หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 13.2 อีริส (2)
คาร์ลนั่งจ้องประตูเขม็งอยู่บนเก้าอี้และจมอยู่กับความคิด
ชีวิตประจำวันของเขาไม่มีอะไรเปลี่ยนไป นอกจากนักบวชที่นำอาหารมาให้เขาวันละสองครั้ง คนอื่นก็ไม่สามารถเข้าเยี่ยม สิ่งของหรือหนังสืออื่นๆ นอกจากพระคัมภีร์ที่ผ่านการตรวจสอบแล้วไม่อาจนำเข้ามาภายในห้องได้ ความคาดหวังว่าอาริคจะเข้ามาอีกครั้งเพื่อที่เขาจะได้เล่นสนุกสักหน่อยก็หายไปตามๆ กัน เพราะอาริคไม่เคยปรากฏตัวขึ้นอีกเลยหลังจากวันนั้น
เขาไม่เบื่อ ไม่สิ เขาจะเบื่อไม่ได้ ทุกนาที ทุกวินาที คาร์ลต้องพยายามควบคุมความโกรธที่พลุ่งพล่านของเขา
ความโกรธที่มีต่อนักบุญหญิงจบลงด้วยการย้อนนึกถึงอดีตเสมอ เมื่อนึกถึงภาพความอัปยศที่นางแสดงออกมาในอดีต คาร์ลถึงพอจะรู้สึกดีและสงบลงได้บ้าง แต่หลังจากนั้นก็จะมีความปรารถนาอื่นเกิดขึ้นในตัวเขา ความปรารถนาที่จะได้เห็นนางตกลงสู่ขุมอเวจีอีกครั้ง
‘แต่ก็ได้แค่นี้’
ไม่มีใครเข้ามาเยี่ยมได้นอกจากนักบวชที่นำอาหารมาให้วันละสองครั้ง รวมถึงเหล่าอัศวินที่ยืนเฝ้าเขาอยู่ด้านนอกเช่นกัน ในตอนที่ประตูเปิดออกและได้เห็นพวกเขาชั่วครู่ คาร์ลก็รับรู้ได้ว่าพวกเขาไม่มีความรู้สึกดีให้ตนแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าราธบันได้จัดให้อัศวินใหม่ที่ไม่เคยพบเขามาก่อนมาเฝ้า
ปัญหาไม่ได้มีแค่นั้น แม้จะบอกว่าจำนวนลดลง แต่ก็ยังมีเหล่านักบวชที่ไม่เหน็ดเหนื่อยและขอมาพบหน้าเขาอยู่ ทว่าตั้งแต่เมื่อวาน จู่ๆ นักบวชเหล่านั้นก็เหลือไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ
‘ถูกใครบางคนชักนำไปแล้วหรือ?’
แต่จะเป็นใครกัน? ไม่มีทางเป็นนักบุญหญิงไปได้ คาร์ลควบคุมความรู้สึกดีที่เหล่านักบวชมีต่อตนพอๆ กับที่ทำให้พวกเขามีความเป็นปฏิปักษ์ต่อนักบุญหญิง นางจะต้องถูกปล่อยให้โดดเดี่ยวจนถึงที่สุด ไม่ว่านางจะพูดอะไรก็จะไม่มีใครเชื่อคำพูดของนาง
แม้คาร์ลจะคิดว่านักบุญหญิงไม่มีทางบอกเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างนางกับเขาให้ใครฟังได้ แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ หลังจากที่อาริคหนีไป นักบุญหญิงก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าความสัมพันธ์ของนางกับเขามันเป็นสิ่งที่ผิด ดังนั้นเขาจึงได้บอกกล่าวแก่นักบวชคนอื่นไว้ก่อน ว่าช่วงนี้นักบุญหญิงไม่ค่อยพอใจเขา และบางครั้งยังกล่าวคำโกหกที่ทำให้เขารู้สึกลำบากใจ
ด้วยเหตุนี้ คำพูดของนักบุญหญิงที่รวบรวมความกล้าเอ่ยปากกับนักบวชคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องของเขาอย่างระมัดระวัง จึงย่อมถูกคิดว่าเป็นคำโกหกที่นางปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายก่อนที่นางจะได้พูดถึงประเด็นสำคัญเสียอีก
“นักบวชคาร์ลไม่มีทางทำเช่นนั้น”
คำพูดที่ออกมาพร้อมกับรอยยิ้มลำบากใจ ทำให้นักบุญหญิงสูญเสียความตั้งใจทั้งหมด
‘นอกจากครั้งนั้น นางก็อดทนมานานมาก’
นางต้องมีชีวิตต่อไปเพราะไม่อาจฆ่าตัวตาย แต่ที่น่าแปลกใจคือนักบุญหญิงเพียงแค่มีพฤติกรรมเหลวแหลกเท่านั้น ไม่ได้บ้าคลั่งอย่างสมบูรณ์ เขาคิดว่านักบุญหญิงคงทำอะไรบางอย่างเพื่อให้หลุดพ้นจากการควบคุมของเขาในระหว่างที่ตนไม่อยู่แน่
ในตอนที่คาร์ลกำลังจมอยู่กับความคิดก็ได้ยินเสียงดังขึ้นด้านนอก ดูเหมือนเหล่าอัศวินที่ยืนเฝ้ากำลังผลัดเวร แต่การเคลื่อนไหวของพวกเขาต่างจากปกติเล็กน้อย เหล่าอัศวินที่ปกติจะทักทายกันเล็กน้อย ก่อนจะผลัดเวรกันทันที กลับยังคงยืนสนทนากันอยู่หน้าห้อง
‘เกิดอะไรขึ้น?’
คาร์ลเก็บงำกลิ่นอายและย่องเข้าใกล้ประตู เสียงพูดคุยของเหล่าอัศวินดังผ่านช่องว่างระหว่างประตู
“นักบุญหญิงอีกผู้หนึ่งอย่างนั้นหรือ นั่นมันเป็นไปได้รึ?”
“เพราะมันเป็นไปไม่ได้ถึงได้วุ่นวายกันอย่างนี้มิใช่หรือ นักบุญหญิงมีได้เพียงครั้งละหนึ่งคนเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะนักบวชอาเดคเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปแน่ ดังนั้นจึงส่งคนจากวิหารหลวงไปตรวจสอบหญิงสาวที่ชื่อว่าอีริสนั่นแล้ว เอาเป็นว่า กำหนดอัศวินที่จะส่งไปที่นั่นได้แล้ว ทุกคนก็เตรียมตัวไว้ให้ดี รวมถึงเตรียมตัวให้พร้อมต่อสู้กับปีศาจเฮกซ่าด้วย”
“เข้าใจแล้ว”
ไม่นาน เสียงฝีเท้าของกลุ่มคนที่เฝ้าหน้าประตูก็ไกลออกไป กลุ่มคนใหม่ที่มาก็ยืนประจำที่ ทว่าในหูของคาร์ลเสียงพวกนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป
นักบุญหญิงอีกผู้หนึ่ง
คำพูดนั้นเป็นดั่งสายฟ้าดังก้องอยู่ในหัวคาร์ล
นานมาแล้ว ตอนที่สร้างรอยขึ้น เขามีเป้าหมายสองอย่าง นั่นคือเพื่อบงการนักบุญหญิงและเพื่อนำพลังศักดิ์สิทธิ์ของนางมาเป็นของตนเอง
เป้าหมายแรกสำเร็จแล้ว ทว่าเป้าหมายที่สองกลับล้มเหลวจนน่ากลัว พลังศักดิ์สิทธิ์ที่เขาขโมยมาจากนักบุญหญิงเดิมทีมันควรจะมาอยู่กับเขา ทว่าพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ในร่างเขาเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น เขาคิดว่าจะตนได้ยืนอย่างผ่าเผยด้วยพลังที่ล้นหลามอยู่แค่ช่วงหนึ่ง ทว่าสุดท้ายพลังศักดิ์สิทธิ์ก็หายไปราวกับกลุ่มควัน ประหนึ่งว่านี่ไม่ใช่ที่ที่มันจะอยู่
ดังนั้นคาร์ลจึงสร้างรอยขึ้นอีกครั้งอย่างบ้าคลั่ง อีกครั้ง อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น พร้อมกับคาดหวังว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิงจะแทรกซึมมาหาเขา ทว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เข้ามาสู่ร่างของเขาอีกเป็นครั้งที่สอง
เห็นได้ชัดว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิงกำลังลดลง ถ้าเช่นนั้นแล้วพลังศักดิ์สิทธิ์ไปอยู่ที่ไหนกัน
คาร์ลรู้สึกว่าเขาพบคำตอบแล้ว พลังศักดิ์สิทธิ์ที่หายไปจากนักบุญหญิงจะต้องหาร่างอื่นเข้าไปอยู่แน่
“อีริส…”
เป็นชื่อนั้นแน่นอน นักบุญหญิงอีกผู้หนึ่ง หญิงสาวที่รับเอาพลังที่หายไปของอีเบลลีน่าไป
คาร์ลลุกขึ้น เขายืดร่างกายที่โอนเอนจนตรง ใบหน้ามีรอยยิ้มบิดเบี้ยวจนพิลึกพิลั่น หลังจากสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่อยู่ชั่วครู่ คาร์ลก็เคาะประตูอย่างแรงและตะโกนขึ้น
“ช่วยเรียกเหล่านักบวชมาที ข้ายอมรับผิดแล้ว และจะรับการลงโทษตามนั้น!”
***
ช่วงเวลาที่แอสรันออกมาจากที่พักของนักบุญหญิง เลออนนอนเหยียดตัวยาวและถอนหายใจอยู่บนโซฟาในห้องตนเอง
“เฮ้อ…”
แม้จะพยายามข่มไว้แล้ว แต่ก็เขาก็ยังถอนหายใจออกมาโดยอัตโนมัติ เขารู้สึกเหนื่อยล้าก็จริง แต่ความรู้สึกอึดอัดใจและความหงุดหงิดมีมากกว่า
นักบุญหญิงอีกผู้หนึ่ง
ข่าวที่ได้ยินมาตอนกลางวันทำให้เลออนปวดหัว อันที่จริง นั่นเป็นเรื่องที่เขารู้อยู่แล้ว ได้ยินว่าหญิงสาวที่ชื่ออีริสถูกเรียกว่าเป็นนักบุญหญิงอยู่ที่ชายแดนมิใช่หรือ หลังจากนั้นเองเขาก็ได้รับรายงานเข้ามาอีกสองสามครั้ง
ทว่ามันเป็นเพียงรายงานที่บอกว่าหญิงสาวผู้นั้นเก็บงำร่องรอยไปแล้ว และไม่มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษ เขาจึงคิดว่าเป็นเพียงคนที่แอบอ้างเป็นนักบุญหญิงซึ่งพบได้บ่อยแถวชายแดน จึงไม่ได้สนใจอะไรอีก
แม้จะมีไม่บ่อยแต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักบวชที่ถูกขับออกจากวิหารไปจะใช้กลอุบายหยาบช้า สตรีที่ชื่ออีริสผู้นั้นคงเป็นหนึ่งในนักบวชจำพวกนั้นแน่
‘หรือไม่ อาจจะเป็นนักบวชที่ถูกขับไล่กับสตรีไร้อำนาจ’
เลออนคิดถึงความเป็นไปได้และเดาะลิ้น แม้ไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอะไรถึงได้ก่อเรื่องเช่นนี้ แต่วิหารหลวงไม่มีทางปล่อยคนพวกนั้นไว้แน่ การดำรงอยู่ที่เปราะบางเช่นนั้นคงจะถูกพัดพาไปราวกับสายลมทันทีที่วิหารหลวงเคลื่อนไหว พวกเขาเป็นเหยื่อที่ดีมาก
เลออนหยุดคิดถึงอีริส และนึกถึงศัตรูที่เขาต้องเผชิญหน้าเดี๋ยวนี้
“…ไอ้เดรัจฉาน นี่แกบงการวิหารหลวงมานานแค่ไหนแล้วกันแน่”
แน่นอนว่าคาร์ลคือไอ้เดรัจฉานที่เขาเอ่ยถึง
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เลออนต้องเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขาไปพบนักบวชให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ลองหยั่งเชิงพวกเขาที่แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร และได้สนทนาเป็นเวลานานกับเหล่านักบวชที่มีทีท่าว่าจะหวั่นไหว
เรื่องที่โชคดีคือ นักบวชเหล่านั้นเป็นประเภทที่เขารับมือได้ง่าย ผู้ที่มีความศรัทธาอย่างแรงกล้า ละทางโลกในระดับหนึ่งและยึดมั่นในกฎระเบียบของตนเองอย่างเคร่งครัด
‘ไม่มีใครชักจูงได้ง่ายเท่าคนพวกนี้แล้ว’
คนประเภทนี้จะยิ่งบงการได้ง่ายต่างจากที่ใครหลายคนคิด พวกเขาคิดว่าสิ่งที่พวกตนเลือกคือเส้นทางที่พระเจ้าชักนำ และถึงแม้ในภายภาคหน้าจะเกิดปัญหาขึ้นพวกเขาก็จะปรับตัวอย่างสงบนิ่งเพราะคิดว่าสิ่งนั้นเป็นวิบากกรรมที่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่คนมอบให้
‘แน่ล่ะ เพราะอย่างนั้นเจ้านั่นถึงได้สร้างความวุ่นวายได้ถึงเพียงนี้’
ระหว่างที่ได้สนทนากับเหล่านักบวช เลออนก็ได้รู้ว่าคาร์ลใช้ประโยชน์จากจุดด้อยของตนเองมากเพียงใด คาร์ลใช้ประโยชน์จากร่างกายที่พิการตนเองมากทีเดียว
เหล่านักบวชที่เลออนไปพบล้วนเหมือนกันคือมีความเห็นอกเห็นใจต่อคาร์ล หรือถึงแม้จะไม่ใช่นักบวช แต่นั่นก็เป็นการคิดไปเองที่พบเห็นได้ในคนส่วนใหญ่ การอุปาทานว่าคนอ่อนแอจะเป็นคนดี
ยิ่งเขามีใบหน้าของนักบวชที่เสียสละตนแก่ทุกคน จึงยิ่งทำให้ผลลัพธ์ออกมารุนแรงมากขึ้นหลายเท่า
‘แต่ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนจะขจัดไปได้ถึงครึ่งหนึ่งแล้ว’
ต้องขอบคุณข้อกล่าวหาที่แอสรันกับราธบันร่วมมือกันใส่ร้ายอีกฝ่าย เหล่านักบวชถึงได้ระส่ำระสายกันอย่างหนัก นั่นเลยทำให้เลออนโน้มน้าวเหล่านักบวชได้ง่ายขึ้น ตราบใดที่คาร์ลยังถูกคุมขังอยู่เช่นนี้ต่อไป เรื่องนี้ก็จบลงได้ไม่ยาก
“อย่างไรก็ยังไม่มีเรื่องที่ทำให้เจ้านั่นออกมาจากที่นั่นทันที…”
เหล่านักบวชถือว่าการมีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับพลังเวทเป็นเรื่องที่น่าอับอายและน่ารังเกียจที่สุด การยอมรับมันก็ไม่ต่างจากการที่ตนตัดสินใจเดินลงไปขุมนรกเอง ดังนั้นคาร์ลจะต้องอดทนอยู่เช่นนั้นแน่
แต่กระนั้นก็ยังมีนักบวชอีกจำนวนมากในวิหารหลวงที่เสียสละตนให้คาร์ล หากจะจัดการคนเหล่านี้ อย่างไรก็จำเป็นต้องมีคดีใหญ่อีกคดีหนึ่ง
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดว่าจะจัดการอย่างไรกับเจ้านั่นอีกดี เลออนก็เดาะลิ้นอีกครั้ง
‘ถ้าที่นี่คือพระราชวังก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลยแท้ๆ’
วิหารหลวงเป็นสถานที่ที่อำนาจของเขาไร้ประสิทธิผลจนเรียกได้ว่าเป็นที่เดียวในทวีปด้วยซ้ำ แน่นอนว่าเขาได้รับการดูแลที่ดีกว่าคนอื่นเล็กน้อยเพราะเป็นองค์ชายรัชทายาทแห่งจักรวรรดิ แต่นั่นก็เป็นแค่ความมีน้ำใจของวิหารหลวงเท่านั้น
ด้วยเหตุนั้น การกระทำของเลออนจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกจำกัด เพราะที่แห่งนี้ กฎระเบียบของวิหารหลวงอยู่เหนือกว่าองค์ชายรัชทายาท
ต้องทำอย่างไรเขาถึงจะมีอิทธิพลในวิหารหลวงแห่งนี้มากกว่านี้ ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยเหลือนักบุญหญิงได้สะดวกขึ้น
ขณะที่คิดได้เช่นนั้น เลออนก็หลุดยิ้มขมขื่น ตนมีวิธีเพิ่มอิทธิพลในวิหารหลวง หรือพูดให้ชัดเจนขึ้นคือเพิ่มอิทธิพลต่องานของนักบุญหญิง ปัญหาก็คือวิธีการนั้นจะต้องได้รับการเห็นชอบจากนักบุญหญิงจึงจะดำเนินการต่อได้ และแน่นอนว่านางคงไม่เห็นด้วยง่ายๆ ไม่สิ บางทีอาจจะไม่เห็นด้วยไปตลอดกาล
“แต่งงานหรือ…”
ในตอนที่เลออนกำลังบ่นพึมพำอย่างเหม่อลอย ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบตรงมายังห้อง
“ฝ่าบาท!”
น้ำเสียงรีบร้อนดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะประตู เลออนหลับตานิ่วหน้าไปชั่วขณะ เขากะจะจินตนาการถึงเรื่องที่มีความสุขเสียหน่อย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“เข้ามาได้ เกิดเรื่อง…ให้ตาย”
เลออนหลุดสบถไปโดยไม่รู้ตัวในขณะที่ได้เห็นดาบที่อยู่ในมือของทหารคนสนิทที่เข้ามา ในมือของทหารผู้นั้นถือดาบที่ประดับตกแต่งอย่างงดงามซึ่งถูกห่อด้วยผ้าอยู่เล่มหนึ่ง มันคือดาบที่เขาวางทิ้งไว้ที่พระราชวังในตอนที่มายังวิหารหลวงและเป็นดาบที่จะมอบให้แก่ผู้บัญชาการหน่วยอัศวินแห่งจักรวรรดิเท่านั้น
การที่ดาบเล่มนี้มาอยู่ที่นี่ นั่นหมายความว่ามีคำสั่งมาจากจักรวรรดิให้เขารับหน้าที่เป็นผู้บัญชาการหน่วยอัศวิน
เลออนก้มศีรษะสั้นๆ ไปทางทิศของพระราชวังทันที จากนั้นก็หมุนตัวกลับมาและรับดาบที่ทหารคนสนิทส่งให้
“อัศวินหน่วยใดมาที่นี่? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ฝ่าบาทส่งอัศวินหน่วยสามมาพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ตั้งค่ายอยู่แถวหมู่บ้านรัมพ์เรนซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับวิหารหลวง หรือกล่าวให้ชัดคือพวกเขากำลังประจัญหน้ากับหน่วยอัศวินแห่งเฟเวนที่นั่นพ่ะย่ะค่ะ”
“เฟเวนอย่างนั้นหรือ?”
ชั่วขณะที่ได้ยินชื่อนั้น เลออนถึงได้รู้ว่าเรื่องราวตอนนี้เป็นอย่างไร เฟเวนเป็นชื่อของอาณาจักรที่เขาเคยพิชิตเมื่อหนึ่งปีก่อน กษัตริย์ของเฟเวนคุกเข่าลงต่อหน้าเลออนและลงชื่อในสนธิสัญญาอันอัปยศแล้ว แต่ทว่าแววตาของกษัตริย์ของเฟเวนและเหล่าอัศวินที่ยืนหลั่งน้ำตาอยู่ด้านหลังยังคงมีประกายแค้นเคือง
เป็นอย่างที่คิด ในคืนที่ตัวตนของเขาถูกเปิดเผยหลังจากมายังวิหารหลวง เหล่าอัศวินของเฟเวนได้จู่โจมห้องของเขาในยามวิกาล พร้อมกับพกกริชแหลมคมอาบยาพิษที่แค่เฉียดผ่านก็สามารถคร่าชีวิตได้ภายในไม่กี่นาที
เช้าวันถัดมา เลออนส่งมอบเหล่าอัศวินของเฟเวนที่อยู่ในสภาพไม่ต่างจากศพให้วิหารหลวง และคิดว่าอย่างไรก็คงมีเรื่องน่ารำคาญเช่นนี้เกิดขึ้นอีก และเรื่องนั้นก็กำลังปะทุขึ้นตอนนี้
“กำลังพลของเฟเวนล่ะ?”
“แปดร้อยนายพ่ะย่ะค่ะ”
“สามเท่าของหน่วยสาม”
เมื่อนึกถึงสงครามที่ทหารนับแสนคนปะทะกันแล้ว อาจจะคิดว่าจำนวนแปดร้อยไม่ใช่ตัวเลขที่น่าตกใจ ทว่าคนพวกนั้นไม่ใช่ทหารธรรมดา อัศวินที่ผ่านการฝึกฝนมาหนึ่งคนเป็นการดำรงอยู่ที่มีค่ายิ่งกว่าทหารทั่วไปหลายสิบคนเสียอีก ดังนั้นแล้ว อัศวินแปดร้อยคนนี่มัน
“ถึงจะบอกว่าเป็นเพราะหน่วยอัศวินแห่งวิหารจึงมิอาจเข้ามาในวิหารหลวงได้…แต่การแอบแฝงตัวเข้าไประหว่างพวกคลั่งศาสนาก็เป็นเรื่องน่าปวดหัวเกินไป”
ดังนั้นจักรวรรดิจึงส่งอัศวินหน่วยสามมา เพื่อสื่อให้เขาจัดการก่อนที่จะเกิดเรื่องน่าปวดหัวในวิหารหลวง
“ไหนๆ ก็อุตส่าห์ส่งมาให้แล้ว น่าจะส่งมาให้มากกว่านี้หน่อยสิ”
เฟเวนแปดร้อยนาย หน่วยอัศวินแห่งวิหารสี่ร้อยนาย
หลังจากนับจำนวนและนึกถึงลักษณะภูมิประเทศของรัมพ์เรน เลออนก็เสียบดาบเข้าที่เอว
“น่าจะจัดการได้ภายในสองวัน”
ถ้าอัศวินของเฟเวนได้ยินคงต้องหลุดร้องด้วยความเกรี้ยวกราดไปแล้ว เขาพูดราวกับการเผชิญหน้ากับอัศวินที่มากกว่าถึงสองเท่าไม่ต่างจากการไล่ฝูงแมลงวันที่น่ารำคาญ
“เอ้อ”
เลออนที่กำลังจะออกจากห้องหยุดฝีเท้าลง จากนั้นก็ทึ้งผมตัวเองราวกับปวดหัวมาก
“ฝ่าบาท?”
“ไปเตรียมตัวก่อน เดี๋ยวข้าตามไป”
พูดจบ เลออนก็เข้าไปที่โต๊ะและหยิบปากกาขึ้นมา หลังจากลังเลเล็กน้อย มือของเขาก็ขยับอย่างรวดเร็ว ประโยคสั้นๆ ถูกเขียนลงบนกระดาษ
ข้าจะออกจากวิหารหลวงไปสักพัก อย่างช้าจะกลับมาภายในสี่วัน
ขณะที่คิดว่าควรเขียนลงไปหรือไม่ว่าออกไปเพราะอะไร มือของเลออนก็หยุดลง อีเบลลีน่าคงวุ่นวายเพราะเรื่องของคาร์ล แล้วยังว้าวุ่นใจเพราะเรื่องของนักบุญหญิงอีกคนอีก เขาไม่จำเป็นต้องเพิ่มเรื่องไร้สาระให้
แม้จะเป็นกังวลว่าอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนักบุญหญิงในระหว่างที่เขาไม่อยู่ แต่เขาก็ส่ายหน้า ดีชั่วอย่างไรที่นี่ยังมีราธบันอยู่ และคาร์ลคงไม่สามารถออกมาจากห้องไปอีกระยะหนึ่ง
ดังนั้นการรีบจัดการปัญหาและกลับมาจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดซึ่งเขาสามารถเลือกได้ตอนนี้
“ฝ่าบาท!”
ด้านนอก เสียงของทหารคนสนิทที่เอ่ยเร่งเขาดังขึ้น ฟังจากเสียงร้องของม้าด้านนอก เห็นได้ชัดว่าทุกคนพร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว เลออนรีบสอดจดหมายสั้นๆ ใส่ซอง ทันทีที่ออกมา ทหารที่รอเขาอยู่ก็ส่งสายตำหนิราวกับถามว่าทำไมถึงชักช้าเช่นนี้ เลออนส่งซองจดหมายให้ทหารคนสนิทโดยไม่สนใจสายตานั่น
“นำไปส่งให้ที่พักของนักบุญหญิงตอนนี้เสีย และยืนยันว่านักบุญหญิงรับมันด้วยตนเองถึงจะออกเดินทางจากที่นี่ได้”
“พ่ะย่ะค่ะ? แต่ว่า…”
“หนวกหู ค่อยบ่นทีหลัง รีบไปเสีย”
ครั้นได้ยินคำสั่งที่เด็ดขาดของเลออน ทหารคนสนิทจึงก้มศีรษะและวิ่งไปบนทางเดิน เลออนมองตามหลังเขาไป ก่อนจะหมุนตัวกลับ
ใจจริงเขาอยากไปพูดกับนักบุญหญิงด้วยตัวเองก่อนจากไป แต่นี่เป็นปัญหาที่จะรอช้าไม่ได้ หากอัศวินทั้งสองหน่วยปะทะกันก่อนที่เขาจะไปถึง หน่วยอัศวินแห่งวิหารจะเสียหายมากกว่าและกินเวลานานขึ้น
เขากระโดดขี่ม้าที่กำลังรอตนอยู่ ทันทีที่เขากระแทกสีข้างพร้อมกับดึงบังเหียน ม้าก็ร้องเสียงดังและสะบัดตัว เมื่อคุ้นชินกับความรู้สึกที่ไม่ได้สัมผัสมานาน เลออนก็เหลียวหลังมองที่พักของนักบุญหญิงอยู่ไกลๆ บนม้าที่กำลังวิ่ง เลออนทำสำคัญมหากางเขนที่เต็มไปด้วยความจริงใจเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมา
ขอให้พระเจ้าจงสถิตย์แก่ท่าน
บนหน้าของเขามีรอยยิ้มขื่นหลังจากทำสำคัญมหากางเขน
‘และถึงจะไม่ค่อยพอใจ แต่ขอให้ราธบันคุ้มครองท่านได้อย่างปลอดภัย’