หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 13.1 อีริส (1)
“อีริส? นั่นคือชื่อของคนหลอกลวงใช่หรือไม่?”
น้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเดือดดาลดังขึ้น ถ้อยคำนั้นทำให้เหล่านักบวชคนอื่นที่อยู่รอบข้างต่างก็ทวีความโกรธออกมาคนละคำ
ตอนนี้ในห้องประชุมเสียงอึกทึกครึกโครมยิ่งกว่าตลาดเสียอีก ที่นี่วุ่นวายไปด้วยความหวาดวิตกเหมือนอย่างคราวก่อนที่แอสรันใช้พลังเวท ไม่สิ มันมากกว่านั้นด้วยซ้ำ คำพูดไม่กี่คำที่ถ่ายทอดผ่านพลังศักดิ์สิทธิ์มีน้ำหนักมากพอที่จะสั่นคลอนวิหารหลวงแห่งนี้
นักบุญหญิงอีกผู้หนึ่ง
ในอดีต มีนักบุญหญิงตัวปลอมปรากฏตัวขึ้นบนโลกอยู่หลายครั้ง เป้าหมายของพวกเขาต่างกันไป มีตั้งแต่กลุ่มคนที่แอบอ้างตนเป็นนักบุญหญิงเพื่อจะได้เสพสุขกับความร่ำรวยและเกียรติยศไปจนถึงกลุ่มที่ต้องการอำนาจและชื่อเสียงของวิหารหลวง
แต่ใช่ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิงจะมีใครเลียนแบบได้ หากเหล่านักบวชจากวิหารหลวงและอัศวินคิดจะไปที่นั่นเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ คนต้มตุ๋นเหล่านั้นก็จะปิดบังร่องรอยก่อนที่พวกเขาจะไปถึงเสียอีก ดังนั้นตอนนี้เหล่านักบวชจึงทำเพียงแสดงความไม่พอใจต่อข่าวลือประเภทนั้น และไม่ได้ตอบสนองอะไรเป็นพิเศษ แต่คราวนี้ต่างออกไป
หากไม่ใช่ผู้ที่ครอบครองพลักศักดิ์สิทธิ์เข้มข้นก็ยากที่จะใช้ทักษะถ่ายทอดคำพูดผ่านพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ กระทั่งเหล่านักบวชระดับสูงที่สามารถใช้ทักษะนี้ได้ในวิหารหลวงยังนับได้ด้วยสิบนิ้ว
‘เห็นว่าชื่อนักบวชอาเดคหรือเปล่านะ’
นักบวชอาเดคผู้ที่ถ่ายทอดคำพูดมา เขาเสียสละตนไปอยู่ชายแดนเพื่อผู้คนที่นั่นเมื่อนานมาแล้ว ลองค้นดูในความทรงจำของอีเบลลีน่าก็พบว่าเขาคือคนที่ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก และเป็นนักบวชที่ซื่อสัตย์ด้วยเช่นกัน
เขาผู้นั้นกล่าวว่ามีนักบุญหญิงอีกผู้หนึ่ง คำพูดเช่นนั้นของเขาหมายถึงว่าเขาได้ตรวจสอบแล้วว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของอีริสเป็นของจริงหรือไม่ และยืนยันแล้วว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของนางไม่ใช่เรื่องโกหก
แน่นอนอยู่แล้ว เพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ที่อีริสครอบครองอยู่ตอนนี้ คือพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เคยเป็นของอีเบลลีน่ามาก่อน
‘นั่นไม่ใช่ของเธอสะหน่อย’
ฉันกัดริมฝีปาก ก่อนจะสะดุ้งเฮือก
‘ทำไม…’
พลังศักดิ์สิทธิ์ของอีเบลลีน่าจะหายไปและอีริสจะได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ไป ฉันรู้อนาคตนั่นดีกว่าใคร นั่นเป็นเรื่องที่ฉันเตรียมใจไว้แล้วและเป็นเรื่องที่ฉันคิดว่าจะเกิดขึ้นแน่นอน แล้วทำไมฉันถึงโกรธแบบนี้กัน
ระหว่างนั้นเอง เสียงของเหล่านักบวชก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้พวกเขาเริ่มทะเลาะกันมากกว่าที่จะพูดคุยแล้ว
ศีรษะปวดตุบ ฉันนวดขมับแล้วก็นึกได้ ปกติแล้วก่อนที่เหล่านักบวชจะส่งเสียงโหวกเหวกแบบนี้ จะมีเสียงที่สั่งให้พวกเขาอยู่ในความสงบ
ฉันค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ราธบันยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเหม่อลอย เขาดูเหมือนคนที่ไม่ได้ยินความวุ่นวายนี้เลย เขาเหม่อมองอากาศ แล้วจู่ๆ ก็กำหมัดราวกับกำลังอดกลั้นอะไรบางอย่างขึ้นฉับพลัน ลำคอแดงก่ำทันที
แขนของเขาแกว่งไปมาไม่อยู่นิ่งราวกับกำลังกระสับกระส่าย เป็นท่าทางที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลยสักครั้งหลังจากรู้จักเขา และยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นครั้งแรกหลังจากสนิทกันที่เขาไม่สบตาฉันในตอนที่ฉันมองเขา
จนถึงตอนนี้ หากฉันกวาดสายตามอง เราก็จะสบตากันราวกับราธบันมองฉันอยู่เสมอ
“ราธบัน?”
แม้ฉันจะจ้องเขาอยู่สักพักแต่เขาก็ยังไม่หันมาทางฉัน ท่าทีแบบนั้นพลันให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
“…!”
ในขณะที่กำลังจะปะทะสายตากัน เขาก็หันหน้าหนีไปทันที
‘เขาหลบ’
ฉันรับรู้ได้ เขาหลบสายตาของฉันโดยเจตนา ท่าทางแบบนั้นของเขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนใต้ฝ่าเท้ายุบฮวบ ฉันออกแรงจับที่วางแขนเก้าอี้แน่น เหงื่อกายรินไหล
ทำไมกัน เพราะอะไร
จนถึงเมื่อวาน ราธบันยังปกติดี
ฉันจ้องมองกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า ด้านล่างของกระดาษที่เขียนถึงเนื้อหาของคำที่ถ่ายถอดมา มีลายเซ็นของเหล่านักบวชหลายคนเพื่อรับรองว่าสิ่งที่พวกตนได้ยินเป็นความจริง ในนั้นมีลายเซ็นของราธบันด้วยเช่นกัน
นักบุญหญิงอีกผู้หนึ่ง อีริส
‘หรือว่า…’
ฉันส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว แต่ถึงแม้ราธบันจะได้ยินกับหู แต่แค่นั้นจะทำให้เขาแสดงท่าทีแบบนี้เลยเหรอ? ฉันนึกถึงความคิดที่ทำให้ตัวสั่นอยู่คนเดียวเมื่อคืนอีกครั้ง ความคิดที่ว่าเรื่องราวกำลังกลับเข้าสู่ทิศทางเดิมของโลกใบนี้หรือเปล่า
‘ตอนนี้ยังไม่ได้’
จะไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้นนอกเหนือจากการที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ตำแหน่งนักบุญหญิงจะยังคงกลายเป็นของอีริส และถึงแม้ราธบัน เลออน และแอสรันจะมีความสนใจในตัวนาง ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ ทว่าต้องไม่ใช่ตอนนี้ ทำไมอีริสต้องมาปรากฏตัวขึ้นตอนนี้ ในตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับคาร์ลด้วย
ความกระวนกระวายและความไม่สบายใจทำให้อาการปวดหัวค่อยๆ ลามไปทั่วร่าง ปลายนิ้วเริ่มชาและเย็นเชียบ ราวกับว่าถ้าฉันขยับตัวแม้เพียงเล็กน้อย ร่างกายที่แข็งเกร็งจะส่งเสียงแตกร้าว
‘ฉันอยากกลับห้อง’
ฉันอยากหลับให้สนิทโดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้นในสถานที่เงียบสงบและอบอุ่น แต่ต่างจากที่ฉันหวัง เสียงประกาศให้เริ่มประชุมดังขึ้น ตอนนั้นเองเหล่านักบวชถึงได้ปิดปากที่กำลังส่งเสียงดังและรีบกลับไปนั่งที่ของตนเอง
“เช่นนั้น จากนี้ไปจะเริ่มการประชุมเกี่ยวกับคำถ่ายทอดที่มาถึงเมื่อวาน ก่อนอื่นคือเรื่องเกี่ยวกับปีศาจเฮกซ่า คงมีหลายท่านที่จดจำชื่อนี้ได้ เฮกซ่าคือปีศาจที่ปรากฏตัวขึ้นที่คาบสมุทรเดลรูชีทางตอนเหนือเมื่อห้าสิบห้าปีก่อน มีลักษณะคล้ายสิงโตและสามารถบินขึ้นท้องฟ้าได้ เซอร์เฮกโทร ผู้บัญชาการในขณะนั้นเป็นผู้ฟันตาข้างหนึ่งของมันเพื่อให้แยกแยะกับปีศาจตนอื่นได้ ก่อนจะตั้งชื่อมันว่าเฮกซ่า มันเป็นปีศาจที่ใช้พิษร้ายแรง ในตอนนั้นมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตกว่าพันคน…”
นักบวชที่ทำหน้าที่ดำเนินการประชุมอธิบายเกี่ยวกับปีศาจเฮกซ่าอย่างสั้นกระชับและเล่าให้ฟังว่าเกิดความเสียหายอย่างไรบ้างในอดีตตอนที่ปีศาจตัวนั้นปรากฏตัวขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน การอธิบายก็จบลง เหล่านักบวชเริ่มออกความเห็นของแต่ละคน
“เราควรเรียกรวมตัวเหล่านักบวชทุกคนที่อยู่วิหารที่ใกล้ที่สุดมา”
“ใช่แล้ว เราต้องไปอพยพผู้คนที่นั่นออกมาให้เร็วที่สุด จากนั้นก็รีบส่งหน่วยอัศวินแห่งวิหารไปเสีย”
เมื่อได้ยินคำว่าหน่วยอัศวินแห่งวิหาร ฉันก็ลุกพรวดและตะโกนออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ไม่ได้!”
การกระทำอย่างฉับพลันของฉัน ทำให้เหล่านักบวชจ้องฉันด้วยใบหน้าตกใจ
คำพูดของเหล่านักบวชที่ว่าให้ส่งหน่วยอัศวินแห่งวิหารไปนั้นไม่ผิด หากเป็นปีศาจตัวเล็กก็ว่าไปอย่าง แต่ปีศาจขนาดใหญ่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนธรรมดาหรืออัศวินระดับทั่วไปเด็ดขาด หากไม่ใช่เหล่าอัศวินที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ซึ่งผ่านการฝึกฝนอย่างเคร่งครัด การเผชิญหน้ากับปีศาจขนาดใหญ่ก็ไม่ต่างจากการฆ่าตัวตาย
แต่ตอนนี้ไม่อาจส่งหน่วยอัศวินแห่งวิหารไปได้ ไม่สิ ให้ชัดเลยคือจะส่งราธบันไปไม่ได้
ภาพฉากต่างๆ ที่เคยอ่านในนิยายแวบผ่านในหัว ราธบันต่อสู้กับปีศาจและได้พบกับอีริส เขาถูกนางดึงดูด จากนั้นคุกเข่าให้กับนางผู้ตื่นรู้เป็นนักบุญหญิงอย่างสมบูรณ์แบบ
อีกทั้ง ตอนนี้อีริสยังตื่นรู้เป็นนักบุญหญิงเร็วกว่าในนิยายอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าหากราธบันได้เห็นร่องรอยที่อีริสทำหลังจากไปถึงสถานที่ที่เฮกซ่าปรากฏตัว เขาจะต้องตระหนักได้ในทันทีแน่ว่าใครคือนักบุญหญิงตัวจริง
“ท่านนักบุญหญิง แต่ว่า…”
“ข้าบอกว่าจะไม่ส่งไป”
ฉันย้ำกับเหล่านักบวชราวกับสั่งว่าไม่ให้พวกเขาพูดอะไรอีกทั้งนั้น ทันใดนั้น แววตาของพวกเขาพลันมีความผิดหวังแวบผ่าน ไม่ใช่แค่ความผิดหวังธรรมดา ยังมีความรังเกียจที่คุ้นเคยแทรกซึมอยู่ด้วย เป็นสายตาที่เหล่านักบวชใช้มองฉัน ในตอนที่ฉันเข้ามาในร่างของอีเบลลีน่าครั้งแรก
ฉันรู้ว่าทำไมพวกเขาถึงมองฉันด้วยสายตาแบบนั้น อีเบลลีน่าในอดีตได้ขัดขวางการระดมพลของหน่วยอัศวินแห่งวิหารจนทำให้ผู้คนจำนวนมากเกิดความเสียหาย สายตาของพวกเขาทำให้ฉันหุบปาก
การกระทำที่ฉันทำอยู่ตอนนี้เหมือนกับที่อีเบลลีน่าเคยทำไม่มีผิด
ตกดึก ฉันถึงได้รับความเงียบสงบที่ต้องการมา ฉันดึงหมอนเข้ามากอดและกัดปากอยู่บนเตียงนอนในห้องซึ่งปกคลุมด้วยความมืด
การประชุมที่ดูเหมือนจะลากยาวไม่สิ้นสุดจบลงโดยไร้ซึ่งประโยชน์อะไรเป็นพิเศษ คำตัดสินสุดท้ายของการสนทนาที่แสนยาวนาน คือส่งหน่วยอัศวินส่วนหนึ่งยกเว้นราธบันและเหล่านักบวชไปยังสถานที่ที่ปีศาจปรากฏตัวขึ้นก่อน
เรื่องเกี่ยวกับปีศาจจบลงประมาณนั้น จากนั้นเหล่านักบวชก็ส่งสายตากัน ก่อนจะเริ่มพูดถึงเรื่องต่อไป
แม้จะมีคนออกความคิดเห็นว่าบางทีนักบวชอาเคคผู้ที่ส่งถ่ายทอดข้อความมาอาจจะผิดพลาดบางอย่าง ดังนั้นพวกเราอาจจะกำลังเข้าใจข้อความนั้นผิด แต่คำพูดนั้นก็ไม่ได้รับการสนับสนุน
“ไม่ว่าใครได้ยินก็ฟังเป็นอื่นไม่ได้นอกจากว่ามีนักบุญหญิงที่ชื่ออีริสปรากฏตัวขึ้น ถ้าหากนักบวชอาเดคสงสัยหญิงสาวที่ชื่ออีริส เขาก็คงบอกแล้วว่านางเป็นนักบุญหญิงตัวปลอม!”
คำพูดของใครบางคนกระแทกเข้ามาในใจฉัน นักบุญหญิงตัวปลอม
“…นั่นมันฉันต่างหาก”
ฉันหลุดพึมพำไปโดยไม่รู้ตัว หากสมัยก่อนคิดว่าคนที่ไม่ใช่อีเบลลีน่าคือตัวปลอม บัดนี้อีเบลลีน่านี่ล่ะคือตัวปลอม ฉันลูบคลำบนต้นขา หากพลังศักดิ์สิทธิ์หายไปจากนักบุญหญิงจนหมดมันจะยังอยู่ไหมนะ
ฉันย้อนนึกถึงเหตุการณ์หลังจากจบการประชุม ราธบันจะมาส่งฉันจนถึงหน้าห้องแต่เขาก็ยังคงไม่มองฉัน แม้ฉันจะกล่าวขอบคุณที่เขามาส่ง เขาก็ทำเพียงตอบรับเป็นพิธีเท่านั้น
ภายในหัวสับสนวุ่นวาย ทำไมราธบันถึงได้กลายเป็นแบบนี้กัน เป็นเพราะคำถ่ายทอดนั่นจริงๆ เหรอ? เป็นไปได้ไหมที่เขามีการตอบสนองต่อชื่อของอีริสเพื่อให้กลับไปยังทิศทางเดิมของเรื่อง? แต่พอคิดดูแล้วไม่เคยมีใครเอ่ยชื่อของอีริสมาก่อนนะ? ฉันต้องส่งหน่วยอัศวินไปยังพื้นที่ที่ปีศาจปรากฏตัวก็จริง แล้วราธบันล่ะ? จะไม่มีปัญหาในการเผชิญหน้ากับคาร์ลหลังจากเขาไปใช่ไหม?
ความกังวลเรื่องอื่นๆ เข้ามากัดหางต่อกันและขยายขนาดแต่ละอันก่อนที่ความกังวลแรกจะจบเสียอีก
ฉันฝังหน้าลงบนหมอน ฉันรู้สึกอัดอัดใจอีกครั้งและเริ่มปวดท้องขึ้นมา คิดดูแล้วเหมือนจะยังไม่ได้กินข้าวเย็น แต่ถึงอย่างไร ตอนนี้แม้แต่น้ำก็คงดื่มไม่ลง
‘ฉันควรทำยังไง’
ฉันต้องทำอย่างไรถึงจะถูกต้อง ฉันควรต้องทำอะไรอย่างไร…
ในตอนที่กำลังจมอยู่กับความคิด เส้นผมพลันปลิวสะบัดเพราะลม
“ทำไมเป็นเช่นนั้น”
เพราะตระหนักได้ว่าเปิดหน้าต่างไว้เนื่องจากลมเย็น ฉันจึงไม่ตกใจแม้จะได้ยินเสียงของแอสรันดังขึ้นด้านข้างก็ตาม
“…แอสรัน”
เงยหน้าขึ้นก็เห็นแอสรันมองฉันอยู่ ในชั่วขณะที่กำลังวางใจขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาของเขาที่ยังจ้องมาที่ฉันอย่างเปิดเผย แอสรันก็เปิดปากพูด
“เวทมนตร์เสร็จสมบูรณ์แล้ว”
ฉันชะงักไปเมื่อได้ยิน เขาพูดขึ้นอีกครั้ง
“ใช่แล้ว ข้าสืบรู้แล้วว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่หายไปของเจ้าอยู่ที่ไหน แล้วก็สัมผัสได้ถึงพลังของปีศาจที่แข็งแกร่งมากแถวนี้ด้วย ดังนั้นข้าจะลองไปที่นั่นดูก่อน ต่อให้อยู่ในวิหารหลวงไปพลังข้าฟื้นฟูช้า เช่นนั้นแล้วข้าจะออกไปสักครู่ หากฟื้นฟูได้เร็วขึ้นมันจะคงจะเป็นประโยชน์แก่เจ้ามากกว่า แน่นอนว่าข้าจะกลับมาทันที แม้ที่ผ่านมาจะไม่ค่อยชอบใจ แต่ไอ้อัศวินนั่นจะต้องปกป้อง…”
ชั่วขณะ ฉันจับปลายเสื้อของแอสรัน
“อย่าไปเลย แอสรัน”
ทันทีที่ฉันจับเขาไว้ แอสรันก็ยื่นหยุดนิ่งมองฉันด้วยใบหน้าประหลาดใจอยู่สักพัก ไม่นานก็มีรอยยิ้มอบอุ่นปรากฏขึ้นบนหน้าเขา เขาก้มตัวลงจุมพิตบนหน้าผาก
“อย่าบอกนะว่าเป็นห่วง”
“…”
แม้จะได้ยินน้ำเสียงที่ฟังดูอารมณ์ดีของเขาแต่ฉันไม่อาจพูดอะไรได้ทั้งสิ้น หน้าอกข้างหนึ่งรู้สึกโหวง เป็นห่วงงั้นเหรอ? ใช่ฉันเป็นห่วง แต่ไม่ได้เป็นห่วงเขา
‘ต่อจากนี้ฉันจะเป็นยังไง’
ตั้งแต่วินาทีที่ข่าวคราวของอีริสถูกถ่ายทอด ฉันก็ได้แต่กังวล แอสรันดูดีใจโดยที่ไม่เข้าใจความรู้สึกของฉัน ฉันไม่สามารถมองใบหน้าของเขาได้ตรงๆ จึงลอบปล่อยมือ แอสรันคว้ามือฉันไว้ จากนั้นก็ลากมาทางหน้าเขา
“ความภาคภูมิใจของข้าถูกทำร้ายเสียแล้ว ไม่เคยมีใครเป็นห่วงข้ามาก่อนในชีวิต”
ฉันแอสรันยิ้มพลางพูดแบบนั้น
“เป็นเพราะข้าดูเหมือนสูญเสียพลังไปในครั้งเดียวเพราะใช้เวทมนตร์ขนาดใหญ่หรือ?”
“…ใช่”
แอสรันยังคงดูอ่อนแรงเป็นพิเศษหลังจากใช้เวทมนตร์ส่งไปทั่วทวีปเพื่อที่จะตามหาร่องรอยของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่หายไป ไม่งั้นขนาดเห็นราธบันกับเลออนตัวติดกับฉันแล้วเขาจะปล่อยไปเฉยๆ เหรอ?
“อาจจะดูเหมือนข้ออ้าง แต่ข้าคิดว่าเจ้าควรจะรู้ไว้เลยจะบอกให้ฟัง การสูญเสียพลังเวทระดับนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย หากข้าไม่ได้อยู่ในวิหารหลวงก็คงฟื้นฟูกลับมาแล้ว อันที่จริง ใช่ว่าถ้าอยู่ในวิหารแล้วจะฟื้นฟูไม่ได้ เพราะแค่ข้ากลับคืนสู่รูปร่างเดิมสักครั้งก็สิ้นเรื่องแล้ว แต่ว่า…”
แอสรันจุมพิตลงบนปลายนิ้วของฉันที่ถูหน้าของเขาอยู่
“…ข้าต้องอยู่ในร่างของปีศาจอีกนานมาก หากเป็นเช่นนั้นก็ยากที่จะสัมผัสเจ้าไปช่วงหนึ่ง ร่างนั้นจะเป็นอันตรายเมื่อสัมผัสกับพลังศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า เพราะฉะนั้นจึงต้องอยู่ในร่างของมนุษย์ ข้าถึงจะสัมผัสเจ้า และอยู่ข้างเจ้าได้”
คำพูดของเขาทำให้ฉันรู้สึกฝาดเฝื่อน หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากเขามาที่วิหารหลวง ไม่มีทางเป็นสถานการณ์ที่น่าพอใจสำหรับแอสรัน แต่เขาก็ยังอยู่เฉยเพราะคิดว่าพลังของตนเองมีข้อจำกัด ทั้งที่อันที่จริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น
ฉันมองเขาที่กำลังก่อกวนปลายนิ้วฉันด้วยริมฝีปาก ฉันรู้สึกซาบซึ้งและเสียใจในเวลาเดียวกันที่เขาอดกลั้นทุกอย่าง ละทิ้งศักดิ์ศรีเพราะต้องการอยู่เคียงข้างฉัน
‘อีกทั้ง…’
เพราะมัวแต่สนใจมือที่ถูกขบเบาๆ กว่าจะรู้ตัวว่ามือเขาโอบเอวฉันเข้าไปกอดก็สายไปเสียแล้ว แต่ก็หยุดแค่ตรงนั้น แม้นจะคิดว่าเขาออกแรงดึงเข้าไปกอดแล้วจะจูบ จากนั้นก็มีอะไรกันหรือไม่ แต่แอสรันก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น
เขากำลังอดทน
แอสรันไม่มีเหตุผลหรือความจำเป็นให้ต้องอดทนด้วยซ้ำ แม้ฉันจะไม่ได้เป็นคนทำ แต่ร่างกายนี้ก็ได้ทำสัญญากับเขาไว้ ดังนั้นเขาจึงสามารถโอบกอดฉันได้ทุกเมื่อที่เขาอยากกอดเพื่อทำตามสัญญานั้น หรือต่อให้ฉันปฏิเสธอย่างไร เขาก็มีอำนาจที่จะเมินมันได้เท่าที่ต้องการ
“แปลกจริงเสียด้วย เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?”
เขามีสีหน้าเป็นกังวลทันทีที่ฉันเอาแต่จ้องเขาโดยไม่ขยับเขยื้อน แอสรันอุ้มฉันขึ้นและเดินไปที่เตียง เขาวางฉันลง ก่อนจะนั่งตรงหน้าฉันเหมือนคุกเข่า จากนั้นแอสรันก็วางแขนลงบนตักฉันที่นั่งหมิ่นเหม่อยู่ปลายเตียงและแหงนหน้ามอง
“ข้ารู้สึกแปลกตั้งแต่แรกแล้ว แต่นึกว่าเจ้าแค่ไม่สบายใจที่ความทรงจำหายไป”
“หมายความว่า…”
“สีหน้าของเจ้าน่ะสิ สีหน้าเหมือนกับกังวลและหวาดกลัวอะไรอยู่ตลอด”
“…!”
ไม่รู้เพราะสัมผัสได้ว่าฉันผงะหรือไม่ บนหน้าของแอสรันจึงปรากฏรอยยิ้มขมขื่น
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดไม่ใช่แค่ข้า แต่อีกสองคนนั้นก็ไม่ได้อยู่ห่างจากเจ้านัก”
แอสรันเอื้อมมือมาหาฉัน เขาจับเส้นผมของฉันที่ปรกอยู่ล่างไหล่อย่างระมัดระวังราวกับกำลังวิงวอน
“ทั้งพวกนั้นและข้าต่างก็มีความมั่นใจ ว่าหากตามเกี้ยวเจ้าด้วยการทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ เจ้าอาจจะยิ้มอย่างสบายใจได้สักครั้ง แต่แปลกจริง ยิ่งทำแบบนั้นเจ้ากลับยิ่งดูไม่สบายใจ”
แอสรันลูบไล้เส้นผมของฉันที่อยู่ในมือ
“แปลกหรือไม่ ทั้งที่ตอนนี้เจ้าไม่หลบมือข้าอีกแล้ว แต่จู่ๆ กลับมองข้าด้วยสายตาหวาดกลัว ราวกับกลัวว่าข้าจะทำร้ายเจ้า”
“…”
“ถ้าเจ้าเป็นเช่นนี้แค่กับข้า ข้าก็คงทำอย่างนั้นไปเสียตั้งนานแล้ว ข้าก็อยากคิดว่าอาจเป็นเพราะเจ้าได้เห็นร่างที่กลับคืนสู่สภาพปีศาจของข้า ถึงแม้มันจะแค่ส่วนหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วเจ้าดูไม่ได้ใส่ใจมันเลยสักนิด เช่นนั้นแล้ว…”
แอสรันลุกขึ้น ดวงตาของเขามองตรงมาที่ฉันตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
“เจ้ากลัวอะไรอยู่กันแน่?”
“…”
ฉันไม่อาจตอบอะไรกลับไปเมื่อได้ยินคำถามของแอสรัน เพราะฉันไม่อาจตอบไปว่าฉันกลัวอนาคตที่ท่าน ไม่สิ อนาคตที่พวกท่านอาจจะนำมา
พอฉันไม่พูดอะไร เขาก็ถอนหายใจสั้นๆ พร้อมกับยิ้มขื่น เขาคงตระหนักได้ว่าอย่างไรฉันก็ไม่ยอมตอบ
“ไม่นานข้าจะกลับมา ข้าจะไปที่นั่นดูว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเป็นอย่างไร…และจะไปจัดการปีศาจที่ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่ด้วย เป็นเพราะมันวิหารหลวงถึงได้เอะอะวุ่นวายไปหมด ดังนั้นเจ้าก็อยู่เฉยๆ จนกว่าข้าจะกลับมาแล้วกัน ไอ้ผมดำนั่นจะดูแลเจ้าเอง”
ขณะที่พูด แอสรันก็กัดฟันราวกับหงุดหงิดจากใจจริง
“ข้าเกลียดมัน แต่ถึงกระนั้น ก็มีเหตุผลหนึ่งอย่างที่ข้าอดทนให้มันอยู่ข้างเจ้าได้”
แอสรันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังถึงที่สุด
“เพราะมันเป็นคนที่ยอมสละชีวิตเพื่อเจ้า”