หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 17 ชายารัชทายาท (5)
“อื้อออ…เลออน หยุดได้แล้ว…”
ฉันคว้ามือของเลออนที่เคล้นคลึงหน้าอกพลางร้องขอ
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เลออนมีอะไรกับฉันในทุกครั้งที่มีเวลาว่างอย่างไม่หยุดพักเลยจริงๆ จนครั้งหนึ่งฉันก็หมดสติไปอย่างไม่รู้สึกตัว เขาถึงได้ยอมหยุด แต่ใช่ว่าจะอยู่เฉยๆ เลยซะทีเดียว หลังจากออกคำสั่งกับอัศวินที่อยู่ด้านนอก เขาก็รีบกลับเข้ามาในกระโจม แล้วเดินเข้ามาที่เตียงนอน จากนั้นก็บีบขยำและขบเม้มจนผิวทั้งหมดของฉันกลายเป็นสีแดงเหมือนตอนนี้
“เหนื่อยมากเลยหรือ?”
“นั่นถามเพราะไม่รู้หรือ…อ๊าฮึก!”
เบื้องหน้าพลันเปลี่ยนเป็นขาวโพลนอีกครั้งทันทีที่เขาใช้มือจับยอดอกที่ตั้งชันแล้วขยี้ หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปเขาคงไม่ยอมลุกออกไปง่ายๆ แน่ สุดท้ายฉันจึงต้องเลือกวิธีการอื่น
“เลออน ข้าเหนื่อยจริงๆ…ได้โปรด…”
พอฉันคว้ามือเขาแล้วอ้อนวอนเสียงสะอื้น เลออนถึงได้ยอมปล่อยมือลงด้วยสีหน้าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เขาหอมแก้มฉันอีกหลายต่อหลายครั้งแทน ดูเหมือนจะช่วยปลอบประโลมความเสียดายนั้นได้
“…ท่านคิดถึงหน้าตาตัวเองหน่อยดีไหม?”
ที่นี่คือภายในกระโจม ต่อให้ผ้าจะหนาแค่ไหนก็ไม่อาจปิดกั้นเสียงได้ทั้งหมด หรือถึงจะไม่ใช่เพราะเสียง แต่เมื่อเห็นเขาเข้ามาในกระโจมทุกครั้งที่มีเวลาว่าง มันก็ชัดเจนแล้วว่าผู้คนจะคิดอย่างไร
“มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เจ้าบ่าวที่เพิ่งแต่งงานจะอยากเห็นเจ้าสาวของตนเองจนแทบตาย ข้าว่านั่นจะทำให้พวกเขาคิดว่าอนาคตภายภาคหน้าของจักรวรรดิต้องมั่นคงด้วยซ้ำ”
เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจที่สัมผัสไม่ได้ถึงความเขินอายแม้แต่น้อย แต่โชคยังดี ดูเหมือนตอนนี้เขาตั้งใจจะปล่อยให้พัก ถึงได้พูดขณะที่กอดฉันเอาไว้อย่างสงบเสงี่ยม
“ยังตามหาแอสรันกับอีริสไม่พบ ข่าวว่าหน่วยอัศวินแห่งวิหารพบตัวราธบันแล้วก็ไม่มีเช่นกัน”
ในตอนแรก ฉันยังรู้สึกกังวลว่าเลออนจะปิดบังข้อมูลพวกนี้กับฉันหรือไม่ แต่เลออนกลับบอกทุกอย่างให้ฉันฟังจนความคิดเช่นนั้นกลายเป็นเรื่องน่าอาย นั่นเลยทำให้ฉันเกลียดเขาไม่ลง ทั้งที่หากเขากักขังฉันแล้วควบคุมตามอำเภอใจ ฉันก็ยังสามารถโกรธเคืองเขาได้เต็มที่ แต่เขากลับปล่อยให้ฉันไปไหนมาไหนที่นี่ได้ตามใจและแบ่งปันทุกอย่างให้ฉันฟัง
อีกทั้งที่นี่ยังไม่มีสายตาฟาดฟันมาที่ฉันซึ่งต้องอดทนอยู่ในวิหารหลวงอยู่เสมอ ตอนที่ฉันสวมชุดพระชายาที่เลออนมอบให้ออกไปด้านนอก ตรงนั้นมีเพียงสายตาที่เชื่อฟังและสาบานว่าจะจงรักภักดีอย่างไม่มีข้อแม้เท่านั้น
“แอสรันเขา…อีริส…”
ตอนที่ฉันกำลังพึมพำอยู่นั้น ด้านนอกพลันมีเสียงเรียกหาเลออนดังขึ้น
“ขอโทษนะ เดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา”
“…ไม่ต้องรีบก็ได้”
ได้ยินดังนั้น เลออนก็จูบปากฉันแล้วขบริมฝีปากอย่างหยอกเย้า
“พูดแบบนี้จะได้แผลเอานะ”
เลออนกล่าวเช่นนั้นก่อนออกจากกระโจมไป ขณะที่ฉันกำลังมองกระโจมที่กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง จู่ๆ โลกก็มืดลง
ผ่านไปสักพัก ร่างที่สลบไปบนเตียงก็ลืมตาขึ้น
“แอสรันไปพาอีริสมาอย่างนั้นหรือ…”
คนที่พึมพำขึ้นมาคืออีเบลลีน่า
“ไม่ได้ ปีศาจผู้แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าก็จะเป็นคนตั้งท้องลูกของเจ้า…”
ดวงตาของอีเบลลีน่าวาววับไปด้วยความมุ่งมั่นและความแค้นเคืองอันแรงกล้า
“เจ้าจะต้องฟังคำขอของข้า”
***
“ให้ตาย…”
หลังจากหลุดความในใจออกไปอย่างเผลอตัว คาร์ลก็กวาดตามองรอบข้างด้วยความตกใจ โชคดีที่ในกระโจมของเขามีแค่เขาคนเดียว คาร์ลใช้หลังมือเช็ดปาก การรักษาความสุขุมเริ่มทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนที่ได้ยินเรื่องราวของอีริสครั้งแรก เขาเคยคิดว่าเรื่องทุกอย่างจะต้องจัดการได้อย่างง่ายดาย เขาไม่ระแวงสงสัยและมีความเชื่อมั่นว่ายายเด็กบ้านนอกจะต้องตื่นเต้นกับความจริงที่ว่าตนเองเป็นนักบุญหญิงคนใหม่และกำลังรอคอยเขาอยู่เมื่อเขาไปถึงทรีออน ส่วนอีเบลลีน่าและราธบันจะต้องถูกจับเป็นและนำมาใช้เป็นเครื่องมือเล่นสนุกได้ก่อนหน้านั้นแล้ว
แต่สถานการณ์กลับไม่เป็นไปตามที่เขาคิดเลยแม้แต่น้อย
ยายหนูอีริสกลับถูกจอมเวทสักคนลักพาตัวไป การไล่ล่าราธบันก็ถูกหน่วยอัศวินแห่งจักรวรรดิขัดขวาง ส่วนอีเบลลีน่าก็ตัวติดกับองค์ชายรัชทายาทอย่างกับตังเมจนเขาแตะต้องไม่ได้
คาร์ลร้องโอดครวญ ก่อนจะลองนึกถึงอนาคตที่ตนวาดฝัน อนาคตหลังจากที่เขาพาอีริสกลับไปยังวิหารหลวงเมื่อจัดการเรื่องราวทุกอย่างเสร็จสิ้น
นักบุญหญิงคนใหม่ก็คงจะยิ่งจัดการได้ง่าย เพราะเขาตั้งใจจะแยกตัวนางออกมาและล้างสมองโดยใช้ความล้มเหลวของอีเบลลีน่าเป็นเยี่ยงอย่าง อีริสเองก็ต้องมอบพลังศักดิ์สิทธิ์ให้เขาทุกวันเหมือนกับที่อีเบลลีน่าเคยทำเช่นกัน
คาร์ลนึกถึงอีริสอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เดิมทีรอยถูกสร้างขึ้นเพื่อมอบพลังศักดิ์สิทธิ์ให้แก่เขา ทว่าพลังศักดิ์สิทธิ์กลับเข้าไปหาหญิงสาวที่อยู่ห่างไกลถึงเพียงนี้แทน
‘เพราะเหตุใด’
ในตอนแรก เขาก็คิดแค่เพียงว่ามีนักบุญหญิงคนใหม่ปรากฏตัวขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่าอีเบลลีน่ากับอีริสครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ในช่วงเวลาเดียวกันแม้จะไม่ใช่ระยะเวลานาน
‘หรือพวกนางความเกี่ยวข้องกัน?’
คาร์ลย้อนนึกถึงพ่อและแม่ของอีเบลลีน่า คู่สามีภรรยาที่จับมือเขาพลางภาวนาให้ลูกสาวของตนที่จู่ๆ ก็กลายเป็นนักบุญหญิงมีความสุข เอ่ยขอให้เขาช่วยดูแลซ้ำแล้วซ้ำเล่า สำหรับอีเบลลีน่าพวกเขาเป็นคู่สามีภรรยาที่ถูกจดจำว่าเป็นพ่อแม่ที่ทอดทิ้งนางและเรียกร้องขอแต่เงิน จากนั้นก็หายตัวไปหลังจากสร้างปัญหา
คนอื่นๆ ล้วนแต่ถูกรูปลักษณ์จอมปลอมของเขาหลอก แต่ผ่านไปไม่นาน สัญชาตญาณของพ่อแม่ที่ต้องฝากฝังลูกก็มองเห็นการหลอกลวงของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง สามีภรรยาคู่นั้นจึงขอให้คืนลูกสาวของพวกตนกลับไป แน่นอนว่าเขาไม่มีความคิดที่จะคืนและทำเช่นนั้นไม่ได้ ทั้งคู่จึงร้องขอให้พวกตนได้เข้าไปอยู่ในวิหารหลวงด้วย บางทีเขาคงตัดสินใจที่จะฆ่าพวกเขาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
คาร์ลปลอบพวกเขาด้วยคำพูดสวยหรู บอกว่าจะพยายามและขอให้พวกเขารออีกหน่อย หลังจากกล่าวเช่นนั้น คาร์ลก็กลับไปวิหารหลวงแล้วบอกกับอีเบลลีน่า วันนี้พ่อแม่ของท่านขอเงินอีกแล้ว พวกเขาบอกว่าเงินสำคัญมากกว่าท่าน บอกให้ท่านที่ถูกทอดทิ้งอย่างน่าสงสารใช้ชีวิตให้สบายใจอยู่ในวิหารหลวงในฐานะนักบุญหญิงไปตลอดชีวิต
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็หายตัวไป คาร์ลเดาะลิ้นหลังจากเตรียมอาหารดีๆ ไปให้พวกเขามากมาย ต่อให้กินเหลือ แต่อาหารพวกนี้ก็ไม่ใช่อาหารที่เขาสามารถกินต่อได้ เพราะมันเต็มไปด้วยพิษที่ไม่มีรสชาติ
‘ดูจากที่ไม่พบร่องรอยหลังจากนั้นอีกเลย แสดงว่าคงตายไปที่ไหนสักแห่งแล้วกระมัง’
เขาตั้งใจว่าหากพวกเขาปรากฏตัวขึ้นที่ไหนอีกล่ะก็ ถึงตอนนั้นจะต้องจัดการให้เรียบร้อย แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวใดของพวกเขาอีกเลย
คาร์ลเดาะลิ้นหลังจากคิดถึงเหตุการณ์ในวันวานพลางพิจารณาขาของตนเอง เขากัดฟันทันทีที่เห็นขาที่ดูคล้ายว่าจะโก่งงอมากขึ้น
หลังจากที่พลังศักดิ์สิทธิ์ของอีเบลลีน่าเทมาที่ตนทั้งหมด เขาถึงได้รู้ว่าการเดินได้อย่างเป็นปกติมันรู้สึกอย่างไรเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมา มันเป็นอะไรเย้ายวนและเสพติดยิ่งกว่ายาเสพติดเสียอีก
เขาโกหกว่าเป็นเจตจำนงของอีเบลลีน่า และจงใจยกเลิกตารางงานที่นางต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ให้กับผู้อื่น ด้วยเหตุนี้ พลังศักดิ์สิทธิ์ของอีเบลลีน่าจึงได้หลั่งไหลมาที่เขาเพียงคนเดียวไม่ขาด
‘ต้องรีบหาอีริสให้พบ’
คาร์ลมองพระคัมภีร์ที่วางอยู่บนโต๊ะในกระโจม
ตราบใดที่พระเจ้ายังส่งนักบุญหญิงลงมา เขาก็ยังได้รับสิ่งที่ต้องการ เหมือนกับที่ผ่านมาตลอดจนถึงตอนนี้ ในอนาคต นักบุญหญิงและวิหารหลวงก็จะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์เช่นกัน
ตอนนั้นเอง ด้านนอกพลันมีเสียงฝีเท้าเร่งรีบของใครบางคนเข้ามาใกล้
“ท่านผู้อาวุโส!”
“มีเรื่องอะไร”
เสียงเรียกอย่างรีบเร่ง ทำให้คาร์ลคาดเดาได้ว่ามีข่าวคราวใหม่มาถึงแล้ว
“มีผู้พบเห็นคนทรยศขอรับ”
ได้ยินดังนั้น คาร์ลก็ลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างรวดเร็ว
แม้จะเสียดายที่ไม่ใช่ข่าวของอีริส แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ต้องจับราธบันมาประหารชีวิตให้ได้ก่อน เป็นเพราะหน่วยอัศวินแห่งจักรวรรดิ เขาจึงไม่อาจเคลื่อนไหวได้ตามใจจนต้องล้มเลิกการตามล่า แต่ใครจะไปคิดว่าจะมีคนมาแจ้งข่าวเช่นนี้เล่า
เขาม้วนผ้ากระโจมขึ้น ก่อนจะเดินกะโผลกกะเผลกไปหานักบวชที่มาแจ้งข่าว เมื่อเขาเผยตัวออกมา เหล่านักบวชของวิหารทางภูมิภาคนี้ที่มาเพื่อพบคาร์ลก็รีบค้อมศีรษะ แต่ไม่นานพวกเขาก็เงยหน้าขึ้นมองท่าเดินของคาร์ลอย่างระมัดระวัง คาร์ลอ่านความเห็นอกเห็นใจจากสายตาของพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว
‘อยากจะควักลูกตาออกมาให้หมดเสียจริง’
การจ้องมองจากคนที่ไม่คุ้นเคยกับเขาทำให้คาร์ลหวาดกลัว
‘ถ้าได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์จากนักบุญหญิงต่อไปเรื่อยๆ คงจะหายดีแล้ว’
คาร์ลนึกถึงอีเบลลีน่าพลางกัดฟัน ไม่นานเขาก็เห็นชายที่สวมเสื้อผ้าเขรอะขระผู้หนึ่งยืนอยู่กลางค่าย เมื่อคาร์ลเข้าไปใกล้ อีกฝ่ายก็แสดงสีหน้ามึนงงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มศีรษะลงราวกับตระหนักได้ว่าตนกำลังทำเรื่องเสียมารยาท
“ขะ ขะ ข้ามาพบท่านผู้อาวุโสขอรับ”
“อืม ได้ยินจากนักบวชคนอื่นมาแล้ว เจ้าพบเห็นคนทรยศของวิหารหลวงใช่หรือไม่”
คาร์ลรู้สึกใจร้อนขึ้นมา เขาไม่มีเวลามาเสวนาตอบคำทักทายกับคนเก็บสมุนไพรแล้ว เขาอยากจะจับคอเสื้อแล้วตะเบ็งเสียงสั่งให้พูดว่าพบเห็นที่ไหนเสียเดี๋ยวนี้
“ชะ ใช่ขอรับ ข้าเป็นคนเก็บสมุนไพรที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ต้องข้ามภูเขาสองสามลูกตรงนั้น โถ่ ดูสิ ข้าชื่อพอร์ชขอรับ เป็นชื่อที่ท่านพ่อของข้าตั้งใจไปขอมาจากวิหารใหญ่ เห็นว่าเป็นชื่อที่ตั้งตามชื่อของนักปราชญ์ขอรับ”
“แล้วเจ้าเห็นพวกเขาที่ไหนหรือ”
“อ๋า ขอรับขอรับ ก็ไม่มีอันใดมาก แถวหมู่บ้านที่ข้าอาศัยอยู่มีภูเขาสูงชันมาก และเพราะเป็นผาสูงจึงเป็นสถานที่ที่ผู้คนไม่อาจเข้าไปถึงได้โดยง่าย แต่คิดดูแล้วตรงนั้นมีสมุนไพรหายากมากมายนัก วันนั้นข้าจึงไม่สนใจคำขอของภรรยาที่สั่งไม่ให้ออกไป แล้วออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืดขอรับ พวกสมุนไพรที่สามารถเก็บได้แค่ตอนเช้ามืด…”
“แล้วสรุปว่าเจ้าเห็นพวกเขาที่ไหน!”
คำพูดเยิ่นเย้อของคนเก็บสมุนไพรทำให้คาร์ลระเบิดอารมณ์ออกไปในที่สุด เสียงตะคอกของเขาทำให้เกิดความเงียบสงัดในพริบตา นักบวชทุกคนต่างก็มองเขาด้วยสายตายากจะเชื่อ คาร์ลตัวแข็งอยู่ชั่วครู่ แล้วรีบใส่หน้ากากของตนเอง สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเศร้าโศกและเสียใจอย่างยิ่งทันทีจนยากจะเชื่อว่านี่คือคนที่ตวาดออกมาเมื่อครู่ก่อน
“…ขออภัย พอร์ช ข้าไม่อาจข่มกลั้นความโกรธต่อผู้ที่ทำร้ายพี่น้องของข้าในวิหารหลวงไปได้ชั่วขณะ ท่านเองก็น่าจะรู้สึกโกรธคนที่ต่อต้านพระเจ้าเช่นกันกระมัง ดังนั้นข้าหวังว่าท่านจะอภัยให้ข้าที่เผลอสติหลุดไป”
คาร์ลกล่าวเช่นนั้นพลางโค้งคำนับสุดตัว หลังจากเห็นท่าทางเช่นนั้น คนเก็บสมุนไพรก็พูดเป็นต่อยหอยราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“โธ่เอ๋ย ไม่เป็นไรขอรับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ใช่แล้วใช่แล้ว ท่านคงจะร้อนใจแล้วสิ หากถามว่าสถานที่ที่ข้าพบเห็นพรรคพวกอัศวินคือที่ใดล่ะก็…”
คาร์ลฟังคำพูดไร้สาระของคนเก็บสมุนไพรโดยยังคงรักษาสีหน้าเสียใจอยู่เหมือนเดิมพลางครุ่นคิด ระหว่างทางที่กลับมาจากการตามหากลุ่มของราธบัน เขาจะต้องผลักคนเก็บสมุนไพรผู้นี้ตกผาไปเสีย
***
“คือว่า หญ้าตรงนั้นมีสรรพคุณช่วยห้ามเลือด…”
อีริสพึมพำกับอัศวินที่พิจารณาดูบาดแผลที่แขนของตนเองอย่างระมัดระวัง เขาหันมองเพื่อนที่รู้จักสมุนไพรเป็นอย่างดี สายตาสอบถามว่าคำพูดของอีรีสเป็นเรื่องจริงหรือไม่
“ท่านอีริสพูดถูกต้องแล้ว ส่วนดอกมีพิษ ให้ทิ้งมันไป แต่หากนำใบมาบดขยี้แล้วแปะไว้ มันอาจจะแสบนิดหน่อยแต่ช่วยให้เลือดหยุดไวขึ้น”
พอได้รับคำยืนยันจากเพื่อนอัศวิน เขาก็พยักหน้าให้อีริสราวกับขอบคุณ จากนั้นเด็ดใบมา แล้วใช้มือขยี้ อีริสมองภาพนั้นอย่างสงบนิ่ง
เหล่าอัศวินแห่งวิหารเองก็ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกันนักบวชเช่นกัน แต่พวกเขากลับไม่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์รักษาบาดแผลของตนเองเลย แต่หากพลังศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาฟื้นฟูกลับมาแม้สักหน่อย พวกเขาก็จะถ่ายเทไปให้ราธบันที่นอนอยู่แทน
‘ราธบันอย่างนั้นหรือ…’
ทั้งที่เป็นชื่อที่เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก แต่นางกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด มันเป็นชื่อที่ผู้คนมักจะพูดถึงในบางครั้งที่นางออกไปหมู่บ้านขนาดใหญ่
“หากเป็นท่านราธบันจะต้องจัดการเฮกซ่าได้แน่”
ผู้บัญชาการหน่วยอัศวินแห่งวิหารที่กล่าวกันว่าเอาชนะปีศาจที่แข็งแกร่งได้ในอดีต ชายที่ได้รับพิษและนอนอยู่กลับเป็นคนที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้น
พอนางถามไปว่าทำไมคนผู้นั้นและหน่วยอัศวินแห่งวิหารถึงได้มาจนถึงที่นี่ พวกเขากลับมีสีหน้าสับสนแล้วถามกลับว่า “ท่านไม่รู้จริงหรือ?”
ตอนที่อีริสกำลังกลอกตาไปมา อัศวินที่ดูแลราธบันผู้หนึ่งก็เข้ามาหาอีริสแล้วเอ่ยถาม
“ไม่ทราบว่าท่านสามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์อีกสักครั้งได้หรือไม่?”
พวกเขาปฏิบัติตัวกับอีริสอย่างระมัดระวังยิ่ง
อย่างแรกเลย การที่อีริสช่วยรักษาราธบันทำให้ความระแวดระวังของพวกเขาพังทลาย และในตอนที่อีริสเอ่ยชื่อของตนเองออกมาอย่างไม่รู้ตัว พวกเขาก็พูด “อีริส…?” ออกมาแล้วก้มศีรษะลงอย่างลนลาน
“ต้องเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ชักนำท่านมาช่วยหัวหน้าไม่ผิดแน่ ใครจะคิดว่าจะได้มาพบท่านนักบุญหญิงคนใหม่ในที่แบบนี้”
ได้ยินดังนั้น อีริสก็สะดุ้งโหยงทันที
“ขะ ข้าไม่ใช่นะ! นักบุญหญิงอะไรกัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย!”
“แต่เห็นได้ชัดว่าท่าน…”
แต่แม้จะกล่าวเช่นนั้น พวกเขาก็ยังคงสับสนว่าควรปฏิบัติตนกับอีริสอย่างไร ก่อนอื่นคือจะต้องยอมรับนักบุญหญิงคนใหม่อย่างไร พวกเขาที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศของวิหารหลวงสามารถเข้าใกล้อีริสได้อย่างง่ายดายหรือไม่ …ทั้งหมดนั่นทำให้รู้สึกหนักใจ
ท้ายที่สุด หน่วยอัศวินแห่งวิหารจึงลงความเห็นกันว่าจะทำตามการตัดสินใจของราธบันทั้งหมด และดูเหมือนจะไม่ต้องรอนานกว่าราธบันจะมีคำตัดสินออกมา แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่เป็นเพราะอีริสช่วยรักษา พิษของราธบันจึงเริ่มหายไปหลายส่วนแล้ว
อีริสที่ได้รับคำขอของอัศวินลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพึมพำเสียงเบา
“ข้าจะลองดู แต่ก็อาจจะไม่ได้…ข้าเองก็ไม่ใช่นักบุญหญิงจริงๆ…พลังศักดิ์สิทธิ์มันเดี๋ยวมาเดี๋ยวหาย…”
พอนึกถึงสายตาของหัวหน้าหมู่บ้านที่มองมาที่ตนตอนที่ใช้พลังศักดิ์สิทธ์ไม่ได้ เหงื่อเย็นก็พลันไหลออกมาโดยอัตโนมัติ
ครั้งแรกที่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ คือตอนที่นางเห็นชาวบ้านกำลังถูกเฮกซ่าโจมตีในวันที่ไปขายสมุนไพรในหมู่บ้านขนาดใหญ่ ตอนที่กำลังตกใจเพราะเห็นคนกำลังจะตายและคิดว่าสามารถช่วยอะไรได้หรือไม่ พลังศักดิ์สิทธิ์อันแกร่งกล้าก็ปรากฏขึ้นมาฉับพลัน และเมื่อครู่ก่อนในตอนที่ทำให้ราธบันอาการดีขึ้น นางก็คิดแบบเดียวกัน นางอยากให้คนผู้นี้หายดี
‘ข้าทำได้…’
อีริสเข้าไปใกล้ราธบันอย่างระมัดระวัง วางมือของตนลงบนมือของเขาที่ยังมีพิษหลงเหลืออยู่ แล้วเพ่งสมาธิ
ฮวากกก!
ทันทีที่อีริสหลับตาลง พลังศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มเบ่งบานอย่างรวดเร็ว พลังศักดิ์สิทธิ์ล้อมรอบมือข้างที่บาดเจ็บของราธบันราวกับรู้ว่ามันต้องทำอย่างไร
“อือ…”
อีริสกัดฟันพลางร้องโอดครวญ เหงื่อไหลออกมาดั่งสายฝน สติเริ่มเลือนราง แม้จะดูเหมือนพลังศักดิ์สิทธิ์ช่วยสลายพิษออกไปอย่างรวดเร็วก็จริง แต่ส่วนที่เป็นแผลและพิษโดยรอบยังไม่หายไปโดยง่าย อีริสตั้งสติมากขึ้นเพื่อรักษาพลังศักดิ์สิทธิ์ไว้ ความรู้สึกที่เหมือนพลังชีวิตของนางกำลังเหือดหายไปพลันให้เกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมา
‘นักบุญหญิงต้องทำแบบนี้ทุกวันเลยหรือ?’
ความคิดเช่นนั้นแวบขึ้นมาทันที พร้อมกับคิดว่ามันคงจะเหนื่อยมาก
ระหว่างที่อีริสกำลังคิดเช่นนั้น เปลือกตาของราธบันที่นอนอยู่ก็เริ่มขยับน้อยๆ น้ำเสียงแผ่วเบาดังออกมาจากปากของเขาทันที สมาชิกในหน่วยอัศวินที่เห็นภาพนั้นต่างก็โอบกอดและตบไหล่กัน ในที่สุดหัวหน้าของพวกเขากลับมาจากประตูไปสู่ความตายแล้ว
อีริสฟังเสียงโห่ร้องของเหล่าอัศวินพลางจ้องมองราธบัน เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น นัยน์ตาที่ยังหาจุดรวมไม่เจอมองมาที่นางแล้วเอ่ยพึมพำ
“ลีน่า…”
ราธบันคลี่ยิ้มอ่อนโยนขณะที่มองมา อีริสมองภาพนั้นอย่างเหม่อลอย และเกิดความรู้สึกเหมือนเคยเห็นสีหน้าเช่นนี้มาก่อน
‘เมื่อไรกัน เหมือนจะเป็น…!’
แอสรันก็เอ่ยชื่อลีน่าและคลี่ยิ้มแบบนี้ในตอนที่เสกอาหารให้นางเช่นกัน มันทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน เป็นรอยยิ้มที่ชวนให้ปลายนิ้วรู้สึกคันยุบยิบอย่างไม่มีสาเหตุ
ไม่นานนัยน์ตาของราธบันก็เริ่มกระจ่างชัดขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ทันใดนั้นรอยยิ้มก็หายไปจากใบหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว เขาตีมือของอีริสด้วยความตกใจแล้วเอ่ยถาม
“…ท่านคือ?”
ขณะที่อีริสกำลังจะตอบ ลมก็กระโชกแรงขึ้นมาฉับพลัน ชั่วขณะที่ทุกคนเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ บนฟ้าพลันมีเสียงที่เต็มไปด้วยความดุร้ายที่ราวกับจะกดข่มทุกคนดังขึ้น
“อะไรกัน…เจ้าหมาขนดำ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”
เป็นแอสรันนั่นเอง
“ยิ่งไปกว่านั้น เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่คนเดียว”
ดวงตาสีแดงมองหาตัวเมียของตนและวาววับไปด้วยความโกรธ