเห็น นางยิ้มร่าและวิ่งไปหาคาร์ล อย่าว่าแต่หวาดกลัวเลย กระทั่งความลังเลก็ยังไม่มี ดูอย่างไรก็เป็นความเลื่อมใสที่ไม่มีเงื่อนไขและไร้ขอบเขต หากความเลื่อมใสนั้นเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรอยนี้ล่ะ?
ชิ้นส่วนต่างๆ ของปริศนามารวมตัวกันในหัวแม้ไม่ได้พยายามคิด ความทรงจำที่ฉันเห็น ท่าทางของคาร์ล เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ความรู้ที่แอสรันเคยอธิบาย ฉันลองต่อชิ้นส่วนพวกนั้นเข้าด้วยกันทีละชิ้น
‘อีเบลลีน่าเริ่มเหลวแหลกเมื่อไรกันนะ?’
ไม่ใช่ตั้งแต่เด็ก ฉันพลิกหาความทรงจำที่เหลืออยู่ราวกับเปิดผ่านหน้าหนังสือ ในความทรงจำที่ถูกพลิกไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ฉันก็เจออีเบลลีน่าที่เริ่มออกนอกลู่นอกทางเป็นครั้งแรก
‘มีด้วย!’
โชคดีที่ยังเหลือความทรงจำอยู่ ในตอนที่ค้นเจอความทรงจำนั้น ฉันก็อุดปาก
ไม่มีภาพฉากที่น่าสะอิดสะเอียด ไม่สิ ภาพรอบข้างในความทรงจำมันงดงามมากด้วยซ้ำ ทุกคนในวิหารหลวงต่างก็ยินดีกับนักบุญหญิงที่มีอายุครบยี่สิบปี ทั่วทั้งวิหารตกแต่งไปด้วยดอกไม้สีขาว อีเบลลีน่าเดินชมรอบวิหารอย่างกระปรี้กระเปร่าและยิ้มสดใสให้กับทุกคนที่ทักทายนาง
แต่ภาพในคืนนั้นถูกลบล้างอย่างเกลี้ยงเกลาจากความทรงจำ เพียงแต่วันต่อมา อีเบลลีน่ากลับหยิบดอกไม้ที่ตกแต่งอยู่หน้าห้องและภายในห้องของตนอย่างเหม่อลอย อีเบลลีน่าเริ่มแปลกไปตั้งแต่วันนั้น
ชิ้นส่วนของปริศนาที่ล่องลอยอยู่ภายในหัวเริ่มต่อเข้าด้วยกันทีละชิ้นๆ และกำลังก่อตัวขึ้นเป็นรูปวาดที่ไม่น่าดู
หากคนที่เป็นดั่งพ่อแม่และอาจารย์ ในขณะเดียวกันก็เป็นเพื่อนร้องขออะไรบางอย่าง เราจะสามารถปฏิเสธมันได้ไหม? เราจะคิดได้ไหมว่ามันเป็นผลเสียแอเรา?
ในตอนที่รับรู้ว่ารอยนี้จะส่งผลแบบไหนกับตนเองในอนาคต อีเบลลีน่าจะคิดอย่างไรกันนะ
ฉันรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา
อีเบลลีน่าหลงเหลือความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องที่ตนทำไว้อย่างภาคภูมิใจ นางเหยียบย่ำและหัวเราะเยาะศักดิ์ศรีของคนอื่น ผลาญทรัพย์สมบัติของวิหารตามอำเภอใจ เลื่อนตำแหน่งและยังดึงผู้อื่นลงมาตามความอารมณ์
แม้จะร้องขอความช่วยเหลืออย่างแรงกล้าแต่อีเบลลีน่าก็ไม่ส่งหน่วยอัศวินแห่งวิหารไปให้ ฤดูหนาวปีนั้น มีคนตั้งมากมายเพียงใดของประเทศนั้นที่ต้องสูญเสียชีวิตจากการโจมตีของเหล่าปีศาจ อีเบลลีน่ากดดันผู้คนจำนวนมากด้วยความตายมากกว่าเลือกที่จะฆ่าด้วยตัวเอง
ภายในหัวเริ่มยุ่งเหยิงมากขึ้น
การที่อีเบลลีน่าเริ่มออกนอกลู่นอกทางคือการล้างแค้นเหรอ? แต่คาร์ลก็ยังมีชีวิตอยู่
‘อีกทั้งอีเบลลีน่ายังเรียกแอสรันมาด้วย’
นางในฐานะนักบุญหญิงถึงกับเรียกปีศาจมาเพื่อร้องขออะไรกันแน่ ตอนแรกฉันเคยคิดว่าหรือจะเรียกมาเพื่อฆ่าคาร์ล แต่ฉันไม่คิดว่านางจะเรียกแอสรันมาเพื่อทำเพียงแค่นั้น ย้อนนึกถึงกระดานชนวนที่แอสรันนำมา เขาเคยบอกว่าต้องรักษาสิ่งที่ถูกสลักไว้ในนั้นหรือเปล่านะ
บริเวณที่ให้อีเบลลีน่าร้องขออะไรได้บางอย่าง ถูกปล่อยว่างไว้โดยไม่ได้เขียนอะไรไว้เลย อีเบลลีน่าจะอยากเขียนอะไรลงไปบนนั้นกันแน่
แม้จุดเริ่มต้นของเรื่องราวจะเริ่มมองเห็นได้อย่างเลือนราง แต่ฉันก็ยังไม่อาจรู้ได้ว่าฉากจบที่อีเบลลีน่าต้องการคืออะไร
ในตอนที่จมอยู่กับความคิดสักพัก ฉันก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นด้านนอก
‘คิดดูแล้ว ฉันยังไม่ได้บอกว่ากลับมาแล้วเลยนี่นา’
สมัยก่อน เหล่านักบวชคงไม่ได้ตระหนกมากนักเพราะอีเบลลีน่ามักจะใช้ทางลับเพื่ออำพรางตนหรือไม่ก็กลับเข้ามาตามอำเภอใจบ่อยครั้ง แต่อย่างไรเมื่อคืนพวกเขาก็ไม่เห็นฉันกลับเข้ามา บางทีก็คงไม่รู้ว่าฉันอยู่ด้านใน
ฉันลุกขึ้น ผ่านประตูหลายบานออกมาด้านนอก ได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวชัดเจนมากขึ้น
“เจ้าไม่รู้ว่าท่านอยู่ด้านในหรือไม่ อย่างนั้นหรือ?”
ตอนนั้นเอง ฉันก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจากด้านนอก มือที่กำลังจะเปิดประตูหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงนั้น เพราะเสียงที่ดังเข้ามาคือเสียงของเลออน ฉันย้อนนึกถึงใบหน้าของเลออนที่ได้เห็นก่อนหมดสติ ใบหน้าของเขาที่ทุกข์ทรมานและบิดเบี้ยว
ฉันลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเปิดประตูออก
“พวกข้าทำได้เพียงเข้าไปถึงประตูด้านในและยืนรอจนกว่าท่านจะเรีย…ท่านนักบุญหญิง!”
“ลีน่า!”
ทันทีที่ฉันเปิดประตูออกไป เหล่านักบวชและเลออนก็จ้องมองมาด้วยใบหน้าตกใจ หลังจากสบตากัน เขาก็พิจารณาฉันและถอนหายใจด้วยความโล่งใจเบาๆ
“ค่อยยังชั่วที่ท่านดูสบายดี เมื่อวาน…”
เลออนพูดถึงตรงนั้นแล้วก็อ้อมแอ้ม สงสัยคงนึกถึงเรื่องที่ตนทำไว้เมื่อวานได้ ฉันเดินเข้าไปใกล้แล้วจับมือเขา
“เอ๋…”
การกระทำที่กะทันหันของฉันทำให้เลออนมองกลับมาด้วยสีหน้างงงัน สีหน้าราวกับไม่เคยคิดมาก่อนว่าฉันจะทำแบบนี้ ฉันเอ่ยปากถามเขาผู้นั้น
“เลออน ตอนนี้ท่านพอจะมีเวลาไหม?”
***
“…รู้งี้ตอบว่าไม่มีเสียก็ดี”
เลออนจ้องมองราธบันและแอสรันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพลางบ่นอุบอิบ แอสรันจ้องเลออนเขม็งด้วยสีหน้าปั้นปึงเมื่อได้ยินดังนั้น ก่อนจะหันหน้าหนี
ตอนนี้ราธบัน เลออนและแอสรัน ทุกคนต่างก็นั่งอยู่ที่นี่ ตรงหน้าของพวกเขามีมื้อเช้าที่ถูกจัดเตรียมอย่างยิ่งใหญ่วางอยู่
หลังจากรั้งตัวเลออนเอาไว้ได้ ฉันก็เรียกหาราธบัน และก่อนที่มื้อเช้าจะถูกจัดเตรียมเสร็จ แอสรันก็มาปรากฏกายตามที่คิดเอาไว้ คงเพราะระหว่างคืนเขาฟื้นฟูพลังกลับมาได้ระดับหนึ่ง แขนของสัตว์เดรัจฉานที่เห็นเมื่อคืนก่อนถึงได้กลับมากลายเป็นแขนมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
นี่เป็นของที่จัดเตรียมขึ้นเพื่อให้พวกเขากิน แต่ทุกคนกลับทำเพียงจ้องมองฉันโดยไม่แตะต้องแม้แต่น้อย นั่นทำให้ฉันตระหนักได้ว่าอย่างไรก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะกินข้าวไปคุยไป ทุกคนต่างก็อยากรู้ถึงเหตุผลที่พาพวกเขามารวมตัวที่นี่เร็วๆ
ฉันกลืนน้ำลายและเปิดปากขึ้นอย่างระมัดระวัง
“ทุกคนมารวมตัวกันแล้ว ข้าก็ควรจะบอกถึงเหตุผลที่ขอให้มา แอสรันก็รู้อยู่ระดับหนึ่งแล้ว…คือข้าสูญเสียความทรงจำไปหลายส่วน”
คำพูดของฉันทำให้แอสรันคลี่ยิ้มออกมาราวกับได้รับชัยชนะ ส่วนราธบันและเลออนหยุดการเคลื่อนไหว
ฉันยังไม่มีความมั่นใจที่จะอธิบายให้ทุกคนฟังว่าฉันไม่ใช่อีเบลลีน่าตัวจริงและที่นี่เป็นเพียงโลกในนิยายที่ฉันเคยอ่าน แต่ฉันก็คิดว่าฉันจะสามารถพูดมันออกไปได้สักวันหนึ่ง ฉันอธิบายต่อไปอย่างระมัดระวังไม่ให้พลั้งปากไป
“เพราะแบบนั้นข้าเลยไม่รู้ว่ารอยนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร สิ่งที่ข้ารู้มีเพียงแค่ว่านักบวชคาร์ลเป็นผู้ที่มีความเกี่ยวข้องอย่างใหญ่หลวงในการสร้างรอยนี้ขึ้นบนร่างของข้า แล้วก็…เหตุผลที่นักบวชคาร์ลตั้งใจจะเป็นผู้อาวุโส ดูเหมือน…จะมีข้าเป็นเป้าหมายแน่นอน”
“…”
คำพูดของฉันทำให้ความเงียบเข้าปกคลุม แม้เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้อยู่แล้วแต่การพูดออกมาจากปากมันเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องใช้ความกล้ามากกว่าที่คิด
“ได้โปรดช่วยข้าด้วย”
ฉันพูดกับชายทั้งสามคม
“…ข้าอยากหลุดพ้นจากนักบวชคาร์ล”
แม้จะถามไม่ได้ แต่ฉันก็คิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่อีเบลลีน่าต้องการ
คำขอของฉันทำให้พวกเขาทั้งสามตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะ
“ท่านอยากให้ฆ่าเขาหรือไม่?”
เลออนเป็นคนที่เอ่ยตอบคำพูดของฉันคนแรก การพูดของเขาเฉยเมยไม่ยินดียินร้าย ราวกับคนที่กำลังเลือกเมนูอาหาร เมื่อเห็นเขาพูดออกมาราวกับการฆ่าผู้เข้าคัดเลือกผู้อาวุโสที่มีอิทธิพลที่สุดในวิหารหลวงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ก็ทำให้ฉันตระหนักได้ถึงตำแหน่งของเขาเป็นครั้งแรก
ฉันหลงลืมไปเพราะนับแต่มาที่นี่เขาก็แสดงให้เห็นแต่ความมีไมตรีจิตและปฏิบัติตัวด้วยอย่างใจดี แต่ภายนอกวิหารหลวง เขาคือคนที่ทำให้หลายประเทศต้องยอมจำนนด้วยวิธีการอันทารุณและตัดสินใจเอาชีวิตของคนนับพันนับหมื่นคนด้วยการออกคำสั่งเดียว
ฉันส่ายหน้าให้เขาที่ยกถ้วยชาขึ้นอย่างเชื่องช้า ทันใดนั้น แอสรันก็ตะคอกออกมาด้วยสีหน้าที่ราวกับได้เห็นคนที่โง่ที่สุดในโลก
“เจ้าคิดว่าข้าฆ่าเขาไม่ได้และปล่อยมันไว้เฉยๆ อย่างนั้นหรือ?”
เป็นอย่างที่แอสรันพูด หากฉันคาดหวังแค่ให้ฆ่าคาร์ลก็คงไหว้วานแอสรันไปก่อนแล้ว แอสรันหันศีรษะมาทางฉัน เป็นสีหน้าที่ราวกับถามว่า เจ้าก็คงรู้เหตุผลสินะ? ฉันพยักหน้าเมื่อเห็นสีหน้าแบบนั้นของเขา
“แม้จะจำไม่ได้ แต่ข้าก็คาดเดาได้ว่านักบวชคาร์ลเป็นผู้ที่สร้างรอยบนขาของข้า ปัญหาคือรอยนี้มันเป็นคาถาอันซับซ้อนที่ไม่อาจทราบแหล่งกำเนิด จนถึงตอนนี้ก็ยังสืบหาไม่พบว่ามันถูกสร้างขึ้นได้อย่างไร ดังนั้น…”
“…หากฆ่าคาร์ลแล้ว ก็มีความเป็นไปได้ที่จะแก้มันไม่ได้ตลอดชีวิตสินะ”
เลออนโอดครวญพลางกุมหน้าผาก
“ใช่แล้ว”
เป็นอย่างที่เลออนพูด แอสรันบอกว่ามันคือคาถาในสมัยโบราณกาลก่อนที่จะมีพลังศักดิ์สิทธิ์และพลังเวทด้วยซ้ำ ดังนั้นหนังสือมากมายที่กองอยู่ในวิหารแห่งนี้รวมถึงความรู้เกี่ยวกับพลังเวทของเขาจึงยังไม่อาจช่วยให้สืบค้นเกี่ยวกับรอยนี้ได้อย่างชัดเจนเลย
“ตอนนี้สิ่งที่พอจะสืบค้นมาได้ก็คือรอยนี้มันกำลังดูดกลืนพลังศักดิ์สิทธิ์ของข้าอยู่และ…”
ฉันรู้สึกได้ว่าราธบันเหลียวมองด้วยความตกใจเมื่อได้ยินดังนั้น
“รอยนี้มันควบคุมข้า…ไม่สิ พูดให้ชัดเลยคือมันปลุกความใคร่ที่ไร้เหตุผลไม่ต่างอะไรกับการติดสัดขึ้นมา”
ฉันได้ยินเสียงขบฟันดังออกมาจากปากของทั้งสามในเวลาเดียวกัน ไม่รู้ทำไมเสียงที่แสดงถึงความโกรธเกรี้ยวของพวกเขา ถึงได้ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นมา เพราะการที่พวกเขากำลังโกรธเมื่อได้รู้ความจริงนั้น มันกลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดๆ
‘…อีเบลลีน่าล่ะ?’
จู่ๆ ฉันก็นึกถึงนางขึ้นมา ในตอนที่อีเบลลีน่าได้รู้ว่ารอยนี้คืออะไร หรือในตอนที่รู้เรื่องเกี่ยวกับคาร์ล นางมีคนให้พูดเปิดใจเหมือนอย่างตอนนี้ไหม?
“ดูดกลืนพลังศักดิ์สิทธิ์นั่นมันหมายความว่าอย่างไร?”
ในตอนที่ฉันกำลังนึกถึงอีเบลลีน่า ราธบันก็เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง แน่ล่ะ มันคงเป็นเรื่องที่สร้างความกระทบกระเทือนใจให้เขาที่อาศัยอยู่ในวิหารหลวงมาก
“เป็นตามที่พูด พลังศักดิ์สิทธิ์ของข้ากำลังลดน้อยลง บางที อี…ราวกับหายไปแล้ว”
ชั่วขณะที่กำลังจะหลุดพูดชื่ออีริส ฉันก็กลับคำอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ว่าฉันพยายามปิดบัง แต่ในอนาคตเมื่อพลังศักดิ์สิทธิ์หายไปและชื่อของอีริสถูกพูดถึงไปทั่ว ทั้งสามคนก็คงจะได้รู้เกี่ยวกับนางในไม่ช้า
‘ไม่จำเป็น…ที่จะต้องดึงดันกล่าวถึงมันก่อน’
กระทั่งแอสรันเองก็ยังใช้เวทมนตร์จำนวนมหาศาลถึงขนาดนั้นเพื่อตามหาพลังศักดิ์สิทธิ์ที่หายไป ฉันคงไม่มีวิธีอธิบายหากเขาถามขึ้นมาว่าฉันรู้ได้อย่างไรว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่หายไปอยู่ที่ไหน แถมยังรู้ได้อย่างไรว่ามีใครบางคนครอบครองมันอยู่
ฉันพูดต่อไปก่อนที่ราธบันจะได้ถามอะไรเพิ่มอีก
“และบางที เขาคงไม่อาจใช้งานรอยนี้ได้ตลอด หากเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ข้าเองก็คง…ไม่ได้อยู่ในสภาพปกติ เมื่อลองคิดถึงตอนที่ข้าเริ่มมีอาการผิดปกติในคราวที่แล้ว ข้าก็คิดว่ามันน่าจะใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์จนกว่ารอยนี้จะแสดงพลังอีกครั้ง แต่อย่างไรนั่นก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น”
ทันทีที่ฉันพูดจบ คราวนี้เลออนเป็นคนเอ่ยถาม
“ที่ว่าคราวที่แล้วนั่น…ข้าได้ยินมาเมื่อวาน คือกับแอสรัน…”
“ใช่แล้ว ในคราวที่แล้วที่ข้ามีอาการผิดปกติ เป็นแอสรัน…ที่ช่วยเอาไว้”
แม้จะไม่แน่ใจว่าการที่เขาบอกว่าได้กลิ่นชายคนอื่นและโอบกอดฉันไม่หยุดเป็นเวลาหลายชั่วโมงถือเป็นการช่วยเหลือหรือไม่ แต่ก็เป็นความจริงที่ความใคร่สามารถสงบลงได้เพราะแอสรัน เลออนลูบใบหน้าหนึ่งครั้งเมื่อได้ยินดังนั้นก่อนจะพึมพำอะไรบางอย่าง ฉันไม่ได้ยินว่าเขาพูดว่าอะไรและมองเขา เลออนยิ้มขมขื่นก่อนจะกล่าว
“นั่นหมายความว่าท่านไม่ได้ทำเพราะต้องการคนผู้นั้นสินะ”
ทันใดนั้น แอสรันหยิบขนมปังที่วางอยู่ตรงหน้าเขาขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วเขวี้ยงไปหาเลออน ขนมปังส่งเสียงเสียดแทงในระดับที่นึกไม่ถึงว่าเป็นเสียงขนมปังกำลังลอย มันเข้าไปกระแทกหน้าของเลออนและแตกออกราวกับระเบิด
“แอสรัน!”