หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 17 ชายารัชทายาท (6)
ภายในถ้ำ แอสรันค่อยๆ ลืมตาขึ้น การควานหาความทรงจำที่ยังหลงเหลืออยู่ในจิตสำนึกเหมือนมนุษย์ไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับเขา เขายกมือขึ้นแล้วพึมพำบางอย่างด้วยภาษาที่ไม่มีในโลกฝั่งนี้
ทันใดนั้น พลังเวทสีแดงพลันวนรอบตัว ก่อนจะเปลี่ยนรูปร่างเป็นตัวอักษร หลังจากนั้นไม่นานมันก็เริ่มหมุนวนอย่างรวดเร็ว เขาจ้องสิ่งนั้นอยู่ระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้น
“ดูเหมือนจะฟื้นฟูสำเร็จแล้ว…”
อันที่จริง มันควรจะเรียกว่าการซ่อมแซมไม่ใช่การฟื้นฟูถึงจะถูก พลังของเขาเป็นเช่นนั้น เพื่อที่จะรักษารูปร่างของมนุษย์เอาไว้ เขาจำเป็นต้องกดพลังที่จะทะลวงผนึกและไหลออกมาอยู่บ่อยครั้ง
แอสรันผนึกร่างเดิมเอาไว้เพราะต้องประหยัดพลังที่จะช่วยให้กลับไปยังโลกเดิม หากตอนนี้เขาใช้พลังออกไปตามอำเภอใจ ก็อาจจะเกิดปัญหาในการคงสภาพผนึกได้
‘ข้าต้องสกัดกั้นมันไว้’
หลังจากถูกขังไว้ในโลกใบนี้ เป้าหมายของเขาก็มีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือการกลับไปยังที่ที่เขาเคยอยู่
สำหรับปีศาจ สถานที่ที่ตนถือกำเนิดขึ้นมีความหมายลึกซึ้งยิ่งเสียกว่าบ้านเกิดสำหรับเหล่ามนุษย์ ทุกสิ่งทุกอย่างของแอสรันอยู่ในที่ที่เขาเกิด ไม่ใช่ว่ามีครอบครัวหรือมิตรสหายเหมือนอย่างมนุษย์ แต่สถานที่เกิดคือแหล่งพลังของเขา เขาเกิดมาแข็งแกร่งตั้งแต่เริ่ม กระทั่งเมื่ออยู่ในสถานที่ที่ไม่ใช่โลกของเขาก็ยังแข็งแกร่งได้ถึงระดับนี้
‘เฮกซ่าเองก็รู้เรื่องนี้ ถึงได้สร้างเรื่องถึงเพียงนั้น’
สำหรับเฮกซ่าแล้ว แอสรันในโลกฝั่งนี้ก็เปรียบเสมือนสมบัติไร้เจ้าของที่ร่วงลงมาตรงหน้า ในโลกเดิมนี่คือพลังอันแกร่งกล้าที่กระทั่งการเข้าไปใกล้ยังเป็นสิ่งที่ไม่กล้าฝัน มันถึงได้ตื่นเต้นถึงเพียงนั้นเพราะหากมันจัดการได้สำเร็จก็อาจจะได้พลังไปครอบครอง
ขณะที่คิดว่าควรจะฆ่าไอ้เจ้าอวดดีนั่น แอสรันพลันนิ่วหน้า
“ทำไมสิ่งนี้ถึง…”
เขาสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนของพลังจากอีกฝั่งหนึ่งของพื้นที่ แอสรันวาดวงกลมกลางอากาศ เส้นทางที่เชื่อมกับอีกโลกหนึ่งพลันปรากฏขึ้น เผยให้เห็นของบางอย่างที่กำลังลอยอยู่อีกฟากหนึ่งทันที
“…กำลังมีการตอบสนอง?”
สิ่งที่ปรากฏขึ้นอีกฟากหนึ่งของพื้นที่คือกระดานชนวนที่มีสัญญาที่เขาเคยทำไว้กับนักบุญหญิงเขียนอยู่ สิ่งที่เขาเรียกร้องถูกเขียนลงไปแล้ว แต่สิ่งที่นางเรียกร้องยังคงว่างเปล่า มันกำลังสั่นสะเทือนอย่างเบาบาง ด้วยเพราะมันครอบครองพลังอันยิ่งใหญ่ ดังนั้นเพียงแค่การสั่นน้อยๆ ก็ทำให้พื้นที่ว่างโดยรอบบิดเบี้ยว แอสรันเดาะลิ้นหนึ่งที จากนั้นใช้มือคว้ากระดานชนวน
เสียงชี่ดังขึ้นพร้อมกับลมพัดแรงไปทั่วบริเวณ ผ่านไปสักพัก กระดานชนวนถึงหยุดสั่นอยู่ในมือของเขา
แอสรันจ้องมันเงียบๆ เขารับรู้ได้ตั้งแต่จับมัน กระดานชนวนมีการตอบสนองกับคู่สัญญาทั้งสอง แอสรันเขียนสิ่งที่เขาต้องการลงไปแล้ว และไม่ต้องการอะไรอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นการที่กระดานชนวนแผ่นนี้เกิดการตอบสนองในตอนนี้ นั่นหมายความว่านักบุญหญิงต้องการเติมเต็มส่วนที่ตนปล่อยว่างไว้
อย่างไรตอนนี้ร่างกายฟื้นฟูกลับมาแล้ว ดังนั้นเขาควรจะรีบกลับไปหาลีน่าให้เร็วที่สุด หลังจากส่งกระดานชนวนกลับไปอีกฟากหนึ่งของพื้นที่อีกครั้ง แอสรันก็หันหน้ากลับ
“เฮ้ยเจ้ามนุษย์ ตอนนี้…”
ใบหน้าของแอสรันที่หันหลังกลับมาพลันบิดเบี้ยว เขาไม่เห็นเงาของอีริสภายในถ้ำเลย
นางเมินคำพูดแล้วเขาแล้วหนีไปแล้วหรือ? ก่อนที่จะระเบิดอารมณ์ แอสรันก็ตามหาร่องรอยของอีริสภายในถ้ำ
“…”
ภายในถ้ำถูกจัดการอย่างเรียบร้อยเหมาะแก่การอยู่อาศัย ไม่รู้ว่าระหว่างนั้นผ่านไปกี่วันแล้ว แต่เมื่อดูจากการย้ายหินมาวาง หรือหญ้าที่ถูกจัดการต่างๆ ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผ่านไปแค่วันสองวัน แอสรันหันหน้ามองดูของที่ถูกวางอยู่ข้างที่นอนของเขา บนใบไม้มีผลไม้ป่าที่สุกแล้ววางอยู่
“นี่อะไรอีกล่ะ”
เขาเคยได้รับของเช่นนี้บ้างในตอนที่มนุษย์ของชนเผ่าเรียกเขาว่าพระเจ้าเมื่อหลายพันปีก่อน แอสรันสำรวจดูรอบข้างมากขึ้น ดูจากร่องรอยของผลไม้ป่าที่หลงเหลืออยู่ แสดงว่าอีริสยังออกไปจากที่นี่ไม่นานนัก
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อดูจากลักษณะการจัดการรอบข้างแล้ว ดูเหมือนนางตั้งใจจะกลับมา หลังจากคิดว่ารอต่อไปอีกหน่อยดีหรือไม่ แอสรันก็พบว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ก่อนจะก้าวออกจากถ้ำ
ขณะที่กำลังคิดว่าจะใช้เวทมนตร์ตามหาดีหรือไม่ เขาก็สัมผัสได้ถึงร่องรอยของมนุษย์ในจุดที่ไม่ห่างจากถ้ำมากนัก
แต่ไม่นานใบหน้าของแอสรันก็ต้องเคร่งขรึม ที่เขาสัมผัสได้ไม่ใช่แค่คนเดียว
‘น่ารำคาญเสียจริง’
แอสรันคิดเช่นนั้นขณะจดจ่อกับการใช้เวทมนตร์ ไม่มีเหตุผลให้ต้องเรียกเฮกซ่าออกมา ดังนั้นเขาจึงต้องขยับมือเพียงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เจ้านั่นสังเกตเห็นพลังเวทได้ง่ายๆ ไม่นานแอสรันก็กระโดดข้ามห้วงพื้นที่ไป
และในตอนนี้ เขาก็กำลังมองชายที่นอนไร้เรี่ยวแรงด้วยสายตายากจะเชื่อ
หากเป็นมนุษย์คนอื่น ไม่ว่าใครหน้าไหนเขาก็ไม่สนใจทั้งสิ้น แต่ทำไมไอ้ลูกหมาขนดำที่ควรจะปกป้องนักบุญหญิงอยู่ที่วิหารหลวงกลับมาอยู่ที่นี่ได้ แถมยังอยู่ในสภาพแบบนั้น!
ต่อให้ไม่ถามออกไป เขาก็รับรู้ได้ว่าจะต้องเกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้นแน่ แต่เขาคงจะเอ่ยชมไปแล้วหากนักบุญหญิงยังอยู่ด้านข้าง และมันปกป้องนางไว้ได้ ดูเหมือนไอ้สารเลวนี่จะทำเจ้านายหายไปเสียแล้ว
ความโกรธเกรี้ยวอัดแน่นในตัวแอสรันอย่างรวดเร็ว
เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับลีน่า
เมื่อตระหนักได้ถึงสิ่งนั้น สติของเขาก็ขาดง่ายเสียยิ่งกว่าใยแมงมุม แอสรันคว้าคอเสื้อของราธบันและยกขึ้นทันที
“หัวหน้า!”
“ขวางไว้!”
เหล่าอัศวินที่อยู่ด้านข้างรีบชักดาบออกมาแต่ก็ได้แค่นั้น พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ราวกับโซ่ตรวนกำลังบีบรัดร่างกายของพวกเขาขึ้นมาทันที
“พวกเจ้าหุบปาก”
คำพูดอันเยือกเย็นของแอสรันทำให้พวกเขาเหงื่อแตก ตอนแรกพวกเขายังแค่สงสัยว่าแอสรันเป็นหนึ่งในจอมเวทหรือไม่ แต่ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาสัมผัสได้คือความน่าเกรงขามอันแข็งแกร่งยิ่งกว่าปีศาจตัวไหนที่พวกเคยเผชิญมา
นี่ไม่ใช่พลังที่เหล่าจอมเวทผู้ใช้เวทมนตร์จากการยืมพลังมาจากปีศาจควรมี เห็นได้ชัดว่าเขาคือปีศาจซึ่งเป็นแหล่งของพลังเวท อีกทั้งยังแข็งแกร่งจนถึงกับทำให้พวกตนที่เป็นหน่วยอัศวินแห่งวิหารพ่ายแพ้ได้เพียงแค่ใช้สายตา
อีริสทำไม่ได้กระทั่งหายใจและยืนตัวสั่นเทาอยู่ระหว่างแอสรันกับเหล่าอัศวิน มันเป็นพลังงานที่แข็งแกร่งเกินกว่าที่นางจะต้านทานได้
ความหวาดผวาว่าแอสรันจะฆ่าอัศวินทั้งหมดทิ้งเลยหรือไม่ ทำให้อีริสไม่กล้าขยับนิ้วแม้นิ้วเดียว ในตอนที่รอบข้างกำลังเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง แอสรันก็เปิดปากพูด
“…ลีน่าอยู่ที่ใด เกิดอะไรขึ้น?”
หากเป็นปกติราธบันไม่มีทางถูกยกขึ้นง่ายๆ เช่นนี้ แต่ราธบันกลับปล่อยให้มือของแอสรันจับคอเสื้อของตนโดยไม่ขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้น นั่นยิ่งทำให้แอสรันรู้สึกไม่พอใจ เพราะท่าทางของราธบันเป็นท่าทางที่ราวกับยอมรับความผิดของตนเอง
“จู่ๆ พลังศักดิ์สิทธิ์ของท่านนักบุญหญิงก็หายไปทั้งหมด และข่าวคราวว่านักบุญหญิงคนใหม่ปรากฏตัวขึ้นก็มาถึง คาร์ลจึงใช้คนจำนวนมากพยายามทำร้ายท่านนักบุญหญิงในวิหารหลวง ดังนั้นข้าจึงพานางออกมาจากวิหารหลวง และตอนนี้ท่านนักบุญหญิงก็…อยู่กับองค์ชายรัชทายาทเลออนแล้ว”
ได้ยินดังนั้น แอสรันก็ปล่อยมือที่จับราธบันอยู่ราวกับไม่จำเป็นต้องฟังต่อแล้ว
“ยังดี อย่างน้อยก็มีหนึ่งในลูกหมาที่ปกป้องเจ้านายได้”
ราธบันกัดริมฝีปากและพูดอะไรไม่ออก เพราะแอสรันพูดถูกแล้ว แอสรันยกมือข้างหนึ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า พลังเวทที่แข็งแกร่งกว่าครั้งไหนๆ เริ่มมารวมตัวกันรอบมือของเขา
“ตอนนี้ข้าไม่เหมาะกับการละเล่นของพวกมนุษย์อีกต่อไปแล้ว ข้าอดทนมามากพอแล้ว”
มันสมควรเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก กฎเกณฑ์ของเหล่ามนุษย์ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องรู้เลย เขาไม่มีเวลาพอที่จะสมสู่และรักใคร่กับตัวเมียที่ได้รับมาจากการทำสัญญาด้วยซ้ำ
เสียงร้องของเฮกซ่าพลันดังขึ้นมาจากไกลๆ เพราะพลังเวทขนาดใหญ่ที่ราวกับจะระเบิดออก
***
“อา…”
ความวิงเวียนแล่นเข้ามาทันทีที่ลืมตาขึ้น พอฉันกะพริบตาอย่างเชื่องช้าก็เห็นเลออนกำลังจ้องมาด้วยใบหน้าเป็นกังวล
“เลออน? ข้าเป็นอะไร…”
“จำไม่ได้หรือ? ท่านสลบไประหว่างที่ข้าออกไปด้านนอกชั่วครู่”
สลบไปอย่างนั้นเหรอ?
ได้ยินดังนั้น ฉันก็ย้อนนึกถึงความทรงจำล่าสุด สิ่งที่เห็นเป็นครั้งสุดท้ายคือภาพของเลออนที่ออกไปข้างนอกและบอกว่าจะรีบกลับมา รวมถึงยังจำได้ว่าเขาพูดว่า พูดแบบนี้จะได้แผลเอานะ ด้วยสีหน้าหยอกเย้าเมื่อฉันบอกว่าไม่ต้องรีบกลับมาก็ได้
“ท่านหมอบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก…”
ทั้งที่บอกเช่นนั้น แต่เลออนก็ยังกล่าวต่อด้วยสีหน้าที่ไม่อาจลบความกังวลออกไปได้
“ข้าเป็นกังวลเพราะท่านล้มลงไปข้างโต๊ะหนังสือ หากท่านเกิดหัวกระแทกตอนล้มขึ้นมาจะทำอย่างไร ท่านปวดหัวมากหรือไม่? รู้สึกอยากอ้วกไหม? ถ้ามีตรงไหนที่รู้สึกไม่ดีให้รีบบอกข้าทันทีนะ”
ฉันลองขยับตัวเมื่อได้ยินดังนั้น
“ข้าไม่รู้สึกแปลกไปตรงไหนนะ”
“งั้นก็ดีแล้ว อย่างไรช่วงนี้ก็มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย เขาบอกว่าท่านอาจจะสลบไปเพราะความเหนื่อยได้”
ได้ยินดังนั้น ฉันก็ทอดสายตามองเลออนนิ่งๆ เพราะส่วนมากก็เป็นเขาที่ทำให้เหน็ดเหนื่อย หลังจากตระหนักได้ถึงสิ่งที่สายตาของฉันสื่อ เลออนก็เกาแก้มด้วยสีหน้าเคอะเขิน บรรยากาศแปลกประหลาดดำเนินผ่านไปอยู่ชั่วครู่ เลออนก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง
“งั้นข้าขอสัญญาก่อน จนกว่าจะกลับถึงพระราชวัง ข้าจะไม่แตะต้องท่าน”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาที่กล่าวออกมาอย่างหนักแน่นราวกับตัดสินใจเรื่องอันแสนยิ่งใหญ่ จู่ๆ ฉันก็ตระหนักได้ถึงบางอย่างที่สำคัญ
“เดี๋ยวก่อน ถึงพระราชวัง…?”
เลออนคลี่ยิ้มเมื่อได้ยินการชี้แนะของฉัน รอยยิ้มที่ดูนุ่มนวล แต่ก็เด็ดขาด
“ไม่ใช่เรื่องสมควรหรอกหรือ ข้ารักษาสัญญาทุกอย่างตามที่บอกกับท่าน ครึ่งหนึ่งของหน่วยอัศวินที่สามจะอยู่ที่นี่และคอยขัดขวางหน่วยอัศวินแห่งวิหารต่อไป ดังนั้นตอนนี้ท่าน…”
เลออนเข้ามากใกล้ จับเส้นผมของฉันและจุมพิตลงไป
“ได้โปรดเป็นชายารัชทายาทที่สมบูรณ์แบบให้ข้า ทุกคนในจักรวรรดิจะต้อนรับท่านด้วยความยินดี ไม่ใช่แค่ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องของวิหารหลวงกับท่าน แต่พวกเขาจะยังก้มหัวให้ท่านด้วยความจริงใจ”
“แต่ว่า…”
“ออกเดินทางพรุ่งนี้ ลีน่า เพราะงั้นท่านนอนหลับให้สบายนะ แม้จะเดินทางด้วยรถม้าแต่เส้นทางก็ยังขรุขระมากนัก”
ได้ยินคำพูดของเลออนฉันก็เข้าใจแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะพาฉันกลับไปยังจักรวรรดิให้ได้
ตอนนั้นเอง จู่ๆ ด้านนอกกระโจมพลันมีเสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้น เสียงลมกระโชกแรงมาพร้อมกับเสียงตะโกนก้องและกรีดร้อง ไม่จำเป็นต้องถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพราะพลังงานที่ราวกับจะกดดันร่างกายนี้เป็นสิ่งที่ฉันรู้จักเป็นอย่างดี และเป็นสิ่งที่เลออนก็รู้จักเช่นกัน
“แอสรัน?”
“แอสรัน?”
พวกเราเรียกชื่อเขาขึ้นมาพร้อมกัน
ตอนนั้นเอง จู่ๆ ฉันก็เปิดปากออกโดยไม่ตั้งใจและเอ่ยคำพูดที่ไม่คาดคิดออกมา
“ดีเลย ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะไปหาอย่างไร แต่เจ้ามารับข้าด้วยตัวเองพอดี”
คำพูดที่เปล่งออกมาอย่างกะทันหันทำให้ฉันปิดปากด้วยความตกใจ นี่ไม่ใช่คำที่ฉันพูดออกมา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคำที่อีเบลลีน่าพูด