หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 15.5 หลบหนี (5)
“ฮึดดด…”
ฉันบิดขี้เกียจสุดตัว ถนนที่เต็มไปด้วยหมอกยามย่ำรุ่งมีเพียงเสียงนกร้อง ไร้วี่แววของผู้คน หลังจากบิดขี้เกียจอย่างเต็มที่อีกครั้ง ฉันก็สูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่
เป็นเพราะได้นอนหลับอย่างเต็มที่ในคืนวาน ฉันจึงรู้สึกสดชื่นแม้ร่างกายจะยังปวดกล้ามเนื้ออยู่บ้าง
‘เท้าก็เหมือนจะดีขึ้นด้วยเหมือนกัน’
ตอนนี้เท้าที่เจ็บแปลบเมื่อคืนก็บวมน้อยลง อีกทั้งบนบาดแผลยังตกสะเก็ดแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ วันนี้การเดินก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
‘แล้วราธบันก็เตรียมรองเท้าคู่ใหม่ไว้ให้ด้วย’
ฉันสะบัดแขนเพื่อคลายความตึงเครียดของร่างกาย ในตอนนั้นเองราธบันก็เดินออกมาจากโรงม้า ดูจากความหนาของกระเป๋าใบใหญ่ที่มัดอยู่บนหลังม้า ในนั้นคงเต็มไปด้วยของกินและน้ำจากโรงแรมวันนี้
หลังจากตรวจเช็กสภาพม้า พวกเราก็ออกจากโรงแรมทันที
โชคดีที่วันนี้ไม่เจอเส้นทางที่เป็นดินโคลน ทว่าฉันรับรู้ได้ว่าทางแคบและชันมากขึ้นเรื่อยๆ ย้อนนึกถึงแผนที่ของทวีปนี้ที่เคยเห็นในวิหารหลวง พบว่ามีหลายประเทศเกิดขึ้นและล่มสลายไปเป็นจำนวนมาก และแน่นอนว่าตัวการนั่นเป็นเพราะจักรวรรดิ
เหล่าผู้นำในทวีปต้องหลั่งน้ำตาไม่น้อยให้กับสงครามล่าอาณานิคมของจักรวรรดิ อาณาจักรที่ภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์นับร้อยปีและดูแข็งแกร่งจวบจนกระทั่งเมื่อวาน เช้าวันต่อมาก็กลายเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิและถูกเหยียดหยามด้วยการเปลี่ยนชื่อ แต่ก็ยังโชคดีที่ได้ตกเป็นอาณานิคม
‘เห็นว่ากว่าจะไปถึงทรีออน ต่อให้วิ่งทั้งวันก็ยังต้องใช้เวลากว่าสองสัปดาห์’
สถานที่ที่อยู่ปลายสุดของทวีปนี้ ดินแดนที่อาณาจักรใดๆ ล้วนแต่ไม่อยากได้มาครอบครองเพราะมีภูมิประเทศทุรกันดารเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีปีศาจปรากฏตัวขึ้นบ่อยครั้ง
ตอนนี้ ฉันพยายามนึกถึงเนื้อหาในหนังสืออันเลือนราง เป็นเพราะโชคดีที่อีริสเป็นตัวละครเอก ดังนั้นฉันจำได้ว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวนางก็เลยถูกเขียนบรรยายไว้ละเอียดยิ่งเสียกว่าอีเบลลีน่า
‘เป็นหมู่บ้านที่ไม่มีแม้กระทั่งชื่อ และเป็นสถานที่ที่มีร่องรอยของเหมืองแร่อยู่’
ขณะที่กำลังคิดว่าอย่างน้อยก็ยังจดจำจุดเด่นข้อหนึ่งได้ คงจะตามหาได้ง่ายขึ้น จู่ๆ ฉันก็นึกถึงแอสรันขึ้นมากะทันหัน
‘แอสรันจะเจออีริสหรือยังนะ?’
เขาไล่ตามพลังศักดิ์สิทธิ์ไป เพราะฉะนั้นเขาเองก็คงรู้สึกได้แน่ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดไปอยู่กับอีริสแล้ว มุมหนึ่งของหัวใจพลันเย็นยะเยือก
“รอสักครู่นะขอรับ”
ตอนที่ฉันกำลังคิดถึงแอสรัน จู่ๆ ราธบันก็หยุดม้ากะทันหัน เขาลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว จ้องเนินเขาที่พวกเราผ่านมาครั้งหนึ่ง แล้วคว่ำหน้าลงกับพื้น จากนั้นราธบันก็เอื้อมแขนมาหาฉันอย่างรีบเร่ง คล้ายจะสื่อว่าให้ลงมาจากม้า ทันทีที่ฉันจับมือเขาแล้วลงมา ราธบันก็จับม้าลากเข้าไปในเชิงเขาที่มีพงไม้หนาแน่น ม้าดูตระหนกเล็กน้อย แต่ไม่นานก็เดินตามราธบันไป
ฉันเองก็รีบตามหลังเขาไปเช่นกัน หลังจากเข้ามาด้านในสักพัก เขาก็หยิบแอปเปิลผลหนึ่งออกมาจากกระเป๋าให้ม้ากัด จากนั้นทุบปลอบให้มันสงบลง ไม่รู้เพราะม้าที่ตัวสั่นระริกถูกใจอาหารว่างและการพักผ่อนที่ได้รับมาอย่างกะทันหันหรืออย่างไร มันถึงได้กินแอปเปิลผลใหม่หมดในชั่วพริบตา และปรับลมหายใจเงียบๆ
“ราธบัน ทำไมจู่ๆ ก็…”
“ชู่ว ท่านก้มตัวลงแล้วอยู่นิ่งๆ ก่อน”
ฉันปิดปากทันที แล้วก้มตัวคว่ำหน้าลงกับพื้น ท่ามกลางเส้นทางเดินในป่าที่มีวัชพืชหนาทึบ บัดนี้ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของม้า ผ่านไปสักพักก็มีเสียงม้าวิ่งมาจากทางที่เรากำลังจะไป
“…!”
ไม่ช้า ฉันก็มองเห็นคนจำนวนมากกำลังวิ่งอยู่บนเนินเขาผ่านใบไม้ ด้านหน้าของพวกเขาที่สวมชุดเกาะสีขาวบริสุทธิ์และติดอาวุธพร้อมรบมีธงของวิหารหลวงกำลังปลิวไสว
ชั่วขณะที่ได้เห็นธงนั่น ฉันก็พลันหายใจไม่ออก ภาพที่พวกเขาวิ่งมาทางฉันและชักดาบออกเฉียดผ่านเบื้องหน้าครู่หนึ่ง แต่ไม่นานพวกเขาก็ผ่านจุดที่พวกเราแอบอยู่ไปอย่างรวดเร็ว
ฝุ่นดินที่เกิดจากกีบม้าเบาบางลง ผ่านไปสักพักแล้วหลังจากพวกเขาหายไปจากอีกด้านหนึ่งของเนินเขา แต่ฉันก็ยังขยับตัวไม่ได้
“ตอนนี้ปลอดภัยแล้วขอรับ”
ตอนนั้นเอง ฉันถึงหายใจเข้าไปได้หลังจากได้ยินเสียงของราธบัน ไม่รู้ว่าตึงเครียดมากเพียงใด หัวใจที่อยู่ใต้หน้าอกเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งจนได้ยินเสียงออกมาด้านนอก เมื่อมองมือก็พบว่าเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น
“ราธบัน อัศวินเมื่อครู่นี้…”
“เป็นหน่วยอัศวินของวิหารขอรับ ทว่าก็มีเหล่านักบวชปะปนอยู่ด้วยเช่นกัน และถึงจะเรียกว่าหน่วยอัศวิน…แต่ยังมีเด็กฝึกหัดปะปนอยู่ด้วยขอรับ”
ราธบันจ้องเนินเขาที่เหล่าอัศวินลับสายตาไปด้วยสีหน้าตึงเครียด
“พวกเขาเป็นกลุ่มที่ออกเดินทางนำหน้า บางทีด้านหลังคงจะมีคนจากวิหารหลวงตามมาอีก ดูจากสีธงของพวกเขาแล้ว คนที่ตามมาด้านหลังจะต้องเป็น…”
“…คาร์ลสินะ”
ราธบันผงกศีรษะสั้นๆ เมื่อได้ยินดังนั้น บุคคลในวิหารที่สามารถใช้ธงสีทองได้มีเพียงสองคน นั่นคือนักบุญหญิงและผู้อาวุโส ในเมื่อไม่มีนักบุญหญิงแล้ว ดังนั้นก็คงเป็นของผู้อาวุโส ส่วนผู้อาวุโสที่ใช้เส้นทางนี้อย่างเร่งด่วนพอๆ กับพวกเราในสถานการณ์ตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องคิดมากก็รู้ว่าเป็นใคร
“จากนี้ไปเราจะใช้เส้นทางบนภูเขา”
ราธบันพูดเช่นนั้นพลางจับบังเหียนม้าอีกครั้ง ฉันมองเนินเขาที่เหล่าอัศวินมา
‘ไอ้เดรัจฉาน’
ฉันกลืนกินคำด่าอยู่ในใจ คาดเดาได้ไม่ยากว่าหากว่าอัศวินที่ผ่านไปเมื่อครู่ก่อนถึงหมู่บ้านด้านหน้าแล้วจะเกิดอะไรขึ้น คงจะออกคำสั่งไล่ล่าฉันกับราธบัน แล้วให้ต้อนรับผู้อาวุโสคนใหม่ที่กำลังจะผ่านที่นี่น่ะสิ
‘พวกเขาไปตามหาอีริส’
การที่ผู้อาวุโสจะไปตามหานักบุญหญิงเป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว ยิ่งคาร์ลแสดงภาพลักษณ์ที่น่าเวทนาและเร่งรีบมากเท่าไร ผู้คนก็จะยิ่งชมเชยความซื่อสัตย์ของเขาแล้วช่วยเหลืออีกฝ่ายเต็มที่ โดยที่ไม่รู้ว่าเขาไปตามหาอีริสด้วยจุดมุ่งหมายใดด้วยซ้ำ
‘คงตั้งใจจะทำแบบเดิมอีกล่ะสิ’
ตอนที่อีเบลลีน่ามายังวิหารหลวง อย่างน้อยที่นั่นก็ยังมีผู้อาวุโสคนก่อน และคนอีกมากที่เป็นห่วงนาง ดังนั้นคาร์ลยังต้องเกรงใจพวกเขา ทว่าตอนนี้ล่ะ? เขาไม่มีทางพลาดโอกาสทำให้วิหารหลวงอลหม่าน รอบกายคงเต็มไปด้วยลูกสมุนของเขา แล้วถ้าหากว่านักบุญหญิงคนใหม่ไปที่นั่นล่ะก็
ในใจพลันอึดอัดเพราะความรู้สึกสะอิดสะเอียน
ฉันก้มตัวลงมัดเชือกรองเท้าให้แน่น วันนี้ก็คงเป็นอีกวันที่เหน็ดเหนื่อยและยาวนาน
***
“น่าหงุดหงิดเสียจริง”
เหล่าทหารคนสนิทที่ยืนอยู่ด้านหลังพลันขนลุกซู่และก้าวถอยหลังเมื่อเห็นเลออนที่นั่งอยู่บนหินมองลงไปล่างหุบเขาพลางบ่นอุบอิบ
ใต้ล่างเขาตรงนั้นยังมีร่องรอยการสู้รบของคืนก่อนตามเดิม กลิ่นเลือดยังคงคละคลุ้งอย่างเข้มข้นจนน่าประหลาดใจที่หมอกยามอรุณที่ลอยฟุ้งอยู่เหนือผืนดินที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดไม่เป็นสีแดง กลุ่มวิหคที่มีกรงเล็บแหลมคมส่งเสียงร้องประหนึ่งกำลังรื่นรมย์อยู่ในงานเลี้ยงที่มีขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ก็ไม่ปาน
คืนก่อน เลออนมาที่นี่ จากนั้นก็เกิดการสู้รบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดขึ้น
ในคราแรกเป็นการสู้รบของกองทัพจักรวรรดิสี่ร้อยนาย กับกองทัพเฟเวนแปดร้อยนาย
ทว่าผ่านไปไม่นาน ทั้งสองฝ่ายก็พากองกำลังที่ตนซ่อนไว้ออกมา กองกำลังที่เข้าสู่สงครามเป็นรอบสุดท้ายของทั้งสองฝ่าย จักรวรรดิมีแปดร้อยนาย ส่วนเฟเวนมีทั้งสิ้นสามพันนาย
หากเป็นคนที่สามารถนับจำนวนได้ ไม่ว่าใครก็คงวางเดิมพันด้วยชัยชนะของกองทัพเฟเวน ทั้งสองฝั่งต่างก็รวบรวมแต่อัศวินชั้นยอดเพื่อให้มีชีวิตรอดในสงครามอันไม่สิ้นสุด หากฝีมือใกล้เคียงกัน เช่นนั้นสิ่งที่เป็นตัวตัดสินแพ้ชนะก็คือจำนวน ทว่าฝั่งกองทัพของจักรวรรดิมีเลออนเข้ามาร่วมด้วยอย่างกะทันหัน แค่ความจริงข้อนั้นก็ทำให้ผลแพ้ชนะของการสู้รบเปลี่ยนไป
แม้จะอยู่เบื้องหน้าผลลัพธ์ที่ตนเป็นคนสร้างขึ้น แต่เลออนก็แทบไม่ต่างจากในยามปกติ มีเพียงความเหนื่อยล้าของคนที่ต้องตื่นอยู่ทั้งคืนเท่านั้น เหล่าทหารคนสนิทหันศีรษะไปมองหน่วยอัศวินแห่งจักรรวรดิที่ยืนเรียงแถวอยู่ไกลออกไป
แต่ละคนต่างก็คือผู้ที่เชี่ยวชาญซึ่งเคยกรำศึกสงครามมานับไม่ถ้วน กระทั่งอัศวินเหล่านั้นก็ยังไม่อาจข่มความตื่นเต้นหลังจากเกิดการสู้รบเมื่อคืนวานได้โดยง่าย ดูจากดวงตาแดงก่ำที่เกิดจากเส้นเลือดฝอยแตก และลักษณะการพูดอันร้อนรุ่มจนน่าประหลาดก็รู้ได้
กระทั่งทหารคนสนิทที่ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้เองก็ยังกดข่มเลือดที่เดือดพล่านได้ยาก แต่เลออนผู้ซึ่งเป็นคนนำผลลัพธ์ทั้งหมดนี้มากลับมีสีหน้าราวกับมองเรื่องที่สมควรจะเป็นอยู่แล้ว ราวกับคาดการณ์สิ่งเหล่านี้ไว้แต่แรก เช่นนั้นแล้วเขากำลังหงุดหงิดอะไร
ตอนนั้นเอง มีคนแทรกผ่านเหล่าอัศวินมา ในมือของเขาถือซองขาวซองหนึ่ง
“มาจากที่ไหนน่ะ”
“…เหมือนจะมาจากวิหารหลวงนะ?”
พอคนที่จำหน้าผู้ส่งสารได้พึมพำขึ้น เหล่าทหารคนสนิทก็หยักไหล่ครั้งหนึ่งก่อนจะเปิดทางให้ทันที คนที่จะทำให้ในตอนนี้เลออนรู้สึกยินดีที่สุดมาแล้ว
‘ต้องเก็บกวาดให้หมดไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว’
เลออนคิดเช่นนั้นพลางจ้องมองซากศพเกลื่อนกลาด เขาชนะสงครามเมื่อคืน แต่ก็ไม่ใช่ชัยชนะอย่างสมบูรณ์แบบ
‘ยังเหลืออยู่อีกมาก’
ตอนแรกที่ได้ยินว่ากองทัพของเฟเวนมีแปดร้อยนาย เขาคิดว่ากองพลหนึ่งที่ฆ่าเขาในวิหารหลวงไม่ได้ ร้อนใจจนยกทัพมาเป็นการส่วนตัว แต่ทันทีที่มาถึงเขาถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ เฟเวนตั้งใจและจ้องจะจัดการเขา
หากเป็นปกติแล้ว เขาคงจะรู้สึกสนุกสนานกับสถานการณ์เช่นนี้มาก เพราะเลออนชื่นชอบความอันตรายอยู่เสมอ ทว่าไม่ใช่ตอนนี้ เลออนเงยหน้ามองไปยังทิศของวิหารหลวง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่สิ่งนั้นทำให้นิสัยของเขาเปลี่ยนไป หลังจากมองท้องฟ้า เลออนก็ยกมือลูบหน้า
“สี่วันหรือ สี่วันอะไรกัน…”
น้ำเสียงที่ราวกับอับอายจะตายอยู่แล้วดังออกมาจากปากของเขาจนคล้ายเสียงคร่ำครวญ
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาอยากจะตบหัวตัวเองที่มั่นใจเกินจนเขียนไปว่าสี่วัน แล้วจับคอเสื้อมาเขย่า
พร้อมกับตะโกนว่า ‘อย่าเขียนว่าสี่วัน! แค่เขียนไปว่าใช้เวลาหน่อยก็พอแล้ว!’
ความคิดมากมายแวบผ่านในหัวเลออน นักบุญหญิงจะคิดว่า สี่วันอย่างนั้นหรือ นี่กระทั่งวันที่ก็นับไม่เป็นหรืออย่างไร พลางสมเพชเขาหรือไม่ แล้วราธบันจะใส่ร้ายป้ายสีเขาโดยบอกว่า ไอ้เจ้านั่นมันก็ดีแต่ปาก อยู่ข้างๆ หรือไม่ อย่างไรราธบันก็ได้ครอบครองนักบุญหญิงเพียงผู้เดียวตราบใดที่เขาและแอสรันไม่อยู่
คิดถึงภาพนั้น เลออนก็เตะก้อนหินที่ไม่มีความผิดเข้าไปเต็มแรงโดยไม่รู้ตัว หมู่วิหคที่กำลังจิกกินซากศพตกใจจนบินหนีไป
“อยากกลับไปแล้ว…”
เลออนย้อนนึกถึงนักบุญหญิงที่จ้องมองเขา ในตอนที่เขาเล่าถึงสถานที่อันน่าอัศจรรย์และงดงามบนแผ่นดินนี้ นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ไม่ต่างจากเด็กน้อยที่ใฝ่ฝันอยากจะออกไปผจญภัย หากสายตาคู่นั้นจดจ้องเขาไปตลอดชีวิตจะดีเพียงไหนกัน
เลออนหลับตาแล้วลองคิดถึงอนาคตร่วมกับนักบุญหญิง จินตนาการอันสนุกสนานผุดขึ้นในหัวเขามากมาย ในตอนที่จินตนาการของเขาเริ่มเพ้อฝันจนถึงกับวาดภาพลูกสาวที่คล้ายนางขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงทหารคนสนิทเข้ามาใกล้
“มีอะไร?”
“มีจดหมายมาจากคนที่เราทิ้งไว้ที่วิหารหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
ทหารคนสนิทพูดเช่นนั้นพลางยื่นซองขาวให้เลออนอย่างสุภาพ เลออนรีบรับมันมาจนเหมือนกระชาก หากเป็นเรื่องทั่วไปไม่มีทางติดต่อมาเช่นนี้ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่…
หลังจากหยิบกระดาษออกมาจากซอง ดวงตาของเลออนก็กวาดมองอย่างรวดเร็ว ยิ่งสายตาอ่านจดหมายไปมากเท่าไร ใบหน้าของเลออนก็ยิ่งตึงเครียดมากขึ้นเท่านั้น
ไม่นาน มือของเลออนก็ขยำจดหมายที่ถืออยู่อย่างแรง เขาหมุนตัวกลับ กล่าวกับทหารคนสนิท
“ไปเรียกรองผู้บัญชาการทุกหน่วยมา เอาดาบข้ามาด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ?”
เหล่าทหารคนสนิทมองเลออนด้วยความตกใจเพราะคำพูดที่มาอย่างกะทันหันของเขา แม้การเรียกหารองผู้บัญชาการต่างๆ จะกะทันหัน แต่นี่ให้เอาดาบมาให้ด้วย?
แน่นอนว่าเลออนก็เป็นอัศวินเช่นกัน แต่ในการสู้รบที่เป็นรองเช่นตอนนี้ เขารับหน้าที่สั่งการภาพรวมอยู่ด้านหลังมากกว่าออกไปอยู่แนวหน้า แล้วทำไมตอนนี้จู่ๆ ถึงจะออกไปยืนนำ เลออนกัดฟันพลางกล่าวราวกับประกาศอย่างเป็นทางการโดยไม่มองเหล่าทหารคนสนิทที่เกิดความสงสัยคนใดทั้งสิ้น
“จัดการทุกอย่างให้เสร็จสิ้นก่อนคืนนี้”
จดหมายรายงานสถานการณ์ในวิหารหลวงที่อยู่ในกำปั้นสั่นๆ ของเลออนยิ่งยับยู่ยี่กว่าเดิม
***
โครม!
ประตูของกระท่อมที่ปิดแน่นเปิดออกด้วยการถีบของราธบัน
เขาเข้าไปด้านในก่อน ส่วนฉันมัดสายบังเหียนม้ากับเสาที่อยู่ด้านนอก จากนั้นหยิบแอปเปิลลูกหนึ่งในกระเป๋าออกมาให้มันกัด คงเพราะถูกใจผลไม้ที่ได้กินหลังจากเดินบนเขามาอย่างเหน็ดเหนื่อย ม้าจึงส่งเสียงร้องอย่างอารมณ์ดีแล้วเริ่มกินแอปเปิลอย่างมีความสุข เมื่อเงยหน้าขึ้นมองฟ้าก็เห็นท้องฟ้าที่ย้อมไปด้วยสีแสดกำลังเปลี่ยนเป็นสีม่วงอย่างรวดเร็ว ราตรีกำลังคืบคลานเข้ามาในภูเขา
แม้จะเดินมาทั้งวัน แต่จวบจนกระทั่งกลางคืนแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของหมู่บ้านเลย ราธบันที่ตระหนักได้ถึงเรื่องนั้นจึงสำรวจดูรอบข้าง แล้วเดินไปยังสถานที่ที่ไม่มีถนนผ่าน
แม้ฉันจะสงสัยว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงทำเช่นนั้น แต่ก็เดินตามเขาไปโดยไม่พูดอะไร ทันใดนั้น กระท่อมที่ถูกสร้างขึ้นจากไม้ก็ปรากฏขึ้นด้านในราวกับเรื่องโกหก ดูเหมือนราธบันจะรู้เส้นทางที่นักล่าสัตว์ใช้สัญจรตั้งแต่แรก
ฉันป้อนแอปเปิลให้ม้าอีกลูกหนึ่ง จากนั้นเดินตามเขาเข้าไปด้านใน
“เป็นสถานที่ที่ถูกดูแลเป็นอย่างดีขอรับ เหมือนจะทิ้งร้างได้ไม่นานเท่าไร คืนนี้เราจะนอนพักกันที่นี่”
ราธบันกวาดตามองด้านใน ก่อนตรวจดูอย่างละเอียดเผื่อว่าจะมีจุดที่เป็นอันตรายแล้วกล่าว กระท่อมได้รับการดูแลเป็นอย่างดีอย่างที่เขาพูดไม่ผิดเพี้ยน ฉันหยิบอัญมณีเม็ดเล็กจากถุงผ้าในอกมาหนึ่งเม็ด แล้ววางลงบนโต๊ะกลางกระท่อม เท่านี้ยังไม่เพียงพอในการขอโทษที่พวกเราเข้ามาโดยการพังประตู
ฉันกับราธบันเตรียมตัวเข้านอนอย่างรวดเร็ว เราหยิบผ้าห่มที่อยู่ตรงมุมออกมาสะบัดฝุ่นหนึ่งครั้ง ก่อนปูลงบนพื้น จากนั้นไปชำระล้างร่างกายที่ลำธารด้านนอกพอสมควร ทันทีที่เอนกายลง ความเหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งวันพลันแล่นเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ไม่นาน ราธบันที่อาบน้ำเสร็จก็เข้ามาด้านใน ทว่าเขากลับไปนั่งบนเก้าอี้ข้างโต๊ะ แทนที่จะนอนข้างฉัน
“ราธบัน ไม่นอนหรือ?”
“…ท่านนอนก่อนเถิด”
น้ำเสียงที่สัมผัสได้ถึงความเหนื่อยล้ากว่าเมื่อวานทำให้ฉันเป็นกังวล เขาอยู่รอจนฉันหลับสนิทก่อนเพื่อที่จะให้ฉันได้นอนอย่างสบายขึ้นอย่างนั้นเหรอ
‘มาคิดดูแล้ว…’
หลังจากออกมาจากวิหารหลวง ฉันก็ไม่ได้ใช้เวลาตอนกลางคืนกับเขาอีกเลย แน่นอนว่าเรานอนบนเตียงเดียวกัน แต่ก็แค่นอนเท่านั้น แม้ลองลืมตาขึ้นจะพบว่าฉันแทรกตัวอยู่ในอ้อมอกของเขา แต่ก็หยุดแค่ตรงนั้น ราธบันไม่แตะเนื้อต้องตัวฉันเลย
ฉันย้อนคิดถึงคืนสุดท้ายที่อยู่ด้วยกันในวิหารหลวง เขากอดฉันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แม้จะอ้อนวอนทั้งน้ำตา แต่เขาก็ยังเข้ามาในตัวฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รับฟัง ยิ่งทำมากเท่าไร อย่าว่าแต่เขาพอใจเลย กลับยิ่งกอดฉันเหมือนกับคนที่รู้สึกหิวกระหายกว่าเดิม แต่นี่หลังออกมาจากวิหารหลวง เรากลับไม่เคยมีอะไรกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว
‘แต่ก็นะ…ไหนจะพิษอีก แถมราธบันก็คงเหนื่อย’
แม้จะเป็นอัศวิน แต่ตราบใดที่เขาเป็นมนุษย์ ก็ย่อมมีขีดจำกัดทางร่างกาย
“คิดอะไรอยู่ถึงได้มองข้าเช่นนั้น?”
คงเพราะฉันที่มองเขาไม่หยุดดูผิดปกติ ราธบันลุกขึ้นมาหาฉันก่อนจะถาม แววตาเป็นกังวลว่าฉันอาจจะบาดเจ็บที่ไหนสักแห่ง
“ไม่…ไม่มีอะไร…แค่เจ้าดูเหนื่อยยิ่งนัก”
เขากะพริบตาหลังจากได้ยินดังนั้น ก่อนจะลูบหน้าแล้วตอบ
“ไม่ต้องกังวลขอรับ ไม่ได้เหนื่อยถึงเพียงนั้น”
“แต่เสียงเจ้าก็ดูเหนื่อย…แถมดูจากที่ไม่นอนกับข้าอีกก็น่าจะเหนื่อยมา…”
พูดถึงตรงนั้น ฉันก็ปิดปากตัวเองด้วยความตกใจ ต่อให้ไม่มีสติอย่างไร แต่เมื่อกี้ฉันพูดไปว่าอะไรนะ?
ได้ยินคำพูดของฉัน ราธบันก็กะพริบตาด้วยความสงสัยว่าตนได้ยินอะไรผิดไป แต่หลังจากนั้นไม่นานสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
“นี่ท่านกำลังคิดว่าข้าเหนื่อย ก็เลยไม่ยอมมีอะไรกับท่านอย่างนั้นหรือ?”
น้ำเสียงของราธบันที่ถามเช่นนั้นฟังดูอันตรายขึ้นมา