หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 19 กลับวิหารหลวง (1)
ขณะที่คำพูดของอีเบลลีน่าจบลง กระดานชนวนที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศก็เริ่มเปล่งประกายเจิดจ้า ส่วนที่เว้นว่างของนางมีตัวอักษรซึ่งไม่ใช่ของโลกใบนี้และไม่รู้ความหมายถูกสลักขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่ามันจะต้องมีความหมายเหมือนคำพูดที่นางกล่าวเมื่อครู่ก่อน ชั่วขณะที่ตัวอักษรเสร็จสมบูรณ์ แอสรันก็ลุกขึ้น ดึงนางเข้ามากอดด้วยแขนอันสั่นเทา
ในที่สุดสิ่งที่เขาต้องการก็สำเร็จแล้ว มือใหญ่ลูบคลำท้องน้อยของนางอย่างระวัง ลูกของปีศาจต่างจากลูกของมนุษย์ แม้มันจะอ่อนแอในตอนเริ่มปฏิสนธิ แต่มันมีความตั้งมั่นของเขา และจะตามหาเป้าหมายที่จะสื่อสารกับมันก่อนสิ่งใด ขณะที่ตอบรับเสียงเรียกนั้น แอสรันพลันรู้สึกว่าตนเองผิดปกติ
มันเป็นลูกที่เขาปรารถนาถึงเพียงนั้น แต่เหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกยินดีอย่างแท้จริงกลับอยู่ที่อื่น นี่ไม่ใช่แค่ลูกธรรมดา เป็นลูกที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับลีน่า ความจริงข้อนั้นทำให้แอสรันรู้สึกยินดี บัดนี้ แอสรันได้ถ่ายทอดความประสงค์ของเขาแก่สิ่งที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้น
[ร่างของแม่ที่ห่อหุ้มเจ้าอยู่อ่อนแอ เพราะงั้นหยุดการเติบโตแล้วรอไปก่อน]
บางทีอาจเพราะตระหนักได้ว่าเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่จนตนไม่อาจต่อต้านได้ ลูกที่กำลังจะขยายขนาดตั้งแต่วินาทีที่ฝังรากลงบนสายรกจึงหยุดการเคลื่อนไหว
[รอไปก่อน เจ้าจะได้เกิดออกมาแน่]
เมื่อแอสรันถ่ายทอดความประสงค์ออกไปอีกครั้ง เสียงร้องอันอ่อนแอและบอบบางพลันดังขึ้นในหัวของเขา มันหมายความว่าจะทำตามและรอคอยตามประสงค์ของเขา
แอสรันดึงลีน่าเข้ามากอด เมื่อก่อนนางก็สำคัญสำหรับเขาแล้ว แต่น่าแปลกที่นางยังสำคัญได้มากกว่าเดิม แอสรันหันศีรษะกลับไปมองกระดานชนวน กระดานชนวนที่เปล่งแสงและลอยอยู่ข้างพวกเขากำลังเจิดจ้าราวกับร้องขอให้รีบดำเนินการ
‘นางขอให้ทำลายวิหารทุกแห่งบนแผ่นดิน’
เป็นเรื่องที่ไม่ยากเลย คำขอเช่นนี้ ต่อให้ไม่มีกระดานชนวน ขอเพียงเอ่ยกระซิบกับเขาอย่างอ่อนหวาน เขาก็ทำตามอย่างไม่ขัดข้องแล้ว เพราะเขาเองก็เกลียดชังวิหารเช่นกัน
แอสรันบินขึ้นไปทั้งที่ยังกอดนางอยู่ ทันทีที่ลอยขึ้นไปกลางอากาศ พลังงานของร่างเดิมที่เขากดไว้ตลอดเวลาพลันแพร่กระจายออกมา แม้บนอากาศจะมีเพียงแค่เขาและนางเท่านั้น แต่ท้องทะเลเบื้องล่างกลับสะท้อนภาพของสัตว์เดรัจฉานที่คล้ายกับสิงโตขนาดใหญ่ที่มีขนสีแดงออกมา
ทุกคนที่อาศัยอยู่ในเกาะจอมเวทคุกเข่าให้กับพลังของแอสรันแล้วกล่าวสรรเสริญ เป็นการเคารพที่เหมาะสมซึ่งบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกใบนี้ควรได้รับ
ร่างขนาดใหญ่ที่สะท้อนอยู่เหนือผิวน้ำหันศีรษะกลับ ปลายสุดของทิศทางนั้นมีแผ่นดินตั้งอยู่ จากนี้ไปนั่นจะเป็นสถานที่ที่เขาจะต้องทำลายก็ว่าได้
อีเบลลีน่าคลี่ยิ้มอยู่ในอ้อมอกของปีศาจที่กอดนางและมุ่งหน้าไปทางแผ่นดิน ภายในจิตสำนึกของนางมีเสียงตะโกนของใครบางคนดังขึ้น
‘อีเบลลีน่า!’
เจ้าของเสียงเรียกนั้นคือดวงวิญญาณที่นางเรียกมาจากโลกใบอื่น แม้จะร้องเรียกอย่างวิตกกังวล แต่อีเบลลีน่าก็แค่หันศีรษะไปโดยไม่ตอบคำใด
นานมาแล้ว อีเบลลีน่าเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือที่นางก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่าได้รับมาอย่างไร บางทีอาจเป็นตอนที่นางทนความโกรธแค้นไม่ไหวจนผลักตู้หนังสือในห้องหนังสือของวิหารหลวง มันคงเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ร่วงลงมาจากบนนั้น แม้จะไม่รู้ว่าทำไม แต่นางก็หยิบมันกลับที่พักไป จากนั้นก็โยนมันลงบนตู้ข้างเตียงแล้วหลงลืมการมีอยู่ของมัน
นางกรีดข้อมือ เป็นการฆ่าตัวตายที่จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งที่เท่าไร เลือดไหลออกมาจนรู้สึกได้ อีเบลลีน่าหยิบหนังสือที่กระจัดกระจายอยู่บนตู้ข้างเตียงขึ้นมา อย่างไรวันนี้ก็คงเหมือนเดิม เรี่ยวแรงทั้งหมดค่อยๆ เหือดหาย ก้าวเข้าสู่พรมแดนระหว่างความเป็นและความตาย แต่เพราะนางเป็นนักบุญหญิง นางจึงไม่สามารถปล่อยตัวไปตามเส้นทางแห่งสันติภาพที่เรียกว่าความตายได้ และถูกไล่กลับเข้าสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง
อีเบลลีน่าอ่านหนังสือขณะกำลังจะตาย
เนื้อหาในหนังสือไร้สาระยิ่งนัก เป็นเรื่องเล่าของหญิงสาวที่อ่อนแอมาตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากเข้าโรงพยาบาลก็ใช้ชีวิตได้ไม่นานและตายไป
อีเบลลีน่าอ่านหนังสือโดยไม่ได้มีอารมณ์ร่วมแม้แต่น้อย ชีวิตมันมีอะไรนักหนาถึงได้ดิ้นรนที่จะอยู่ต่อถึงเพียงนั้น
เป็นเรื่องเล่าที่ไม่มีอะไรเลยจนทำให้นางนึกสงสัยว่าทำไมหนังสือเช่นนี้ถึงเข้ามาอยู่ในห้องเก็บหนังสือของวิหารหลวงได้ ตอนที่ตากำลังเริ่มปิดลงอย่างเชื่องช้า อีเบลลีน่าก็อ่านจนถึงตอนจบของหนังสือ ดวงตาที่ไล่อ่านประโยคอย่างไม่ใส่ใจเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นส่วนสุดท้ายของหนังสือ
“…!”
หญิงสาวในหนังสือก็อ่านหนังสือก่อนตายเช่นกัน และอีเบลลีน่าตระหนักได้ว่าสิ่งที่หญิงสาวในหนังสืออ่านเป็นเรื่องเล่าของตนเอง
“นี่มัน… คืออะไร…”
นางพยายามจะลุกขึ้นด้วยความประหลาดใจ แต่เรี่ยวแรงเริ่มเหือดหายพร้อมกับที่สายตาเริ่มพร่ามัว อีเบลลีน่าต้อนรับความตายอันคุ้นเคยอีกครั้ง
ตอนที่ลืมตาก็อยู่ในความมืดที่เห็นมาไม่รู้กี่ครั้ง เมื่อหันศีรษะไปก็พบกับดวงวิญญาณที่หลับตาลอยผ่านไปราวกับกำลังนอนหลับ สถานที่ที่พวกเขามาถึงเป็นครั้งสุดท้ายก็คือความตาย อีเบลลีน่าเคยร่วมเส้นทางนั้นอยู่หลายครั้ง แต่ก็ต้องกลับไปมีชีวิตอีกรอบโดยไม่อาจปะปนไปได้เสียทุกครั้ง
วันนี้ก็เช่นกัน
อีเบลลีน่าลองคิดถึงสิ่งที่นางต้องทำหลังจากฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแค่นั้นก็ทำให้ความเหนื่อยล้าในส่วนลึกที่ทำให้อยากทรุดตัวลงพลันถาโถม นางต้องอดทนอีกนานแค่ไหนถึงจะได้รับสิ่งที่ตนต้องการ
สิ่งที่ทำให้อีเบลลีน่าหวาดกลัวมากที่สุดคือการที่สุดท้ายนางก็ไม่อาจทนได้ เสียสติไปสักวันหนึ่ง และเชื่อว่าเรื่องทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น
กลับไปยังช่วงเวลาที่ไม่รู้สิ่งใด ปล่อยคาร์ลไว้ข้างกาย และทำหน้าที่ของนักบุญหญิงอย่างจริงใจ
ความมั่นใจค่อยๆ หดหายมากขึ้นทุกที บางครั้งช่วงเวลาที่หมดสติก็ยาวนานขึ้น
‘แค่นิดเดียวก็ยังดี’
หากนางสามารถนอนหลับลึกโดยไม่ต้องคิดสิ่งใด หากนางสามารถหลบหนีจากชีวิตอันเลวร้ายได้แม้เพียงชั่วขณะหนึ่ง นั่นน่าจะทำให้ความรู้สึกอยากแก้แค้นรุนแรงขึ้นได้
อีเบลลีน่าคิดเช่นนั้นพลางเบนสายตาไปทางแม่น้ำที่เหล่าดวงวิญญาณลอยผ่าน
ท่ามกลางวิญญาณมากมายนับไม่ถ้วน มีหญิงสาวคนหนึ่งพลันเข้ามาในสายตา ไม่มีสิ่งใดสะดุดตาเป็นพิเศษ หญิงสาวที่ตายแล้วซึ่งไม่มีเอกลักษณ์ใดเป็นพิเศษนอกจากร่างกายที่ผอมแห้งเป็นอย่างมาก
“เจ้า…!”
นางรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ เป็นหญิงสาวผู้นั้น หญิงสาวที่นางอ่านก่อนตาย หญิงสาวที่หวาดกลัวความตายและดิ้นรนจะมีชีวิตอยู่จนถึงสุดท้ายผู้นั้น!
อีเบลลีน่าวิ่งไปคว้าหญิงสาวผู้นั้นอย่างเสียสติ นางนึกว่าอีกฝ่ายจะเหวี่ยงนางออกไปเหมือนวิญญาณตนอื่นๆ แต่วิญญาณตนนั้นกลับออกจากกระแสน้ำตามมือของนางมา อีเบลลีน่ามีลางสังหรณ์ขึ้นมาฉับพลัน แม้จะเป็นตัวตนอื่นแต่ก็ไม่ปฏิเสธ ราวกับว่าเป็นวิญญาณดวงเดียวกันมาแต่แรก
“…เจ้าอยากมีชีวิตต่อใช่หรือไม่”
ต่างจากตนที่เหนื่อยล้าและไร้ซึ่งความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป หญิงสาวผู้นี้พยายามจะมีชีวิตต่อ ถ้าอย่างนั้น…
อีเบลลีน่าดึงหญิงสาวผู้นั้นเข้ามากอด
“…มาใช้ชีวิตแทนข้าดูเถิด”
อีเบลลีน่าที่ย้อนนึกถึงเรื่องราวในอดีต ได้สติกลับมาเมื่อแผ่นดินเริ่มปรากฏให้เห็น
ปีศาจตัวนี้บินข้ามเส้นทางที่ต้องนั่งเรือกว่าหนึ่งเดือนมาได้ในชั่วพริบตา ร่างจริงของแอสรันที่กระเพื่อมอยู่เหนือผิวน้ำเริ่มล้อมไปด้วยพลังเวทสีแดง วิหารที่อยู่บนผาของปลายสุดในแผ่นดินเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คนที่ตกใจกับพลังเวทมหาศาลที่เข้ามาใกล้จากทะเลอย่างกะทันหัน
เหนือวิหารแห่งนั้นเกิดลูกไฟขนาดใหญ่ขึ้น ขณะที่ทุกคนร้องโหยหวนพลางหนีออกมาจากวิหาร ลูกไฟเหล่านั้นก็พุ่งเข้าใส่วิหารอย่างไม่ลังเล
ตึกอาคารถล่ม กระทั่งเสาหินที่คงอยู่มาชั่วนิรันดร์ก็เริ่มถูกเผาไหม้ด้วยเปลวเพลิง แต่คล้ายว่าเพียงเท่านั้นยังไม่ทำให้พอใจ พลังเวทของแอสรันตามหาแหล่งกำเนิดของพลังศักดิ์สิทธิ์อันเลือนรางและขุดคุ้ยมันออกมา แรงกระเพื่อมของพลังศักดิ์สิทธิ์อันแผ่วเบาถูกพลังเวทที่ราวกับพายุบดขยี้จนสลายหายไป
อีเบลลีน่ามองภาพนั้นพลางหัวเราะ กระดานชนวนยังคงเปล่งแสงอยู่ข้างพวกเขาสองคน
‘นี่ยังไม่จบ’
สิ่งที่นางต้องการจากแอสรันไม่ใช่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว อีเบลลีน่านึกถึงสิ่งที่นางต้องการจากใจจริง บนใบหน้าของนางมีรอยยิ้มที่สดใสกว่าที่เคยพาดผ่าน อีเบลลีน่ากระซิบกับลีน่าที่ตะโกนอยู่ภายในตัวอย่างจริงใจ
ขอบคุณนะ ลีน่า
ความปรารถนาของข้าสำเร็จได้ก็เพราะเจ้า
***
“ท่านนักบุญหญิงยังเหมือนเดิมอย่างนั้นหรือ?”
คาร์ลระงับความหงุดหงิดอย่างสุดชีวิตพลางเอ่ยถามนักบวชที่อยู่หน้าที่พักของนักบุญหญิง ได้ยินคำถามของเขา นักบวชก็ก้มศีรษะลงอย่างกระอักกระอ่วน
“…ใช่ค่ะ เหมือนจะยังไม่คุ้นเคยกับวิหารหลวงค่ะ”
“นี่จะ…”
คาร์ลที่เกือบจะตะโกนถามออกไปว่าจะจมปลักอยู่กับการร้องไห้แบบนั้นไปถึงเมื่อไร ต้องระงับโทสะอย่างสุดชีวิตพลางกล่าวกับนักบวช
“…เข้าใจแล้ว หากท่านเรียกหาเมื่อไรให้บอกข้าทันที”
“แน่นอนค่ะ”
คาร์ลกลับออกมาจากที่พักของนักบุญหญิง เขาเดินกระโผลกกระเผลกบนทางเดิน หลังจากตรวจสอบแล้วว่าไม่มีสายตาใครมองอยู่ ก็พลันนิ่วหน้า
“ให้ตายเถอะ…”
อีริส นักบุญหญิงคนใหม่ที่เขาบังคับมา ระหว่างที่ราธบันต่อสู้อยู่กับเฮกซ่า คาร์ลและหน่วยอัศวินแห่งวิหารที่ติดตามเขาก็พาอีริสออกมาจากหมู่บ้าน แม้ระหว่างนั้นจะมีอัศวินที่กล่าวว่าไม่อาจติดตามเขาได้ต่อไปและกลับไปหาราธบัน แต่บัดนี้พวกเขาเหล่านั้นไม่สำคัญสำหรับคาร์ลอีกแล้ว
ขณะที่มองนักบุญหญิงร้องไห้พลางขอให้ปล่อย คาร์ลเคยคิดว่านักบุญหญิงคนนี้ก็คงจะจัดการได้ง่ายเช่นกัน นักบุญหญิงที่ไม่รู้กระทั่งวิธีการใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกต้อง เขาคิดว่าค่อยสอนทีละอย่าง ทีละอย่างตั้งแต่เริ่มเหมือนอย่างที่เคยสอนอีเบลลีน่าเป็นใช้ได้
‘แต่ใครจะคิดว่านางจะทำให้ปวดหัวด้วยวิธีเช่นนี้’
หลังจากกลับมาวิหารหลวง อีริสเอาแต่ปฏิเสธว่าตนไม่ใช่นักบุญหญิงและร้องไห้ทั้งวัน ไม่ว่าเขาจะพยายามทำอะไร นางก็มีแต่น้ำตาหยดติ๋งๆ และพูดแต่คำเดิมซ้ำไปซ้ำมาราวกับนกแก้ว
“ข้าไม่ใช่นักบุญหญิงนะคะ”
การจะพาอีริสมาทำอะไรสักอย่างยังเป็นเรื่องที่เกินกำลัง ส่งผลให้พิธีต้อนรับนักบุญหญิงคนใหม่ถูกเลื่อนออกไปเรื่อยๆ เช่นกัน
‘วุ่นวายเสียจริง’
เรื่องที่คาร์ลต้องใส่ใจใช่ว่าจะมีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว หลังจากที่เขากลับมายังวิหารหลวงก็ได้ข่าวว่าราธบันเอาชนะเฮกซ่าได้ รวมถึงข่าวที่ว่าฝ่ายนั้นจัดระเบียบอัศวินที่เหลืออยู่ที่นั่นใหม่และกำลังมุ่งหน้ามาที่วิหารหลวงเช่นกัน
ต่อให้ไม่เห็นแต่ก็ชัดเจนว่าชาวบ้านที่นั่นจะปฏิบัติตัวกับราธบันอย่างไร และสามารถคาดเดาได้ว่าผู้อาวุโสกับหน่วยอัศวินแห่งวิหารที่หันหลังทิ้งพวกเขาเอาไว้จะถูกสาปแช่งอย่างไร
ก่อนที่ข่าวลือนั้นจะแพร่งพรายออกไปทั่วทวีป เขาต้องแต่งตั้งนักบุญหญิงคนใหม่และจัดการเรื่องราวให้เหมาะสม แต่กลับตกอยู่ในสภาพนี้เสียได้ คาร์ลด่าอีริสที่เอาแต่ร้องไห้และดื้อรั้นอย่างน่าประหลาดพลางสาวเท้าก้าวเดิน
ขณะที่เขากำลังมุ่งหน้าไปยังวิหารกลาง ก็มีเหล่านักบวชวิ่งมาหาเขาจากฝั่งตรงข้าม
“ท่านผู้อาวุโสคาร์ล!”
“มีเรื่องอันใด?”
นักบวชที่วิ่งมาด้วยใบหน้าซีดขาวตะโกนขึ้น
“ท่านรีบไปจัตุรัสกลางเร็วขอรับ มีข้อความถ่ายทอดมา! ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองข้อความ!”
“ข้อความหรือ?”
การถ่ายทอดข้อความที่ส่งมาช่วงนี้ นอกจากตอนที่เฮกซ่าปรากฏตัวขึ้นก็ไม่เคยมีมาอีก เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ คาร์ลขยับฝีก้าวอย่างเร่งรีบ
และทันทีที่เห็นจัตุรัสกลาง เขาก็ลืมคำพูดไปฉับพลัน
“ทั้งหมดนั่นคือข้อความที่ถ่ายทอดมา…?”
แม้จะได้ยินว่ามีหลายข้อความถูกส่งมา แต่ข้อความที่มาถึงจัตุรัสและกำลังเปล่งแสงนั้นมีเกินกว่าสิบอันไปแล้ว มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับวิหารอื่นๆ กันแน่ถึงได้ส่งข้อความมาในเวลาเดียวกันมากถึงเพียงนี้?
“ท่านผู้อาวุโส!”
นักบวชที่อยู่รอบข้างข้อความต่างก็ส่งเสียงเรียกคาร์ลอย่างร้อนรน เป็นเสียงที่บอกให้เขารีบเข้าไปเปิดดูข้อความนั้น คาร์ลรีบเดินเข้าใกล้จุดที่ข้อความมารวมกัน ทันทีที่เขาวางมือเหนือข้อความหนึ่งที่ดูเหมือนลูกแก้วแวววาว ข้อความทั้งหมดที่นั่นก็ถ่ายทอดข้อความเหมือนกันออกมาพร้อมกัน
“ปีศาจแอสรัน ทำลายวิหาร”
“ปีศาจแอสรัน ทำลายวิหาร”
“ปีศาจแอสรัน ทำลายวิหาร”
คำพูดที่ปราศจากโทนเสียงกว่าสิบอันดังสะท้อนในวิหารหลวง ก่อนที่ทุกคนจะได้ตกใจกับเนื้อหานั้น จู่ๆ ก็มีใครบางคนตะโกนขึ้น
“ตะ ตรงนั้น!”
ผู้คนที่ฟังเสียงข้อความถ่ายทอดอย่างจิตหลุดเงยหน้าขึ้นไป ใครบางคนกำลังลอยอยู่บนฟากฟ้า ทุกคนต่างก็หลงลืมคำพูดเมื่อเห็นสิงโตยักษ์ที่อยู่ด้านหลังพวกเขา
นัยน์ตาสีแดงของสิงโตตัวนั้นกำลังจ้องวิหารหลวงเขม็ง
ทุกคนต่างก็รับรู้ได้
เจ้าตัวนั้นชื่อแอสรัน และตอนนี้มันมาเพื่อทำลายวิหารหลวง