หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 16 ไล่ล่า (3)
ฉันค้นกระเป๋าที่สะพายอยู่ด้างข้าง ไม่นานมือก็หยิบขนมปังแบนๆ ครึ่งซีกและเนื้อตากแห้งซอมซ่อขนาดเท่าขนมปังสองชิ้นออกมา
“นี่แย่แล้ว…”
นี่คือทั้งหมดของอาหารที่เหลืออยู่ แม้จะพยายามซ่อน แต่ฉันก็ยังอดทอดถอนใจออกมาโดยอัตโนมัติ
ยิ่งเข้าใกล้ทรีออนมากเท่าไร ฉันกับราธบันก็ยิ่งเข้าใกล้หมู่บ้านไม่ได้มากเท่านั้น ครั้งหนึ่งตอนย่ำรุ่ง ขณะที่เราพยายามจะเข้าไปในหมู่บ้านขนาดเล็กก็เห็นประกาศตามจับที่แปะอยู่แถวทางเข้า ด้านล่างของประกาศจับที่เขียนอธิบายรูปโฉมของฉันกับราธบันมีความผิดของพวกเราถูกเขียนไว้คู่กัน
ความผิดของฉันที่ถูกเสริมเติมแต่งขึ้นอีกสิบเท่าจากความผิดเดิมที่อีเบลลีน่าเคยกระทำไว้ยังพอเข้าใจได้ แต่ความผิดของราธบันนั้นเต็มไปด้วยเนื้อหาร้อนแรงจนทำให้ใครๆ ก็คิดว่าเขาเป็นปีศาจบ้าราคะ
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือพวกเขาบอกว่าราธบันใช้ตำแหน่งผู้บัญชาการอัศวินในการล่วงเกินคนที่ยังอายุน้อยในวิหารหลวง ฉันตั้งใจจะดึงมันออกมาฉีก ราธบันจับมือห้ามปรามฉันทันที พร้อมกับกล่าวว่าหากเราฉีก มันก็จะกลายเป็นหลักฐานว่าพวกเราเคยผ่านมาที่นี่เท่านั้น แต่กระนั้นมือของราธบันที่พูดเช่นนั้นก็ยังสั่นน้อยๆ จนรู้สึกได้
อย่างไรก็เข้าไปในหมู่บ้านไม่ได้แล้ว ดังนั้นสิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดตอนนี้ก็คืออาหาร แม้ที่ซุกหัวนอนจะลำบากแต่ก็ยังพออดทนได้ แต่ความหิวโหยที่ไม่อาจเติมเต็มได้ด้วยการจับสัตว์ป่าหรือเด็ดผลไม้กินได้เกาะกุมข้อเท้าตลอดทั้งวัน
‘ฉันยังขนาดนี้…’
ฉันเหลือบมองราธบัน ใบหน้าของเขาที่เดินอยู่ตรงหน้าฉันดูซีดเซียวเล็กน้อย
‘พิษเริ่มส่งผลกระทบมากกว่าเดิมแล้ว’
แต่กระนั้นในตอนที่ต้องฟื้นฟูร่างกาย ราธบันกลับมอบอาหารส่วนของเขาให้ฉัน
“ข้าไม่เป็นไรขอรับ ระหว่างสู้รบก็มีหลายครั้งที่ต้องอดอาหารไปหลายวัน”
แม้จะพูดเช่นนั้น แต่หากเขายังทำแบบนี้ต่อไปจะต้องถึงขีดจำกัดเร็วขึ้นเป็นแน่
‘ต้องหาอาหาร’
ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเข้าไปในหมู่บ้าน ในตอนที่กำลังลงจากเชิงเขา ฉันก็เห็นตลาดที่ตั้งอยู่บนลานกว้างด้านนอกเมืองใหญ่จากไกลๆ แม้การเข้าไปในเมืองจะลำบาก แต่หากเป็นตลาดที่เปิดอยู่ด้านนอกก็ยังพอเป็นไปได้
“ราธบัน อย่างไรเราก็ต้องซื้ออาหารมา”
“เข้าใจแล้ว งั้นท่านรอที่นี่…”
ฉันยกมือขึ้นหยุดคำพูดของเขา
“ไม่ ข้าจะไปเอง”
“ไม่ได้ขอรับ!”
แม้จะแน่นอนอยู่แล้ว แต่ราธบันปฏิเสธทันที แต่ฉันจะถอยไม่ได้
“ราธบัน อย่างไรพวกเราก็เข้าไปพร้อมกันไม่ได้ รู้ใช่ไหม? ทุกคนต่างก็ตามหาหญิงชายที่เดินทางด้วยกันจนตาแดงฉาน ไม่ว่าจะไปที่ไหน แต่หากอยู่ด้วยกันสองคนก็จะถูกตรวจค้นทั้งหมด ดังนั้นพวกเราจึงควรแยกกันเดินทาง…ราธบันรูปร่างของเจ้ามันสะดุดตาง่ายเหลือเกิน”
“…”
ได้ยินคำชี้แจงจากฉัน ราธบันก็พูดสิ่งใดไม่ออก เพราะมันเป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้ ราธบันตัวสูงมาก แล้วยังรูปร่างดี สรีระที่ใครเห็นก็รู้ว่าเป็นอัศวิน ต่อให้สวมชุดคลุมอยู่แต่ก็ยังดึงดูดสายตาของคนอื่น
ราธบันคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพูดกับฉัน
“แต่รูปโฉมของท่านสะดุดตาของผู้คนยิ่งกว่าสรีระของข้าเสียอีก แม้ท่านจะปิดบังใบหน้าด้วยเสื้อคลุมอย่างไร แต่ก็ใช่ว่ามันจะปิดบังได้ง่ายนะขอรับ”
เขาชี้ให้เห็นถึงจุดนั้นอย่างที่คาด ราธบันกำลังรอคอยคำว่ายอมแพ้จากฉัน ฉันตอบเขาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“ข้ามีวิธีในใจ”
***
“ขายถูก ขายถูก! แอปเปิลเพิ่งเด็ดมาเมื่อเช้าเลย!”
“อบเสร็จแล้วจะมาขายเลย ขนมปังยังอุ่นๆ ร้อนๆ!”
บนลานกว้างเรียงรายไปด้วยด้วยแผงที่ทำจากไม้ บนแผงไม้นั่นเต็มไปด้วยของกิน ไม่ว่าจะเป็นพืชผัก ผลไม้ ไข่ไก่ ขนมปัง รวมถึงนม ยังมีคนที่ขายเสื้อผ้า และคนที่ขายของชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างหวีหรือเครื่องประดับตกแต่ง คนทุกประเภทที่สามารถพบเห็นได้ในตลาด เช่น คนลับมีด คนขายดอกไม้ หรือคนขายขนมหวาน กำลังส่งเสียงโหวกเหวกร้องเรียกหาลูกค้าอยู่อีกด้านหนึ่ง
ฉันรีบเดินผ่านพวกเขาเหล่านั้นไปอย่างรวดเร็วและมุ่งหน้าไปท้ายตลาด ยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งมีกลิ่นเหม็นคาว ปศุสัตว์หลายชนิดกำลังเคลื่อนที่ไปมาโดยมีรั้วที่กั้นขึ้นชั่วคราว ฉันเหลือบมองผู้คนที่วางกองเนื้อที่ถูกฆ่าสดๆ พลางเข้าไปใกล้รั้ว
ฉวยโอกาสที่ทุกคนยุ่งวุ่นวาย ฉันเข้าไปข้างรั้วแล้วแล้วเอื้อมมือนำมูลของสัตว์ที่อยู่บนพื้นมาทาเสื้อเล็กน้อย
“อึก…”
กลิ่นเหม็นลอยขึ้นมาทันที ฉันป้ายมันทั่วเสื้อในปริมาณพอเหมาะ จากนั้นครู่หนึ่งก็สะบัดออก มันทิ้งคราบและกลิ่นไว้พอสมควร
จากนั้นฉันก็มองรางหญ้าของพวกปศุสัตว์ เงาภาพของฉันสะท้อนออกมาเหนือน้ำที่ขังอยู่ในนั้น
‘สมบูรณ์แบบเลยแฮะ?’
ตรงนั้นสะท้อนภาพคนสกปรกที่มีขี้โคลนจับตัวเป็นก้อนอยู่บนเส้นผมกระเซอะกระเซิง รูปลักษณ์ที่ไม่รู้ว่าหญิงหรือชายทำให้ฉันหลุดยิ้มขื่น
ในตอนที่ฉันออกจากวิหารหลวงมาเที่ยวรอบเมืองคราวก่อน สิ่งที่ฉันตั้งใจมองมากที่สุดก็คือผู้คนที่อยู่ตามซอกมุม สภาพของคนที่ไล่ต้อนปศุสัตว์ที่เลี้ยงมาขายตรงนั้นค่อนข้างยากที่จะพูดว่าสะอาด…
แต่อย่างไรก็ช่วยไม่ได้เพราะพวกเขาต้องคอยจับต้อนสัตว์อยู่ตลอด และอาจเพราะอย่างนั้น แม้พวกเขาจะมีกลิ่นเหม็นและสกปรก แต่คนอื่นๆ ก็เพียงมองอย่างเมินเฉยและแค่เว้นระยะห่างไว้เล็กน้อย
‘หน้าตาเขาเหมือนจะเป็นลมเลย’
เพื่อที่จะปลอมตัวเป็นพวกเขา ฉันใช้กริชที่มีอยู่ตัดผมแล้วขยี้ด้วยมืออย่างส่งเดช จากนั้นลงไปในลำธารแล้วป้ายขี้เลนไปทั่ว จนทำให้ราธบันห้ามปรามฉันด้วยความตกใจจนตาจะถลนออกมาแล้วจริงๆ
แน่นอนว่าฉันบอกให้เขาอยู่นิ่งๆ จากนั้นก็ทำเรื่องที่ทำอยู่จนเสร็จ หลังจากนั้นชั่วครู่ บนลำธารก็ปรากฏเงาของคนผู้หนึ่งที่อยู่ในสภาพดูไม่ได้
“…ดีล่ะ”
ถ้าทำจนถึงขนาดนี้แล้วยังรู้ว่าฉันเป็นใครก็น่าประหลาดใจแล้ว ต่อให้ตั้งใจมองทุกซอกทุกมุมก็ไม่พบร่องร่อยของนักบุญหญิงแม้แต่น้อย เห็นเพียงคนผู้หนึ่งที่กลับมาหลังจากทำงานหนักเท่านั้น เสื้อก็ฉีกขาดและสกปรกอย่างพอดีจนไม่มีปัญหาที่จะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นขอทาน
“ราธบัน? เป็นอย่างไร ประมาณนี้พอได้ใช่ไหม? แล้วก็…”
ฉันหยิบผลไม้ที่กินแล้วคายไว้วันก่อนออกมาจากถุง
“อา…”
ราธบันอุทานออกมาหลังจากจำมันได้
“ใช่แล้ว เมื่อวานข้าหน้าบวมหลังจากกินมัน มันไม่เจ็บ แค่ชาๆ เล็กน้อยเท่านั้น หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม”
ตอนนั้นฉันตกใจมากหลังจากเห็นหน้าของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในลำธาร
อย่างไรก็ตาม สภาพเช่นนี้ไม่มีใครจำได้ว่าเป็นฉันแน่นอน นอกจากพวกเขาจะลงทุนกินผลไม้ผลนี้แล้วจับมานั่งมองให้ดี
“ไม่ได้ขอรับ ของเช่นนั้น…!”
แม้ราธบันจะพยายามดึงผลไม้ที่อยู่ในมือฉันไปหลังจากตระหนักได้ว่าฉันจะทำอะไร แต่ฉันก็เร็วกว่า ทันทีที่ฉันกัดมันเข้าไป รสเปรี้ยวและอาการชาบริเวณโคนลิ้นพลันแล่นเข้ามา
“คายออกมาขอรับ!”
เขาไม่อาจบีบบังคับให้ฉันคายออกมาได้ จึงจับฉันไว้อย่างทำตัวไม่ถูก ฉันจับแขนของราธบันแล้วตบเบาๆ ราวกับเกลี้ยกล่อม
“ข้าคิดว่าถ้าทำแบบนี้ก็คงจะไม่มีใครจำได้”
ได้ยินดังนั้น เขาก็ไม่ตอบอะไรและเอาแต่ลูบหน้าตนเองอยู่หลายครั้ง ก่อนที่สายตาจะเลื่อนลงไปมองเส้นผมที่ตกอยู่บนพื้น
“เสียดายหรือ?”
ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวทันทีที่ถาม
“อย่างไรก็กำลังหลบหนี ผมยาวก็มีแต่ทำให้รำคาญ…ราธบัน?”
จู่ๆ ราธบันก็ดึงฉันเข้าไปกอด
“ทำไม ทำไมเป็นเช่นนี้เล่า ราธบัน? ปล่อยข้า เสื้อเจ้าจะเลอะไปด้วยแล้ว…!”
ฉันผลักเขาออกไปด้วยความตกใจกับการกระทำที่กะทันหัน แล้วก็สัมผัสได้ว่าร่างกายของเขากำลังสั่นอย่างแรง แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย แต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงรู้สึกได้ว่าเขากำลังร้องไห้ ฉันไม่ได้ผลักเขาออกไปอีกและมองเส้นผมที่ร่วงอยู่บนพื้น
กระทั่งฉันเองก็ยังมองว่าก้อนสีทองที่เป็นประกายใต้แสงแดดนั้นงดงามยิ่ง แต่เขากลับไม่สนใจมันและเลือกที่จะดึงฉันที่เต็มไปด้วยขี้โคลนเข้าไปกอด ผ่านไปสักพัก ราธบันถึงเอ่ยกระซิบขึ้น
“ข้าเพียง…ทำได้แค่ขอโทษ ข้ารู้สึกสมเพชตัวเองที่ไร้ความสามารถจนทำให้ท่านถึงกับต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้”
ได้ยินดังนั้น ฉันก็กอดราธบันเงียบๆ
“เฮ้อ…”
หลังจากนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนจะมาที่นี่ ฉันก็ถอนหายใจพลางเร่งฝีเท้า นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมายื่นเหม่อลอยอยู่อย่างนี้ แม้จะกล่าวว่าปลอมตัวแต่ก็ไม่ควรอยู่ท่ามกลางผู้คนเป็นเวลานาน ฉันรีบเดินเข้าไปใกล้พ่อค้าแม่ค้า แม้พวกเขาจะนิ่วหน้าเมื่อเห็นสภาพที่ซอมซ่อและกลิ่นเหม็นเน่าจากฉัน แต่ก็เป็นสายตาที่มีความเข้าใจในระดับหนึ่ง
หลังจากซื้อขนมปังแข็งๆ เนื้อตากแห้งและผลไม้ที่สามารถเก็บไว้กินได้เป็นเวลานาน ฉันก็มุ่งหน้าไปทางฝั่งที่ขายลูกกวาด
‘เหมือนราธบันจะชอบของหวานอยู่บ้าง…’
ต้องเดินบนภูเขาอย่างยากลำบากอยู่ตลอด หากมีของหวานสักหน่อยก็คงจะดี ในตอนที่กำลังเดินไปทางฝั่งที่มีกลิ่นหอมหวานโชยมา จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเสียงเอะอะโวยวายจากด้านข้าง
“จะอัศวินหรืออะไร สุดท้ายก็ตกลงไประหว่างขาอีนางนั่นอยู่ดีไม่ใช่หรือไง? กระทั่งเหล่าอัศวินที่แสร้งทำตัวดีมีเกียรติ สุดท้ายก็เหมือนกันหมด”
“ใช่ไหมล่ะ แล้วยิ่งฟังจากคำพูดของคนที่พอจะรู้สถานการณ์ในวิหารหลวงอยู่บ้าง เห็นว่าเขาก็ยุ่งกับเหล่านักบวชในวิหารด้วยนะ? ไม่ใช่แค่นักบวช ตอนกลางคืนยังเรียกอัศวินฝึกหัดที่ถูกใจมา…”
“หา? มีรสนิยมชมชอบผู้ชายด้วยหรือ? แถมยังเป็นอัศวินใต้บัญชา?”
ได้ยินคำซุบซิบนินทาของผู้คน ฉันก็กัดฟัน
‘อยากเข้าไปตบหน้าสักทีจริง’
ชั่วขณะที่กำลังคิดเช่นนั้นเอง
เพี๊ยะ!
เสียงของทุกคนเงียบลงเพราะเสียงดังสดชื่นที่มาอย่างกะทันหัน เมื่อฉันมองไปทางนั้นด้วยความตกใจก็เห็นหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนหายใจแรงขณะตบแก้มของชายที่ใส่ร้ายป้ายสีราธบันเมื่อครู่ก่อน
“ยังไม่หยุดพูดเรื่องสกปรกอีกหรือ! กระทั่งสัตว์เดรัจฉานมันยังรู้จักตอบแทนพระคุณ! ท่านผู้นั้นคือคนที่ช่วยขวางปีศาจและช่วยพวกเราเอาไว้ พวกเจ้าลืมกันไปหมดแล้วหรือ! ไก่บ้านข้ายังฉลาดกว่าพวกเจ้า!”
“หา? นางผู้หญิงคนนี้…!”
“ทำไม จะตบข้าด้วยหรือไง? ได้ ก็เอาสิ! ถ้าเซอร์ราธบันไม่ช่วยชีวิตเอาไว้ ป่านนี้พวกเจ้าก็เป็นแค่โครงกระดูกไปแล้ว!”
หญิงคนนั้นไม่ถอย กลับยิ่งโกรธกว่าเดิมและม้วนแขนขึ้น การกระทำของหญิงคนนั้นทำให้รอบข้างเริ่มกระซิบกระซาบ ด่าหญิงคนนั้นเหรอ ทว่าเสียงที่ดังต่อมากลับต่างจากที่ฉันคิด
“ใช่แล้ว พวกไม่รู้จักบุญคุณ คนที่เซอร์ราธบันช่วยไว้มีตั้งเท่าไร”
“ถูกต้อง ท่านผู้นั้นไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่”
“ถ้าไม่ได้ท่านผู้นั้นป่านนี้หมู่บ้านของพวกเราคงตายกันหมดแล้ว!”
ได้ยินคำพูดของคนที่ไม่ลืมความช่วยเหลือจากเขา ฉันก็พลันเชิดหน้าชูคอ ตอนนั้นเอง คนที่เข้าข้างราธบันก็เอ่ยขึ้น
“ทั้งหมดนี่เป็นเพราะนักบุญหญิงตัวปลอมนั่น!”
“…”
ฉันเกือบจะหลุดพูดว่าขอโทษออกไปแล้วเชียว
“ถ้าไม่ใช่เพราะหญิงผู้นั้น!”
“ก็คงจะตั้งใจทุ่มเททำงาน!”
เสียงที่ดังขึ้นทำให้ไหล่ค่อยๆ หดลงเรื่อยๆ
‘ที่พวกเขาพูดก็ไม่ผิด’
ฉันนึกถึงตอนที่ลืมตาขึ้นในโลกใบนี้ครั้งแรก เพราะคิดว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้จะต้องถูกเผาด้วยไฟจนตาย ฉันถึงได้เข้าหาราธบันที่เมินเฉยและปฏิบัติกับเขาอย่างอ่อนโยน
‘ถ้าฉันไม่เข้าไปพัวพันกับราธบันจะเป็นอย่างไรกันนะ’
ไม่ว่าอย่างไรราธบันก็คงไม่เป็นอย่างตอนนี้ ชื่อเสียงของเขาจะสูงตระหง่านในฐานะผู้บัญชาการหน่วยอัศวินแห่งวิหารที่ได้รับความรักความยกย่อง และยังคงรักษาเกียรติภูมิและเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระเจ้า
มองผู้คนอยู่อีกสักพัก ฉันก็หมุนตัวกลับ
‘ควรรีบกลับไปได้แล้ว’
ของที่ต้องซื้อก็ซื้อหมดแล้ว แม้จะไม่มีใครสงสัยแต่การอยู่ที่นี่นานไปก็ใช่ว่าจะดี ในตอนที่ฉันกำลังเดินออกจากตลาดด้วยฝีเท้าเร่งรีบ จู่ๆ รอบข้างก็เอะอะโวยวาย ขณะที่กำลังจะหันกลับไปด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงตะโกนก็ดังขึ้นด้านหลังฉัน
“ท่านนักบุญหญิง!”