หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 17 ชายารัชทายาท (1)
เมื่อกี้เลออนว่าอย่างไรนะ?
ฉันไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน จึงทำเพียงจ้องเลออนที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าอย่างเหม่อลอย เขามองมาที่ฉันตรงๆ ด้วยสีหน้าที่ราวกับขอคำอนุญาต ฉันกวาดสายตามองรอบข้างเพื่อยืนยันว่าไม่ได้ฝันไป สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกคือหน่วยอัศวินแห่งจักรวรรดิและทหารคนสนิทของเขา
แม้เหล่าอัศวินจะพยายามรักษาสีหน้า ทว่าทหารคนสนิทกลับกำลังจ้องมองมาทางนี้ด้วยความลุกลี้ลุกลนอย่างไม่อาจปิดบัง หลายคนในนั้นมีสีหน้าราวกับหยุดหายใจไปแล้ว ซึ่งก็เป็นเรื่องสมควร
ในสถานการณ์เช่นนี้ การที่ฉันซึ่งอยู่ในสภาพแบบนี้ถูกขอแต่งงานก็พูดไม่ออกแล้ว แต่ความจริงที่ว่าอีกฝ่ายคือเลออนกลับยิ่งเป็นปัญหา
จักรวรรดิกุมอำนาจมากกว่าครึ่งในแผ่นดิน แต่องค์ชายรัชทายาทของจักรวรรดิผู้นั้นกลับกำลังคุกเข่าขอแต่งงานหญิงสาวที่เป็นเพียงนักโทษหลบหนี ไม่ใช่ครอบครัวชนชั้นสูงหรือเชื้อพระวงศ์ และยังไม่ใช่ในสถานที่ที่หรูหราและงดงามที่สุดอย่างพระราชวัง แต่กลับเป็นกลางป่าในเขตชายแดนของทวีป นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะจบลงแค่ในหัวข้อบทสนทนาของคนที่ชื่นชอบการซุบซิบนินทาเท่านั้น
เลออนเป็นคนที่รู้ความจริงข้อนั้นดีกว่าใครทั้งหมด แต่ใบหน้าของเขากลับไม่ปรากฏความกังวล หรือความลังเลใดๆ ทั้งสิ้น ราวกับคนที่ตระเตรียมช่วงเวลานี้มานานมากแล้ว
“ทำไม…”
“มิใช่ว่าข้าเคยบอกท่านไปตั้งแต่แรกแล้วหรอกหรือ? ข้าต้องการท่าน”
ฉันคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถาม
“…ถ้าข้าปฏิเสธแล้วท่านจะส่งข้าให้วิหารหลวงหรือไม่?”
เลออนพลันมีสีหน้าเหมือนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามของฉัน
“…ข้าดูเป็นคนเช่นนั้นหรือ?”
“…”
“ลีน่า ข้าอยากจะบอกว่าท่านจะได้รับสิ่งใดเมื่อเลือกข้ามากกว่าบอกว่าท่านจะเป็นอย่างไรหากไม่เลือกข้า เพียงแค่ท่านพยักหน้าหนึ่งที ทุกอย่างของจักรวรรดิก็จะอยู่ในมือของท่าน สิ่งน่าอัศจรรย์ทั้งหลายที่ท่านอยากเห็นถึงเพียงนั้นในโลกใบนี้ต่างก็เป็นของในอาณาเขตประเทศของจักรวรรดิทั้งสิ้น หรือถ้าไม่ใช่ก็ทำให้เป็นเสียก็สิ้นเรื่อง”
แม้ว่าบางอาณาจักรจะต้องหายไปเพื่อให้คำพูดของเขาเป็นจริง แต่เลออนกลับตอบกลับสบายๆ ราวกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“แต่นอกเหนือสิ่งอื่นใด ข้าสามารถมอบสิ่งที่จำเป็นที่สุดแก่ท่านได้”
พูดจบ สายตาของเลออนก็มองหน่วยอัศวินแห่งจักรวรรดิที่ยืนอยู่ด้านหลัง เขาลุกขึ้น จากนั้นก็ค้อมตัวลงแล้วกระซิบข้างหู
“อย่างเช่นหน่วยอัศวินแห่งจักรวรรดิที่จะช่วยขัดขวางหน่วยอัศวินแห่งวิหารที่ไล่ตามเซอร์ราธบัน”
“…!”
ฉันเบิกตากว้างเมื่อได้ยินดังนั้น เลออนยังคงกระซิบข้างหูฉันต่อไป
“ข้าไม่สนใจว่าท่านจะมีใครในหัวใจ ถ้าหากแค่นั้นแล้วยอมแพ้ ข้าคงไม่เริ่มตั้งแต่แรก ข้าขอเพียงให้ท่านอยู่เคียงข้างข้า ร่วมใช้ชื่อกับข้าและอยู่ในบันทึกร่วมกันข้าไปตลอดกาลก็เพียงพอแล้ว เพราะงั้น ลีน่า”
เสียงของเลออนสั่นเทา ฉันไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน
“เพื่อข้า เพื่อท่าน แล้วก็เพื่อคนที่ท่านรัก…ได้โปรดเลือกข้าเถิดนะ”
ลำคอพลันรู้สึกตีบตัน คำขอแต่งงานของเขาไม่ได้เป็นประโยชน์แก่เขาเลยแม้แต่น้อย คำขอแต่งงานที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนราคาแพงเพื่อให้ได้นักโทษหลบหนีเพียงคนเดียวของวิหารหลวง แม้ดูเหมือนเป็นการแลกเปลี่ยน แต่นี่ไม่ใช่ นี่เรียกว่าเสียสละฝ่ายเดียวของเลออน เขาประกาศยอมจำนนตั้งแต่ก่อนจะเริ่มด้วยซ้ำ นี่เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตของเขา
เลออนเอ่ยถามอีกครั้ง
“ลีน่า ท่านจะแต่งงานกับข้าได้หรือไม่?”
ฉันจ้องเขาอีกสักพัก ก่อนจะมองมือของเขาที่ยังจับมือฉันพลางพยักหน้าอย่างเชื่องช้า เขามีสีหน้าที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้ ก่อนจะจุมพิตลงบนหลังมือที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและดินโคลนของฉัน ไม่มีใครส่งเสียงใดออกมาได้เลยเมื่อเห็นท่าทางที่เคร่งขรึมราวกับดูแลของล้ำค่าที่สุดในโลก แม้กระทั่งคาร์ลด้วยเช่นกัน
ผ่านไปสักพัก เลออนถึงถอนริมฝีปากออก เขาเดินเข้ามาหนึ่งก้าวแล้วดึงฉันเข้าไปกอด
“จากนี้ก็พักเสียหน่อยเถิด ลีน่า”
ร่างกายพลันหมดแรงหลังจากได้ยินคำพูดที่เป็นดั่งสัญญาณ เลออนกอดร่างของฉันที่ล้มลง
“ทุกคน คุ้มครองชายารัชทายาทแห่งจักรวรรดิ!”
ท่ามกลางจิตสำนึกอันห่างไกล เสียงร้องตะโกนของเลออนดังสะท้อนในหูราวกับฟ้าผ่า
***
“ที่นี่แล้วกัน”
แอสรันมองผาสูงชันที่อยู่ฝั่งหนึ่งของไหล่เขาแล้วพึมพำ ระหว่างผาลูกนั้นมีรอยร้าวขนาดใหญ่ แม้จะเรียกว่ารอยร้าว แต่เพราะเป็นผาขนาดใหญ่จึงกว้างเกินจะให้คนเข้าออก ทันทีที่เขาเข้าไปสำรวจด้านในก็พบร่องรอยของสัตว์ป่าที่เคยอยู่ที่นี่อย่างที่คิด
หลังจากสำรวจด้านในมากขึ้น แอสรันก็มีสีหน้าพึงพอใจ หินขนาดใหญ่เท่าภูเขา แท่นหินแข็งแรงเป็นอย่างมากเหมาะแก่การหลบซ่อน อีกทั้งทางเข้ายังค่อนข้างเรียวและแคบ จึงไม่น่าจะสะดุดตาได้ง่าย
แอสรันสำรวจด้านในจนหมดสิ้น จากนั้นโยนของที่ถืออยู่ในมือลงไป ทันใดนั้นสิ่งที่ร่วงลงพื้นก็บิดตัว ก่อนจะร้องครางเสียงเบา เขาตั้งใจหิ้วมาอย่างปลอดภัยเท่าที่จะพอทำได้แล้ว แต่ดูเหมือนจะเป็นมนุษย์ที่ร่างกายอ่อนแอมากอยู่แล้วจึงยากจะทานทน
ชั่วครู่ หญิงสาวก็ลืมตาขึ้น แอสรันมองหญิงผู้นั้นพลางเปิดปากพูด
“เจ้า…”
“ฮึก!”
ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร หญิงสาวก็สะดุ้งจนตัวสั่น แล้วน้ำหูน้ำตาไหลพลางคว่ำหน้าตรงหน้าแอสรัน
“อี อีริสค่ะ!”
แม้เขาจะสงสัยว่าจู่ๆ นางพูดอะไร แต่ดูเหมือนนางจะคิดว่าเขาจะถามชื่อของตน หลังจากได้รู้ความจริงที่ไม่ได้อยากรู้เลยสักนิด แอสรันก็มองอีริสพลางกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“เจ้ามนุษย์ พลังนั่นไม่ใช่ของเจ้า”
ขณะพูดเช่นนั้น แอสรันก็จับเสื้อของอีริสและยกขึ้นอีกครั้งอย่างโมโห
“ถ้าเจ้ากล้าใช้พลังมั่วซั่วอีกข้าจะไม่ปล่อยไปแน่ ฟังเข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจค่ะ เข้าใจ!”
นัยน์ตาสีแดงที่วูบไหวทำให้อีริสพยักหน้าอย่างบ้าคลั่ง นางรู้ว่าหากตอนนี้นางตอบช้าไปแม้แต่นิดเดียว เขาคงไม่มีทางปล่อยไปจริงๆ หลังจากอีริสพยักหน้าไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายน้ำตาเม็ดใหญ่ก็ร่วงหล่นลงมา
“…ไม่ใช่ว่าอยากได้ก็เลยได้มาเสียหน่อย”
“…?”
นั่นหมายความว่าอย่างไร แอสรันมองอีริสด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
“มะ ไม่ใช่ว่าข้าอยากได้ แล้วก็เลยได้มา…จู่ๆ วันหนึ่งมันก็…”
พูดถึงตรงนั้น อีริสก็ไม่อาจข่มความเศร้าใจ แล้วเริ่มร้องโฮออกมาเสียงดัง ความหวาดกลัวที่นางเก็บไว้และอดทนมาโดยตลอดระเบิดออกมา
ตั้งแต่เช้า นางถูกคนในหมู่บ้านที่ไม่มีใครอยู่ข้างนางแม้แต่คนเดียวรายล้อม ถูกข่มขู่จากคู่สามีภรรยาหัวหน้าหมู่บ้าน แล้วจู่ๆ ปีศาจก็บุกเข้ามา บ้านแตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับที่มีคนตายต่อหน้านาง เพียงแค่นั้นก็แทบจะทำให้เป็นลมแล้ว แต่นี่ยังถูกลักพาตัวมาอย่างกะทันหัน และตอนนี้ยังต้องมารับความโกรธที่ไม่รู้ว่าทำไมตนต้องรับฟังอีก อีริสรู้สึกทุกข์ใจและหวาดกลัวทุกอย่าง
ใบหน้าของแอสรันที่หิ้วอีริสราวกับหิ้วลูกแมวพลันปรากฏแววล้มเหลว
‘ให้ตาย’
แค่ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิงก็น่าหงุดหงิดพอแล้ว แต่นี่ยังถึงกับร้องไห้จนน่าหนวกหู แอสรันเกิดความคิดว่าไม่น่าเก็บมาเลย แต่ตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ถึงนางจะน่าหงุดหงิดแต่ก็ปล่อยทิ้งไว้ด้านนอกที่ไม่รู้ว่าเฮกซ่าจะกลับมาอีกเมื่อไรไม่ได้
‘จะเอาอย่างไรดี’
ตอนที่แอสรันยังไม่รู้จะต้องทำอย่างไร เสียงร้องไห้โฮของอีริสก็เริ่มสงบลง แต่กลับมีเสียงดังโครกครากจนได้ยินไปทั่วทั้งถ้ำแทน ได้ยินเสียงนั้น อีริสก็หยุดร้องไห้และก้มหน้าลง ตอนนี้นางไม่เหลือกระทั่งแรงจะร้องไห้อีกแล้ว
‘พอร้องไห้จนน่าหนวกหูแล้วก็เลยหิวขึ้นมางั้นรึ’
เอาเป็นว่าคงต้องเติมท้องให้เจ้าสิ่งนี้ก่อน แอสรันจมอยู่กับความคิดชั่วครู่ ก่อนจะเปิดพลังเวทเล็กน้อยในอากาศ ทันใดนั้น เสียงของตกลงพื้นดังขึ้นพร้อมกับอะไรบางอย่างที่ร่วงหล่นออกมา อีริสจ้องพื้นด้วยแววตาประหลาดใจ ตรงนั้นมีขนมปัง แฮม ชีส รวมถึงขนมหลากสีสันที่ไม่รู้กระทั่งชื่อกำลังกลิ้งไปมา
“เป็นของที่ลีน่าชอบกิน…เท่านี้คงจะพอนะ”
ใบหน้าของชายที่กล่าวเช่นนั้นพลันมีรอยยิ้มอ่อนโยน อีริสจ้องภาพนั้นอย่างสติหลุดไปชั่วขณะ พลังงานกดดันหายไปราวกับเป็นเรื่องโกหก สีหน้าที่หลงเหลือเพียงความเบิกบานและความคะนึงหาทำให้อีริสกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว
“ลีน่า?”
อีริสพึมพำเมื่อได้ยินคำพูดของแอสรัน ทันใดนั้นหางตาของเขาก็พลันยกขึ้น เห็นดังนั้นอีริสก็หุบปากทันที เพราะนางรับรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ชอบเป็นอย่างยิ่งที่นางเอ่ยเรียกชื่อนั้น
“เจ้ากินของพวกนี้ไประหว่างที่ข้านอนเสียล่ะ อย่าแม้แต่จะคิดไร้สาระอย่างการหนี เพราะเฮกซ่าจะมาจับเจ้าฉีกกินก่อนที่จะไปได้ไกลเสียอีก เข้าใจไหม?”
“ค่ะ เข้าใจค่ะ!”
พออีริสพยักหน้าและตอบรับ แอสรันก็ปล่อยนางลงพื้นอีกครั้ง จากนั้นก็นอนหลับตาลงบนพื้นทันที อีริสมองแอสรันที่หยุดการเคลื่อนไหวในชั่วพริบตาราวกับคนตาย ก่อนมองอาหารที่เขาเอามาให้
โครกกก
ความหิวโหยมอบความกล้าให้นาง อีริสคลานต้วมเตี้ยมเข้าไปหยิบขนมปังที่กลิ้งอยู่บนพื้น กลิ่นหอมลอยออกมาจากขนมปังที่ยังอุ่นราวกับเพิ่งทำเสร็จ ลองกัดเข้าไปหนึ่งคำใหญ่ ก็พบว่ากำลังเคี้ยวขนมปังสีขาวที่นุ่มจนยากจะเชื่อ
อีริสลืมเรื่องราวทุกอย่างไปสิ้นและหยิบของที่ตกอยู่บนพื้นเข้าปากไม่หยุด ของทุกอย่างล้วนแต่รสชาติอร่อยและสวยงามซึ่งนางไม่เคยลิ้มลองมาก่อนจนถึงตอนนี้ ผ่านไปสักพัก อีริสถึงเงยหน้าขึ้นได้
“ลีน่าอย่างนั้นหรือ…”
อีริสพึมพำชื่อที่ชายหนุ่มพูดออกมาอย่างระมัดระวัง แม้จะไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่นางอยากกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายเป็นอย่างแรก เป็นเพราะคนคนนั้นชอบ นางถึงได้กินอาหารพวกนี้ด้วย
อีริสหยิบขนมขึ้นมาใส่ในกระเป๋าเสื้อของตนเองจนเต็ม เมื่อมองปากถ้ำก็เห็นแสงสีแดงไหวกระเพื่อมอยู่ตรงนั้น พลังเวทที่พวกปีศาจใช้มีสีเดียวกันกับมัน บางทีนี่คงเป็นเวทมนตร์ที่ผู้คนชอบกล่าวถึง
อีริสใช้มือแตะมันอย่างระมัดระวัง มือของนางผ่านมันไปได้โดยที่ไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น ต่างจากที่เป็นกังวลว่าอาจจะเจ็บ หรืออาจจะออกไปไม่ได้
“…!”
อีริสหันศีรษะกลับไปอย่างระมัดระวัง ชายหนุ่มยังคงนอนหลับราวกับตาย
‘หนีไปทั้งอย่างนี้ได้ไหมนะ…?’
ชั่วขณะที่อีริสคิดเช่นนั้นและกำลังจะเดินออกจากปากถ้ำ
กร๊าซซซ!
เสียงร้องน่าขนลุกที่เพียงแค่ได้ยินก็ทำให้ตัวแข็งทื่อดังขึ้นจากอีกฟากของภูเขา เป็นเสียงร้องของเฮกซ่าที่เคยเจอเมื่อตอนกลางวันไม่ผิดแน่ อีริสหมุนตัวกลับทันทีแล้ววิ่งไปหาแอสรันอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นนางก็คว่ำหน้านอนอยู่ข้างเขา
“แฮ่ก… แฮ่ก…”
ภาพการเข่นฆ่าอันน่าสยดสยองที่เห็นในตอนกลางวันแวบเข้ามาในหัวของนาง จะทำอย่างไรดี? ถ้าเจ้าตัวนั้นหาที่นี่เจอจะต้อง…
ตึง ตึง ตึง
เสียงแผ่นดินสะเทือนดังขึ้นพร้อมกับที่อีกฟากของปากถ้ำมีร่างขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนไหว เฮกซ่ากำลังเข้ามาใกล้ อีริสอยากสิ้นสติไปเดี๋ยวนี้ หากเป็นเช่นนั้นนางได้ตายไปโดยที่ไม่ต้องรับรู้อะไรทั้งสิ้น นางสัมผัสได้ว่าดวงตาที่งอกขึ้นมาแทนส่วนที่ถูกควักออกไปกำลังจ้องถ้ำที่นางและแอสรันอยู่ ขณะที่อีริสกำลังรู้สึกสิ้นหวัง เฮกซ่าก็หมุนตัวกลับ แล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง ราวกับไม่มีธุระใดที่นี่อีกแล้ว
“เอ๋…?”
ไม่ถูกพบตัว อีริสมองเวทมนตร์ที่เปล่งประกายเลือนรางอยู่ปากถ้ำ เห็นได้ชัดว่าเวทมนตร์ที่ชายผู้นี้ใช้ช่วยหลอกตาปีศาจนั่นได้ ถ้าอย่างนั้น…
“ออกไปไม่ได้นี่นา…”
อีริสเข้าไปมุมหนึ่งของถ้ำแล้วพึมพำขึ้นขณะกอดเข่า นางหนีไปจากชายผู้นี้ไม่ได้ แถมยังออกไปด้านนอกไม่ได้อีก
“ข้ากลัว…”
ความรู้สึกที่ไม่อาจเก็บซ่อนแทรกผ่านช่องฟันของอีริส อีริสมองมือสั่นเทาของตนเองก่อนหลับตาลง นางเข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมกับความคิดที่ว่าหากมีใครสักคนจับมือนางไว้ก็คงดี