หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 14.2 ไม่สบายใจ (2)
เบื้องหน้าพลันดำมืดเมื่อได้ยินคำพูดที่หลุดออกมาจากปากเขาก่อนที่ฉันจะได้แก้ตัวอะไร
ถูกจับได้แล้ว
ชั่วขณะที่ตระหนักได้ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังดำดิ่งสู่ก้นบึ้ง ทั่วทั้งร่างสั่นอย่างบ้าคลั่ง ฟันกรามกระทบกันจนเกิดเสียง
ถูกจับได้แล้ว ราธบันรู้แล้วว่าฉันไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป ฉันนึกถึงภาพของอีริสที่ปรากฏขึ้นอีกฟากหนึ่งของเปลวเพลิง ราธบันก็เห็นอีริสด้วยไหม? ถ้าอย่างนั้น เขาตระหนักได้หรือไม่ว่านางคือคนที่ตนต้องนับถือคนใหม่?
“ไม่มีทาง…นี่ได้อย่างไร…”
ราธบันมองฉันพลางพึมพำอย่างยากจะเชื่อ ท่าทางของเขาทำให้ฉันคิดว่าจบเห่แล้ว
ตอนนี้ฉันจะเป็นอย่างไรต่อ ราธบันจะลากฉันไปโยนต่อหน้าผู้คนไหม? ฉันย้อนนึกถึงบั้นปลายชีวิตของอีเบลลีน่าอีกครั้ง ไม่นะ ฉันไม่อยากตายแบบนั้นที่นี่
ไม่สิ ฉันไม่อยากตายแบบนั้นด้วยเงื้อมมือของราธบันต่างหาก
ชั่วขณะนั้นฉันก็วิ่งไปทางบันได ราธบันยื่นมือมาคล้ายจะจับไว้ แต่ฉันหลบมือนั่นทันที บันไดที่ใช้เวลาเดินลงมาสักพักกลับดูเหมือนยาวขึ้นมา ไม่ว่าฉันจะเดินขึ้นไปเท่าไรก็ยังไม่เห็นปลายทางเสียที บางทีบันไดนี้คงทอดยาวไปไม่สิ้นสุด ฉันคงถูกขังอยู่ในความมืดนี้ตลอดไป
แม้จะวิ่งแล้วล้มอีกกี่ครั้ง ฉันก็ยังขึ้นบันไดอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่รู้ว่าเดินขึ้นมานานแค่ไหนแล้ว ปลายทางเดินที่ดูคล้ายจะไม่สิ้นสุดพลันปรากฏขึ้น ฉันหมุนตัวมองลงไปด้านล่างหลังจากขึ้นมาจากบันได ข้างล่างมืดยิ่งกว่าตอนที่ฉันลงไป ความมืดที่คล้ายจะกลืนกินฉันในตอนนี้
ทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของราธบันที่ตามฉันขึ้นมาจากด้านล่าง ฉันก็หมุนตัวกลับและวิ่งออกไปด้านนอกอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อถึงห้อง เหล่านักบวชที่ไม่อยู่เมื่อครู่ก่อนเอ่ยต้อนรับฉันด้วยความตกใจ
“ท่านนักบุญหญิง! ออกไปข้างนอกเมื่อ…!”
“หลบไป!”
ฉันตะโกนใส่พวกเขาที่เข้ามาใกล้ ก่อนจะเข้าไปด้านในและลงกลอนประตูทันที
“ท่านนักบุญหญิง? เป็นไรหรือไม่? ท่านนักบุญหญิง!”
“อย่าเข้ามา!”
เพื่อที่จะหลบนักบวชที่ยังเคาะประตูไม่หยุด ฉันจึงล็อกประตูที่อยู่ด้านในห้องอีกครั้ง หลังจากล็อกประตูทุกบานอย่างแน่นหนา ฉันก็ทรุดลงกับพื้น กลิ่นคาวเลือดปะปนออกมาจากลมหายใจหอบถี่ ความเจ็บปวดที่ถึงกับทำให้สงสัยว่าปอดอาจจะฉีกขาดถ้าฉันขยับมากอีกหน่อยแล่นปราดขึ้นมา
ไม่ใช่แค่หน้าอกที่เจ็บ
“อา… ฮึก…”
ฉันหันมองขาทั้งที่ยังนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น มันคงได้รับบาดเจ็บระหว่างที่วิ่งขึ้นบันไดมา เลือดไหลออกมาจากรอยถลอกที่มีอยู่ทั่วเรียวขาขาวที่เผยออกมาใต้กระโปรง ฉันพยายามลุกขึ้น แต่ความรู้สึกเจ็บแปลบพลันแล่นขึ้นมาก่อนที่จะได้ขยับตัว แต่ฉันจะอยู่แบบนี้ไม่ได้
‘ต้องหนี’
ฉันเดินกะโผลกกะเผลกไป และเปิดลิ้นชักออกอย่างแรงด้วยมือที่สั่นระรัว ในนั้นมีอัญมณีที่อีเบลลีน่าเก็บไว้เมื่อนานมาแล้วอยู่หลายชิ้น ฉันหยิบพวกมันใส่กระเป๋าราวกับคนบ้า
หลังจากยัดอัญมณีลงไปจนกระเป๋าแทบขาด ฉันก็มุ่งหน้าไปห้องที่มีทางลับอย่างรีบเร่ง
ตอนนี้จะไปที่ไหน แล้วจะไปอย่างไรดี
‘เอาเป็นว่าหนีไปให้ไกลก่อน’
ฉันย้อนนึกถึงทางลับที่เชื่อมกับประตูทางเข้าของวิหารหลวง ต้องรีบใช้ที่นั่นให้เร็วที่สุดและหนีไปจากวิหารหลวง หารถม้าในหมู่บ้านและจากไป เงินหาได้จากการขายอัญมณีอยู่แล้ว นำไปขายที่ตรอกที่ฉันเคยไปมาครั้งที่แล้วให้หมดเสียก็สิ้นเรื่อง
ทว่าไม่นานก็เกิดความกังวล ฉันไม่รู้กฎระเบียบของที่นั่น สุดท้ายจะหาเงินได้อย่างราบรื่นไหม? จะไม่ถูกพาตัวไปที่ไหนก่อนออกมาจากที่นั่นใช่หรือเปล่า? หรือต่อให้ออกมาได้อย่างปลอดภัย แต่จะสามารถหลบสายตาของวิหารหลวงและหนีไปได้ใช่ไหม?
ระหว่างนั้นเอง ฉันก็ยกมือขึ้นเหนือผนังที่ทางลับจะเปิดออก
“ทำไม…!”
ฉันตะโกนพลางมองดูผนังที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ก่อนจะตระหนักได้ ตอนนี้ฉันไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์แล้ว ดังนั้นจึงเปิดผนังที่มีการตอบสนองกับพลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิงไม่ได้
“ถ้างั้นไปที่อื่น…อึก!”
ฉันล้มลงเพราะอาการเจ็บขาที่รู้สึกขึ้นมาอีกครั้งขณะที่หมุนตัวกลับอย่างรีบร้อน กราววว อัญมณีที่ยัดใส่ลงไปในกระเป๋าหล่นกระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น ฉันมองของเหล่านั้นอย่างเหม่อลอย
กระจกมุมหนึ่งของห้องสะท้อนเงาร่างของฉัน หญิงสาวสภาพยุ่งเหยิงคนหนึ่งขนอัญมณีจำนวนมากและพยายามจะหนีไปราวกับขโมย
นักบุญหญิงตัวปลอม
ตอนนี้จะมีคำไหนที่เหมาะกับฉันไปมากกว่าคำนี้อีก สภาพที่พยายามจะหนีไปจนดูไม่ได้เมื่อคำโกหกของตนถูกเปิดเผย
ฉันย้อนนึกถึงท่าทีของอีเบลลีน่าที่เคยอ่านเจอในหนังสือ
“ได้ยังไง…”
ฉันเปล่งคำพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
“เธอ…อดทนเรื่องแบบนี้ได้ยังไง”
ฉันมองภาพตัวเองในกระจกและเอ่ยถาม หรือพูดให้ชัดคือถามอีเบลลีน่าที่ยังอยู่ข้างในตัวฉัน
นางยังรั้งตัวอยู่ในวิหารหลวงจนถึงที่สุดแม้จะสูญเสียพลังศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว กระทั่งในวินาทีที่ถูกเหล่านักบวชบังคับลากตัวไป นางก็ไม่สูญเสียท่าทางอันสูงส่งและยังคงตะโกนว่าตนคือนักบุญหญิง ในตอนที่อ่านหนังสือ ฉันยังด่าว่าทำไมถึงได้ยืนกรานอย่างหน้าไม่อายถึงขนาดนี้ และคิดว่าเป็นท่าทีที่น่ารังเกียจเท่านั้นเอง
อีเบลลีน่ายังอยู่ที่นี่และอดทนต่อความกลัวที่จะถูกฆ่าจากผู้คนในวิหารหลวงที่ตนอาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็กจนถึงที่สุด
“ฮึกกก…”
ฉันหยุดร้องไห้ไม่ได้ ฉันไม่อยากตาย แต่ก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวแบบนี้
ฉันกลัว
ทั้งที่ฉันพยายามไปมาก แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อย่างน้อยฉันก็คิดว่ามันยังพอมีเวลา แต่อนาคตที่ดูเหมือนอยู่ไกลกลับเข้ามาใกล้อย่างฉับพลันราวกับยิ้มเย้ยฉันที่พยายามจะหนีไป ราวกับว่าฉันไม่อาจหลีกหนีโชคชะตาได้
ฉันฝังหน้าลงในอ้อมแขนและร้องไห้ไม่หยุด ตอนนี้ฉันควรทำอย่างไร ฉันคิดอะไรไม่ออกเลย
ไม่รู้ว่าร้องไห้ไปนานแค่ไหน ฉันค่อยๆ หลับตาราวกับว่าร่างกายที่อ่อนล้าของฉันไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ตอนนี้กระทั่งความคิดที่ว่าจะหนีไปก็ไม่หลงเหลือแล้ว เพราะที่เดียวที่ฉันสามารถหนีไปได้คือภายในฝันเท่านั้น ในขณะที่กำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา ฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีใครบางคนมาแตะไหล่
ใครกัน เห็นได้ชัดว่าในห้องนี้ไม่มีใครนอกจากฉัน แม้จะไม่ใช่สัมผัสที่นุ่มนวล แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้รับการปลอบโยน และหลับไปได้อย่างสงบ
***
คาร์ลของแตะผนังของคุกใต้ดิน ความชื้นก่อให้เกิดหยดน้ำในที่ที่มือเขาเฉียดผ่าน ทันทีที่หยดน้ำที่เกาะอยู่ตามผนังตกลงด้านล่าง แมลงที่นั่งอยู่บนตะไคร่น้ำก็รีบวิ่งเข้าไปในซอกด้วยความตกใจ
คาร์ลยกเท้าที่พิการขึ้นเหยียบแมลงที่คลานเข้าไปในซอก หลังจากเหยียบพลาดอยู่หลายครั้ง เขาก็เหยียบแมลงตัวนั้นตายได้ในที่สุด
มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากที่ไกลๆ ในตอนที่เขากำลังใช้เวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ เป็นเสียงฝีเท้าของเหล่านักบวชที่รับหน้าที่คุมนักโทษที่นี่ ไม่นาน พวกเขาก็หยุดเดินตรงหน้าห้องขังของคาร์ล แน่นอนว่าคาร์ลกลับไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางถูกต้องราวกับอยู่เช่นนี้มาแต่แรก
“ท่านนักบวชคาร์ล”
เมื่อได้ยินพวกเขาเอ่ยเรียก ตอนนั้นเองคาร์ลถึงได้ลืมตาขึ้น และกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“อ้าว ขออภัย ดูเหมือนข้าจะมีสมาธิกับการสวดภาวนาไปหน่อย”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนของคาร์ล บนใบหน้าของเหล่านักบวชพลันมีความเห็นใจแวบผ่าน
“ว่าแต่มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ?”
“เอ่อ ก็ไม่มีอันใดหรอก…อันที่จริงมีอัศวินที่ชื่อชีเดลถูกคุมขังที่นี่เมื่อไม่นานมานี้ เขาพยายามจะทำร้ายท่านนักบุญหญิง ก็เลยถูกส่งมาที่นี่ตามการตัดสินโทษอย่างเร่งด่วนของผู้บัญชาการราธบัน”
“…ชีเดล?”
เป็นชื่อที่เขาจดจำได้ ชีเดลคือชื่อของอัศวินอายุน้อยที่เคารพราธบันและนับถือเขาเป็นพระเจ้าของตนตั้งแต่สมัยที่เป็นอัศวินฝึกหัดด้วยกัน ว่าแต่ทำร้ายนักบุญหญิงเลยถูกส่งมาที่นี่อย่างนั้นหรือ?
เมื่อคาร์ลแสดงสีหน้าว่าจำได้อย่างเลือนราง เหล่านักบวชจึงพูดต่อ
“อันที่จริง ตั้งแต่มาที่นี่ สภาพของเขาก็แย่ลงอย่างรวดเร็ว ตอนแรกพวกเราคิดว่าเขาคงจะดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป แต่เขากลับพูดเพ้อเจ้อหนักขึ้นเรื่อยๆ แถมตอนนี้ยังถึงกับเริ่มหูแว่วแล้วด้วย”
“โธ่ แล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้พูดถึงเขา…”
“อันที่จริง เหมือนเขาจะได้ยินพวกเราคุยเรื่องท่านนักบวชคาร์ล ไม่รู้เป็นเพราะได้ยินชื่อที่เขายินดีหรืออย่างไร นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ถามด้วยสติครบถ้วนว่าจะพบท่านนักบวชได้หรือไม่ อยากจะสนทนากับท่านได้หรือเปล่า…”
คาร์ลต้องพยายามกลั้นรอยยิ้มอย่างมากเมื่อได้ยินดังนั้น สิ่งที่เขาตามหาในตอนที่ยอมรับความผิดก็คือสิ่งนี้
หากถูกปล่อยให้อยู่ลำพังเขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะความสามารถของเขาจะเปล่งประกายงดงามที่สุดในตอนที่ได้พบเจอคนอื่น หากเขายังไม่ยอมรับก็คงถูกขังเดี่ยวอยู่ในห้องแบบนั้นไปเรื่อยๆ จนป่านนี้
‘จะปล่อยให้เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร’
หากเป็นตามที่เขาคาดไว้ พลังศักดิ์สิทธิ์ของอีเบลลีน่าคงจะอ่อนแอถึงที่สุดหรือไม่ก็จวนจะหายไปแล้ว เขาจะพลาดโอกาสนี้ไม่ได้ เช่นนั้นแล้วคุกใต้ดินที่สามารถพบปะผู้คนยังดีกว่าการถูกขังอยู่ในห้องไปเรื่อยๆ
หลังจากมาที่นี่ คาร์ลก็ทำตัวเป็นนักบวชที่มีความซื่อสัตย์กว่าใครทั้งหมด มันเป็นสิ่งที่เขาเคยมาทำแต่แรกจึงไม่ได้ยากเย็นอะไร เขาไม่ได้มากความ และบอกว่าทุกอย่างเป็นไปตามประสงค์ของพระเจ้า พูดราวกับตนเป็นนักบุญที่แบกรับความทุกข์ยากเหลือเกิน
คาร์ลเป็นนักบวชคนเดียวที่ใช้ชีวิตไม่ต่างจากก่อนเข้ามาในคุกใต้ดินที่เต็มไปด้วยเสียงก่นด่าและต่อต้านพระเจ้า ดังนั้นการรับรองของผู้คุมนักโทษที่ปฏิบัติต่อเขาจึงเปลี่ยนไปโดยธรรมชาติ
“เช่นนั้นแล้วให้เขาย้ายมาห้องด้านข้างข้าได้หรือไม่?”
“ไม่มีปัญหา ทว่าเขาคงไม่ได้อยู่นาน อีกไม่นานเขาก็จะออกไปจากที่นี่แล้ว”
“ออกไปอย่างนั้นหรือ หมายความว่าอย่างไร?”
“ร่างกายก็ส่วนหนึ่ง แต่เขาป่วยขอรับ เมื่อปีใหม่ได้รับการวินัจฉัยว่าอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว เขาเลยได้รับความเมตตาเป็นครั้งสุดท้ายให้ได้เห็นท้องฟ้าก่อนตาย อีกสองสามวันหลังจากนี้เขาจะออกจากที่นี่และไปรอคอยความตายอยู่ที่บ้านแห่งความตายที่อยู่ในที่ลับตาของวิหารหลวงขอรับ”
“สภาพร่างกายเขาไม่ดีถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
“ร่างกายไม่เป็นไร แต่ตัวเขาปฏิเสธการรับประทานอาหาร เป็นแบบนี้ก็คงตายในไม่กี่วันนี้แล้ว”
ตอนนี้เขาได้รับข้อมูลที่จำเป็นมาระดับหนึ่งแล้ว คาร์ลพยักหน้ารับรู้ รอไม่นานผู้คุมโทษก็กลับมา พวกเขาหิ้วชายหนุ่มที่มีผมยาวรุงรังและหนวดเฟิ้มมา
“ชีเดล?”
“ท่านนักบวชคาร์ล!”
ชีเดลที่ก้มหน้าอยู่ราวกับตายเงยหน้าขึ้น คาร์ลคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้เขาผู้นั้น
‘เขาพยายามจะทำร้ายนักบุญหญิงจึงเข้ามาที่นี่’
และอีกไม่กี่วันหลังจากนี้จะออกไป ผู้ที่รอคอยความตาย ผู้ที่เกลียดนักบุญหญิง และเหนือสิ่งอื่นใด เป็นผู้ที่เคารพเลื่อมใสเขา
ชีเดลมีเงื่อนไขทุกข้อที่คาร์ลต้องการ