หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 12.7 หลุมพราง (7)
ตอนแรกฉันยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันมองไม่เห็นอะไรเลยเพราะฝังหน้าอยู่ในอกของเขา แต่เพราะสายตาถูกบดบัง ประสาทสัมผัสอื่นจึงยิ่งเฉียบคม
สิ่งที่สัมผัสได้เป็นอย่างแรกคืออกแกร่งและกลิ่นกายที่คล้ายกับกลิ่นของภูเขาห่างไกลซึ่งติดมากับสายลม จากนั้นก็คือลมที่พัดแรงราวกับจะกระชากเส้นผมของฉันและความรู้สึกหวาดเสียวที่คล้ายจะร่วงลงไปไม่สิ้นสุด
“…!”
ความรู้สึกที่ราวกับหัวใจจะกระดอนออกมา ทำให้ฉันทำไม่ได้แม้แต่ส่งเสียงร้อง
กำลังตกลงไป
มีเพียงความคิดนั้นอยู่ในหัว สัญชาตญาณที่อยากจะมีชีวิตรอดทำให้ฉันกอดแอสรันแน่น เสียงเสื้อโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่งเพราะลมดังกระทบอยู่ในหู นี่แอสรันทำอะไรอยู่กันแน่? ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
ในตอนที่พยายามตั้งสติ ฉันก็ตระหนักได้ว่าความรู้สึกที่เหมือนร่างกายจะตกลงไปมันหายไปแล้ว
“ไม่เป็นไรแล้ว เงยหน้าขึ้นสิ”
น้ำเสียงอ่อนโยนของแอสรันดังขึ้นท่ามกลางเสียงลมที่ดังกระแทกหูและเส้นผมที่ยังคงปลิวไสว แต่ฉันก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้น ราวกับเสียดายที่ฉันเป็นแบบนั้น แขนข้างหนึ่งของเขาออกแรงกอดฉันแน่นขึ้นคล้ายจะสื่อว่าจะไม่ปล่อยเป็นอันขาด มืออีกข้างลูบผมอย่างระมัดระวัง จากนั้นตบไหล่คล้ายกำลังปลอบโยน
จังหวะการตบที่ทำให้นึกถึงหัวใจที่เต้นช้าของเขาทำให้ฉันค่อยๆ สูดลมหายใจ ร่างกายที่แข็งเกร็งจนชาเพราะความตึงเครียดค่อยๆ ผ่อนคลายลง เมื่อเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก็เจอเข้ากับสายตาของเขา
คงเพราะเขาเข้าใจสายตาขุ่นเคืองของฉันที่ถามว่าทำเรื่องแบบนี้ทำไม แอสรันถึงได้ยิ้มและจุมพิตลงบนหน้าผาก
“ลองเงยหน้าขึ้นเถิด มันเป็นสิ่งที่เจ้าอยากเห็น”
“มันอะไรกัน…อ๊ะ…”
ชั่วขณะที่เงยหน้าขึ้นตามที่เขาบอก ฉันก็ลืมคำพูดไปเลย ดวงตะวันส่องแสงสว่างไปทั่วทั้งทวีปอยู่ตรงนั้นและกำลังหายไป สีแดงเข้มและร้อนแรงที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำใดได้นอกจาก ‘เร่าร้อน’ กำลังแทรกซึมไปทั่วทุกซอกมุมในทวีป ภาพทิวทัศน์ที่ตระการตาและโดดเด่นทำให้ฉันลืมกระทั่งหายใจ
ไม่ใช่ท้องฟ้าที่มีแต่สีฟ้าเท่านั้น แสงสีแดง สีเหลืองและสีคราม ผสมผสานกันเป็นชั้นและกลายเป็นสีที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้ อีกด้านหนึ่งของดวงตะวันที่กำลังลับขอบฟ้าคือท้องฟ้าสีกรมท่ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวดวงเล็กที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีอื่น ทั้งหมดนั่นคือสีของท้องฟ้า
ฉันจับแอสรันขณะมองดูความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่ทอดยาวเหนือศีรษะและใต้ฝ่าเท้าอย่างเหม่อลอย
นี่คือโลกอันยิ่งใหญ่และน่าอัศจรรย์ซึ่งไม่อาจคิดว่าจะเป็นเพียงโลกในหนังสือ
สถานที่ใต้ล่างไกลๆ คือวิหารหลวง กระทั่งสถานที่ขนาดใหญ่ที่ไม่อาจมองได้อย่างทั่วถึงเมื่ออยู่เบื้องล่าง กลับเป็นเพียงรอยสีขาวที่ใหญ่กว่าเล็บมือเพียงเล็กน้อยเมื่อมองดูจากบนฟ้าสูง
‘จนถึงตอนนี้ ฉันอยู่แต่ในนั้นสินะ’
แม้จะเคยออกไปด้านนอก แต่นั่นก็แค่ออกไปหากริชเท่านั้น ถึงตอนนั้นจะเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสนใจและน่าตื่นเต้น แต่อีกฟากหนึ่งของเส้นขอบฟ้าจะมีสิ่งแปลกใหม่อีกมากแค่ไหนกัน
“เป็นอย่างไร?”
แอสรันเอ่ยถามฉันที่ยังไม่อาจเปล่งเสียงอะไรออกไปได้ หลังจากมองดูแสงสีที่ทอดยาวตามเส้นขอบฟ้าและร่องรอยผู้คนบนพื้นดิน ฉันก็ตอบเขาด้วยลำคอตีบตัน
“อิจฉาค่ะ”
“หืม?”
คงเพราะเป็นคำตอบที่ไม่คาดคิด เขาถึงมีสีหน้าไม่เข้าใจไปชั่วขณะ
“ข้าอิจฉาท่าน ท่านได้…มองภาพเช่นนี้ทุกวันเลย ทุกเช้า ทุกเย็น ไปได้…ทุกที่เสมอ…”
ฉันอิจฉาแอสรันจนไม่อาจทนได้จริงๆ เขาใช้ชีวิตผ่านวันเวลามาแสนนาน แอสรันคงได้เห็นสิ่งเหล่านี้มาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ดังนั้นฉันจึงอิจฉาเขา เขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยการเดินทางไปที่ไหนก็ได้ที่อยากไปไม่ต้องกังวลสิ่งใดและได้เห็นสิ่งที่งดงาม
ดวงตาของฉันแดงก่ำขณะมองดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า แม้อยากจะโทษว่าเป็นเพราะแสงอาทิตย์จ้าและสายลมที่พัดยุ่งเหยิง แต่ตัวฉันรู้ดีกว่าใครว่าไม่ใช่เพราะสิ่งนั้น
อยู่ต่อหน้าความงดงามตระการตาเช่นนี้ แต่สุดท้ายสิ่งที่ได้มากลับเป็นความรู้สึกอิจฉาริษยา
ฉันใช้หลังมือกดเบ้าตาแล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าจะได้เห็นวิวทิวทัศน์นี้อีกเมื่อไร เพราะฉะนั้นจะพลาดไปแม้แต่วินาทีเดียวไม่ได้ ทว่ามือของแอสรันกลับเข้ามาบดบังดวงตา แม้ฉันจะพยายามดันมันออก แต่เขาก็ไม่ขยับเหมือนอย่างเคย
“อย่าบังสิ”
แม้จะพูดไปด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความขุ่นเคือง แต่แอสรันก็ไม่ยกมือที่ปิดตาฉันออก
“บอกว่าอย่าบังอย่างไรเล่า”
สุดท้ายฉันก็กระชากมือเขาออก แต่มือเขาก็ยังไม่ขยับ
ดวงอาทิตย์กำลังสร้างสีสันที่แตกต่างและแต่งแต้มไปทั่วท้องฟ้าในทุกขณะ แต่ความจริงที่ว่าฉันต้องพลาดช่วงเวลาเหล่านั้นไปแม้เพียงเล็กน้อย ก็พลันให้รู้สึกงุ่นง่านใจขึ้นมา
“ทำไมถึงทำเช่นนี้เล่า”
สุดท้ายฉันก็พูดออกไปด้วยความโมโห ทันใดนั้น แอสรันกระซิบข้างหู
“เป็นข้าสิที่ต้องถามเจ้า ทำไมถึงได้งุ่นง่านถึงเพียงนี้กัน”
“นั่นน่ะ ถ้าไม่ใช่ตอนนี้ก็คงไม่ได้ดูแล้ว ท่านได้เห็นทุกวันคงไม่รู้ แต่ข้า…”
“เจ้าเองก็ดูทุกวันได้”
“คะ? อย่างไร…?”
ฉันเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ ตอนนั้นเอง แอสรันถึงได้เอามือที่ปิดตาฉันอยู่ออก เส้นผมสีแดงปลิวไสวรับกับแสงอาทิตย์ยามอัสดง นัยน์ตาสีแดงที่สะท้อนดวงอาทิตย์กำลังจ้องมองฉันโดนไม่สั่นคลอน
“อย่าลืมสิ เจ้ามีข้า ดังนั้นสิ่งที่เป็นของข้า ทั้งหมดก็เป็นของเจ้า สิ่งที่ข้าเล่นสนุกได้ เจ้าเองก็เล่นได้”
ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นอย่างอบอุ่น
“เจ้าสามารถครอบครองท้องฟ้าผืนนี้ได้ทุกเมื่อที่เจ้าต้องการ”
ได้ฟังคำพูดของแอสรัน ฉันก็ค่อยๆ หันหน้า ดวงอาทิตย์ก่อนจมสู่อีกฟากของเส้นขอบฟ้ากำลังส่องประกายแสงสีแดงร้อนแรงกว่าที่เคย ฉันจ้องมองภาพทิวทัศน์ที่ตอนนี้ฉันสามารถมาดูได้ทุกเมื่อที่ต้องการในอ้อมกอดของแอสรันเงียบๆ
ทั้งที่ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไปเลยแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไม เหมือนกับท้องฟ้าผืนนี้เข้ามาอยู่ในมือของฉันแล้ว
***
“หืม…”
เลออนมองจดหมายที่อยู่ในมือของตน จดหมายตกแต่งด้วยของวิจิตรตระการตาซึ่งไม่ว่าใครเห็นก็รู้ว่าบุคคลยิ่งใหญ่เป็นผู้ส่งมา แต่มันก็เหมาะสม เพราะผู้ส่งจดหมายฉบับนี้มาก็คือบิดาของเขา องค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิ
เลออนลองคิดว่ามีกี่คนที่แอบดูจดหมายฉบับนี้กว่ามันจะมาถึงมือเขา แม้จะมันถูกป้องกันอย่างแน่นหนา แต่ในเมื่อไม่มีแม่กุญแจที่ไม่อาจเปิดออก อย่างไรก็ย่อมถูกเจาะดู สายลับอาจอยู่ข้างจักรพรรดิ อาจอยู่ระหว่างส่งข่าว หรือบางทีอาจจะอยู่ข้างเขาก็เป็นได้
ห้ามไว้ใจใคร นั่นเป็นสิ่งแรกที่จักรพรรดิสั่งสอนเขา และเรียกได้ว่าเป็นคำสั่งสอนที่สำคัญที่สุดของจักรพรรดิก็ว่าได้
เลออนรู้ความจริงที่ว่าจักรพรรดิผู้นั้นซื่อตรงกับคนเพียงผู้เดียว เมื่อใดที่อยู่ต่อหน้าจักรพรรดินีผู้เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านหลังจากให้กำเนิดเขา องค์จักรพรรดิก็จะแสดงความจริงใจเสมอ
‘แม้มันจะไม่ใช่สภาพที่น่าดูสักเท่าไร’
เรื่องที่จริงใจ ใช่ว่าจะมีแต่สิ่งที่ดีเท่านั้น หลังจากตกหลุมรักจักรพรรดินีตั้งแต่แรกเห็น จักรพรรดิก็ตัดศีรษะคู่หมั้นของนาง และจับนางมานั่งเคียงข้างตน จนตอนนี้ ความรักนั้นก็ยังไม่แปรผัน จักรพรรดิจะไปหาจักรพรรดินีที่อาศัยอยู่คนเดียวในตำหนักซึ่งอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงเดือนละครั้ง ผู้คนล้วนแต่สรรเสริญจักรพรรดิที่ไม่รับนางสนมแม้แต่คนเดียวและยังไปหาจักรพรรดินีอยู่เป็นนิจ ขณะเดียวกันก็อิจฉาจักรพรรดินีที่ได้รับความรักจากเขา ทว่าเลออนรู้ว่ามีอยู่คนหนึ่งที่สาปแช่งความรักนี้
“ยังดีที่ไม่ฆ่าตัวตาย”
หลังจากนึกถึงภาพที่มารดาของตนกรีดร้องหรือร้องไห้และพยายามจะหนีไปในทุกครั้งที่จักรพรรดิไปหา เลออนก็ฉีกยิ้มขมขื่น
โชคดีหรือ จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมนะ มารดาไม่ได้เกลียดเขา ไม่สิ กลับกลายเป็นว่านางขอบคุณที่เขาเกิดมาด้วยซ้ำ จักรพรรดินีล้วนแต่ยินดีหากมีสิ่งใดที่ทำให้จักรพรรดิเบนสายตาออกจากนางไปสักนิด หลังจากเลออนเกิดและเติบโต จักรพรรดิก็ได้ทุ่มเทเวลามากมายให้แก่ลูกชายของเขา ซึ่งนั่นก็ทำให้จักรพรรดินีมีอิสระยิ่งขึ้น
ในปีที่เลออนป่วยหนัก จักรพรรดิหวาดกลัวว่าโรคของเลออนอาจจะส่งผลไปถึงจักรพรรดินี และด้วยเพราะกังวลว่าตนจะสูญเสียทายาทเพียงคนเดียวไป เขาจึงไม่ได้ไปตำหนักของจักรพรรดินีเป็นเวลาหนึ่งเดือน หลังจากเลออนอาการดีขึ้นและกลับไปหามารดาของตนอีกครั้ง จักรพรรดินีคว้าเขาเข้าไปกอดพลางร้องไห้ นางซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากพร้อมกับกล่าวว่าเป็นเพราะเขา นางเลยได้อยู่อย่างอิสระถึงหนึ่งเดือน แม้ว่าตกดึกคืนนั้นนางจะนำผ้าห่มของข้ารับใช้ที่เจ็บไข้อยู่มาห่มให้เลออนก็ตาม
หลังจากได้รู้เรื่องนั้น จักรพรรดิก็ยิ้มพลางกล่าวกับจักรพรรดินีว่า
“จักรพรรดินี องค์ชายรัชทายาทป่วยถึงเพียงนั้น เราคงไม่กังวลเรื่องอนาคตของจักรวรรดิมิได้ ดังนั้นอย่างไรเราคิดว่าจำเป็นต้องมีทายาทอีกสักคน”
ตอนนั้น เลออนมองหน้ามารดาที่ซีดเซียวยิ่งกว่าซากศพ จักรพรรดิไม่มีความคิดที่จะมีทายาทจากหญิงอื่นที่ไม่ใช่จักรพรรดินีเด็ดขาด หลังจากนั้น เลออนก็ไม่ป่วยในตำหนักของจักรพรรดินีอีกเลย
เลออนหลุดออกจากความคิดในอดีตเพราะเสียงเอี๊ยดอ๊าดของขาเก้าอี้ ตาของเขาจับจ้องไปที่จดหมายอีกครั้ง
“อยู่วิหารหลวงสบายดีหรือไม่? ดูเหมือนจักรพรรดินีจะคิดถึงเจ้า”
จดหมายที่ดูเหมือนเป็นห่วงลูกของตนจริงๆ ทำให้เลออนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา แน่นอนว่าสิ่งที่เขียนอยู่ในจดหมายเป็นความจริง เพราะหากเขาไม่อยู่ จักรพรรดิก็คงทุ่มเทเวลากับจักรพรรดินีมากขึ้น แต่เขารู้ว่าจักรพรรดิมิได้ส่งมาจดหมายมาเพื่อบอกกล่าวเรื่องนั้นเท่านั้น
‘ตำหนิหรือ’
จนถึงตอนนี้ จักรพรรดิไม่เคยส่งจดหมายเช่นนี้ให้เขามาก่อน เรื่องที่เขาเกาะติดนักบุญหญิงคงไปถึงหูของจักรพรรดิแล้ว ดังนั้นจักรพรรดิจึงน่าจะรอคอยชัยชนะที่เลออนจะส่งไปให้ ลูกชายของเขาผู้คว้าชนะได้เสมอ ในคราวนี้ก็คงได้สิ่งที่ตนต้องการกลับมาแน่
เลออนส่งเสียงคร่ำครวญก่อนจะขยับตัว เขาฉีกจดหมายทิ้งลงในเตาผิงที่มีไฟลุกโชน จดหมายไหม้จนดำ กลายเป็นขี้เถ้าละเอียดในไม่ช้า เลออนมองดูภาพนั้นอยู่สักพักก่อนจะออกจากห้อง เหล่าทหารคนสนิทของเขาวิ่งตามไป แต่เลออนยกมือขึ้นโบก เป็นสัญญาณว่าอยากไปคนเดียว
เลออนเดินในวิหารหลวงอย่างไร้จุดหมายพลางจมอยู่ในความคิด
เขาไม่สามารถอยู่ที่วิหารหลวงไปตลอด เขาเป็นองค์ชายรัชทายาท และต้องกลับไปจักรวรรดิสักวันหนึ่ง ตอนนี้ทั่วทวีปอยู่ในช่วงหยุดพักสงคราม ดังนั้นเขาจึงใช้เหตุผลนี้ได้ แต่หากเกิดการโต้เถียงกับอาณาจักรขึ้นอีก เขาคงต้องยุ่งกับเรื่องนั้นไปสักพัก
‘เพราะฉะนั้นจึงควรจะจบเรื่องที่นี่ให้ได้ก่อน…’
เขาทอดถอนใจสั้นๆ ใครจะคิดว่าสิ่งที่เขาต้องการที่สุดจะอยู่ในวิหารหลวงที่เขาถือเป็นของเล่นมาตลอดกัน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด เลออนมักจะได้ของที่ตนต้องการมาอยู่ในมืออย่างง่ายดายมาตลอด ดังนั้นเขาจึงรู้สึกอึดอัดใจแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกสนุกกับความรู้สึกไม่คุ้นเคยที่ตนต้องดิ้นรนให้กับนักบุญหญิงที่เหมือนจะคว้าไว้ได้แต่ก็ไม่ได้เสียที
สายตาของเลออนที่กวาดมองตึกสูงของวิหารหลวงหยุดลงบนกำแพง เขาเร่งฝีเท้าเล็กน้อย และขึ้นไปบนนั้น ราธบันกำลังยืนจ้องท้องฟ้าอยู่ที่นั่น
“ไม่นึกเลยว่าท่านจะมีงานอดิเรกมาชื่นชมท้องฟ้าเช่นนี้…มันก็งดงามจริงๆ”
เลออนมองท้องฟ้ายามอัศดงพลางเอ่ยชวนราธบันคุย ทว่าราธบันกลับไม่ต่อล้อต่อเถียงอะไรและมองไปด้านบนอย่างเดียว
ตรงนั้นมีอะไรหรือไง?
เลออนเงยหน้ามองจุดที่ราธบันมอง ลมพัดเข้ามาจนทำให้เขามองได้ไม่ชัดเจน แต่เมื่อมองดูไปสักพัก เขาก็เห็นอะไรบางอย่างที่ดูคล้ายจุดจากที่ไกลๆ ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นนก แต่จะมีนกที่ไหนกันที่หยุดนิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดียวแบบนั้น
“เฮ้อ…”
ทั้งที่ราธบันไม่ได้พูดอะไรแต่เขากลับคาดเดาได้ เรื่องที่ทำให้ราธบันสนใจถึงเพียงนั้น มันก็แน่นอนอยู่แล้ว
“…ลีน่าอยู่กับแอสรันอย่างนั้นหรือ”
ราธบันหันมาจ้องเลออนเขม็งครั้งหนึ่งเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เอ่ยเรียกนักบุญหญิงราวกับเรียกเพื่อน ก่อนจะหันไปมองฟ้าอีกครั้ง เลออนเท้าคางมองท้องฟ้าบนกำแพงวิหาร หากอยู่ตรงหน้าเขาคงตะโกนบางอย่างใส่ แต่นี่อยู่ไกลขนาดนั้น เขาจึงแทรกเข้าไปไม่ได้ เลออนจ้องมองจุดที่ไม่ขยับเขยื้อนอยู่สักพัก ก่อนจะรู้สึกโล่งใจเป็นครั้งแรก
หากแอสรันตัดสินใจ เขาก็สามารถพานักบุญหญิงกลับไปได้เสมอ แต่เขาไม่ทำเช่นนั้น เพราะแอสรันไม่ได้ต้องการเพียงแค่ร่างกายของนาง
ใช่ว่าจะมีแค่แอสรัน ทั้งเขา ทั้งราธบัน ทุกคนต่างก็ต้องการหัวใจของนางมิใช่หรือ
“อึ้ดช่า”
คิดได้ถึงตรงนั้น เลออนก็หมุนตัวที่พิงกำแพง
หากต้องการหัวใจของนาง ก็ย่อมต้องพยายาม อีกทั้งเรื่องราวในคราวนี้ ตนอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบในการให้ความช่วยเหลือแก่นักบุญหญิงมากกว่าแอสรันและราธบัน ดังนั้นจะพลาดโอกาสไปไม่ได้
เลออนกวาดตามองรอบกาย นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมามัวทำอะไรเช่นนี้ เขาควรทำเรื่องที่นางไหว้วาน เหล่าอัศวินมาตรวจตรากำแพงวิหารตรงตามเวลา และมีเหล่านักบวชเดินมาจากฝั่งตรงข้าม
‘ผู้ชมประมาณนี้เพียงพอแล้ว’
หลังจากจ้องมองฝูงชน เลออนก็เข้าไปหาราธบัน จากนั้นก็ยกกำปั้นชกเข้าไปที่หน้าของเขาที่กำลังเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างไม่ลังเล
ปัก! เสียงร้องตกใจของผู้คนดังขึ้นพร้อมกัน ราธบันใช้หลังมือลูบแก้มที่กลายเป็นสีแดงพลางจ้องเขม็งมาทางเขา เลออนหยักไหล่ให้เขาหนึ่งที จากนั้นเหลือบมองท้องฟ้าอีกครั้ง
ทั้งหมดเป็นสิ่งที่นักบุญหญิงไหว้วาน