หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 19 กลับวิหารหลวง (3)
วินาทีที่เปลวเพลิงที่แอสรันสร้างกระแทกกับเกราะป้องกันของวิหารหลวง โลกพลันสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว เสาอันใหญ่ที่ผ่านไปพันปีก็ไม่บิ่นแม้แต่น้อยพลันสั่นสะเทือน เพดานที่มันค้ำอยู่เริ่มเกิดรอยร้าว
เมื่อภาพวาดฝาผนังที่ถูกวาดโดยจิตรกรผู้มีชื่อเสียงทั้งหลายเริ่มแตกร้าวและหล่นลงมาจนฝุ่นฟุ้งกระจาย ผู้คนที่สวดภาวนาต่อพระเจ้าภายในวิหารหลวงก็เริ่มกรีดร้องและวิ่งออกไปด้านนอกทันที
ทว่าหลังจากออกมาข้างนอก สิ่งที่พวกเขาเห็นกลับไม่ใช่ปาฏิหาริย์ของพระเจ้าที่บังเกิดเพื่อพวกเขา มีเพียงลูกไฟของพลังเวทขนาดใหญ่ที่คล้ายจะเผาไหม้ทุกคนให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เปลวเพลิงของพลังเวทแผ่กระจายไปด้านข้างโดยไม่ลดกำลังลงและเข้าปกคลุมเมืองบริเวณรอบๆ วิหารหลวง
ผู้คนที่หลบหนีออกไปอย่างเร่งรีบตั้งแต่แอสรันปรากฏตัวเห็นบ้านของพวกเขาลุกเป็นไฟจากระยะไกลแล้วก็ร้องไห้คร่ำครวญพลางแสวงหาพระเจ้า ส่วนคนที่เชื่อในวิหารหลวงและยังอยู่ในบ้าน ก็คร่ำครวญแสวงหาพระเจ้าขณะจับร่างที่กำลังลุกไหม้
การโจมตีเพียงครั้งเดียวพลันเปลี่ยนโลกให้กลายเป็นขุมนรก นั่นก็ไม่เว้นแม้แต่ที่พักของนักบุญหญิง
“ท่านนักบุญหญิง! ช่วยด้วย!”
นักบวชทั่วไปที่เฝ้าอยู่ด้วยนอก บัดนี้โยนมารยาททั้งหมดทิ้งไป เปิดประตูเข้าไปด้านใน และหมอบลงตรงหน้าอีริส ขณะเดียวกับที่เกิดเสียงระเบิดตูมตามและท้องฟ้าเหนือวิหารหลวงพลันปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง ไม่ว่าใครที่มีตาก็ตระหนักได้ว่าเกราะพลังศักดิ์สิทธิ์กำลังอ่อนแอลง
ตอนนี้คนที่พวกเขาสามารถเชื่อและเกาะติดได้มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น
“ท่านนักบุญหญิง ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย!”
“ท่านนักบุญหญิง! ได้โปรดช่วยพวกเรา!”
อีริสมองกลุ่มคนที่ยื่นมือมาหาตนพลางอ้อนวอนด้วยใบหน้าซีดขาว
นางไม่รู้เลยว่าควรต้องทำอะไรอย่างไร
ผู้อาวุโสที่ชื่อคาร์ลบอกว่านักบุญหญิงจะต้องอยู่ที่วิหารหลวง บังคับนางที่ปฏิเสธการมาที่นี่กลับมา เขากล่าวว่ามีเพียงวิหารหลวงที่เป็นสถานที่สำหรับนักบุญหญิง นางจะปลอดภัยและสุขสบายหากอยู่ที่นี่ และสามารถเพลิดเพลินไปกับชีวิตอันแสนมั่งคั่งได้
หลังจากมาวิหารหลวง อีริสก็ได้รับการปฏิบัติอย่างจริงใจดั่งที่เขาว่าไว้ ห้องนอนหรูหราและกว้างขวาง เสื้อผ้าโก้หรู มื้ออาหารที่ราวกับรวบรวมอาหารทั้งหมดบนโลกใบนี้มาให้ซึ่งนางไม่เคยเห็นมาก่อนจนถึงตอนนี้ สิ่งของต่างๆ ที่เป็นประกายแวววาวที่ไม่เคยแม้แต่จะฝันเพราะนางไม่รู้มาก่อนว่ามีของเช่นนี้อยู่บนโลกล้วนมาวางอยู่ตรงหน้านาง
วันแรกนางเพียงคิดว่าดีจังอย่างมึนงง
ผ้าห่มบนเตียงนอนและเสื้อผ้าที่คลุมร่างกายทั้งนุ่มและอุ่นจนทำให้นึกสงสัยว่าทำจากปีกนางฟ้าหรือเปล่า นางไม่เคยรู้สึกหิวเลยสักครั้งนับตั้งแต่เข้ามาที่นี่
ได้นอนอิ่มท้องในห้องนอนอุ่นๆ บนผ้าปูเตียงที่นุ่มและสะอาด
นั่นเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในชีวิตของอีริส
เช้าวันต่อมา อีริสก็ตระหนักได้ว่าตนมีความคิดว่าอยากอยู่ในวิหารหลวงไปนานๆ ถ้าหากว่านางเป็นนักบุญหญิงตัวจริง หากพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่กลับคืนไปหานักบุญหญิงคนก่อน…นางอาจจะได้เพลิดเพลินกับของเหล่านี้ไปตลอดก็ได้
ทว่าความคิดเช่นนั้นก็หายไปก่อนจะผ่านครึ่งวันไปด้วยซ้ำ
ผู้อาวุโสคาร์ลบอกว่านักบวชคนอื่นต่างก็ต้องการพบนักบุญหญิงคนใหม่ และเรียกพวกเขาเข้ามาที่พักของนักบุญหญิงโดยไม่ถามความเห็นชอบจากอีริสก่อน ทันทีที่นักบวชกว่าสิบคนเข้ามาและทำความเคารพตน อีริสก็เสียวสันหลังวาบ
พวกเขาต่างก็มองนางด้วยแววตาแน่วแน่ และยังต้องการให้อีริสช่วยใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาทันที อีริสเข้าใจในทันที ทุกอย่างที่จัดเตรียมให้นางคือสิ่งที่มีเพื่อพลังศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้ามอบลงมาให้ หากวันหนึ่งพลังศักดิ์สิทธิ์ของนางเกิดหายไปอย่างกะทันหันเหมือนอย่างอีเบลลีน่าผู้เป็นนักบุญหญิงคนก่อนล่ะก็…
คืนนั้น แม้ว่าจะอิ่มท้อง แม้ว่าจะสวมเสื้อผ้าดีๆ แม้ว่าจะได้นอนบนผ้าปูเตียงที่แสนนุ่มในห้องอันอบอุ่น แต่อีริสก็ไม่อาจนอนหลับได้เลย
ภาพของนักบวชที่เจอตอนกลางวันและผู้คนที่คว่ำหน้าร้องไห้พลางอ้อนวอนในตอนที่ผ่านเดินผ่านผุดขึ้นมาตลอด และนางก็ตระหนักได้ ไม่มีใครถามชื่อของนาง ไม่มีใครถามถึงครอบครัวนาง ไม่มีใครถามถึงเรื่องราวของนาง สำหรับทุกคน สิ่งที่สำคัญมีเพียงความจริงที่ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยปกป้องพวกตนปรากฏขึ้นมาอีกครั้งเท่านั้น
“ท่านนักบุญหญิง!”
อีริสพลันได้สติขึ้นมาเมื่อเห็นนักบวชคนอื่นผลักประตูเข้ามาอย่างแรงราวกับจะพังมัน ระหว่างนั้นเอง เกราะป้องกันของวิหารที่เห็นด้านนอกหน้าต่างก็กำลังอ่อนแอลงเรื่อยๆ
“ท่านผู้อาวุโสบอกว่ามีแค่ท่านนักบุญหญิงเท่านั้นที่ช่วยพวกเราได้! เร็ว!”
นักบวชที่กล่าวเช่นนั้นคว้าแขนอีริส ก่อนจะลากนางออกไป นี่คือการเสียมารยาทที่ไม่แม้แต่จะจินตนาการถึงในเวลาปกติ แต่บัดนี้กลับไม่มีใครชี้ให้เห็นถึงการกระทำของนักบวชคนนั้นเลย ไม่สิ ถึงกับมีคนที่ส่งสายตาขุ่นเคืองถามว่าทำไมถึงไม่ทำอะไรเลยจนถึงตอนนี้ด้วยซ้ำ
อีริสถูกลากไปจัตุรัสกลางโดยทำไม่ได้กระทั่งขัดขืน ที่นั่นมีนักบวชจำนวนมากรวมตัวกัน และกำลังมองขึ้นไปบนฟ้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว อีริสเองก็เงยหน้าขึ้นมองตามสายตาของพวกเขาไป
ไกลออกไปตรงนั้น มีร่างของปีศาจขนาดใหญ่และคนสองคนลอยอยู่ แม้จะไม่ได้มองให้ชัดเจน อีริสก็รู้ว่าหนึ่งในนั้นเป็นใคร
“แอสรัน…”
พลังงานกดดันและรุนแรงที่สัมผัสได้ในตอนที่พบกันครั้งแรกกระจายออกมา หลังจากเห็นแอสรัน อีริสก็มองหญิงสาวที่เขากอดอยู่ ตอนนั้นเอง ใครบางคนก็ชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้าพลางแผดเสียงออกมา
“นักบุญหญิงเหลวแหลกผู้นั้นกล้าดีอย่างไรถึงพาปีศาจมาวิหารหลวง!”
“ไม่รู้ว่าใช้อะไรถึงพาปีศาจมาได้…ช่างเป็นบุคคลที่สกปรกและชั่วร้ายเสียจริง!”
พวกเขาตะโกนขึ้นไปบนฟ้าอย่างกะหันหันจนน้ำลายแตกฟอง นั่นคือการต่อสู้ของผู้คนที่ไม่อาจเอาชนะความหวาดผวาว่าพวกเขาอาจจะตายในไม่ช้า
คาร์ลเดินแทรกคนเหล่านั้น แล้วเข้ามาใกล้อีริส จากนั้นค้อมตัวลง
“ท่านนักบุญหญิง”
“…”
“เกราะนี้คงสภาพอยู่ได้ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้เป็นเวลาที่จะแสดงให้ปีศาจที่หยิ่งผยองได้เห็นว่าดินแดนนี้ได้รับการคุ้มครองจากพลังของใคร และใครคือผู้แข็งแกร่งและได้รับความรักจากท่านผู้นั้นมากที่สุด ดังนั้นได้โปรดแสดงพลังของท่านเพื่อพวกเราด้วย”
“นักบุญหญิงอีเบลลีน่า…”
มันอยู่ไกลมาก แถมลมยังพัดอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งยังมีเปลวเพลิงของพลังเวทที่ปกคลุมเกราะไว้อีกชั้นทำให้นางเห็นใบหน้าของอีเบลลีน่าที่อยู่ในอ้อมกอดของแอสรันไม่ชัด
ท่ามกลางความวุ่นวายในตอนนี้ มีเพียงเรื่องนั้นที่ทำให้อีริสเสียดาย
นางรู้ว่าเจ้าของเดิมของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ตนครอบครองคืออีเบลลีน่า แต่เพียงแค่ความจริงข้อนั้นจะทำให้นางเกิดความสงสัยในตัวอีกฝ่ายถึงเพียงนี้เลยหรือ?
อีริสนึกถึงความสงสัยที่ตนมีในคราแรก
ท่ามกลางผู้คนมากมายในแผ่นดิน ทำไมพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ถึงได้เข้ามาหาตนอย่างกะทันหัน มันเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญจริงหรือ?
คำพูดสุดท้ายของแม่ที่ลืมไปช่วงเวลาหนึ่งพลันผุดขึ้นมา
“วิหารหลวง…พี่สาวของเจ้า…”
อีริสเดินผ่านผู้คนที่คว้านางไว้ แล้วก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว จากนั้นยื่นมือออกไปหาหญิงสาวที่ลอยอยู่บนฟ้า พลางบ่นพึมพำ
“หรือว่า… พี่สาว?”
***
อีเบลลีน่ามองเกราะป้องกันที่อ่อนแอลงเรื่อยๆ พลางกระซิบกับแอสรันอีกครั้ง
“แอสรัน เร็ว”
เพียงแค่คำพูดเดียว พลังเวทที่โหมพัดแรงอยู่ด้านหลังก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ปีศาจตนนี้ที่นับอีเบลลีน่าเป็นตัวเมียและคู่ชีวิตของเขา บัดนี้ได้ยอมจำนนต่อนางโดยสมบูรณ์ บางทีแค่ความจริงว่าคู่ชีวิตของเขากำลังตั้งท้องก็ทำให้เขาไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ทำให้อีเบลลีน่าโล่งใจ
‘เพราะงั้นถึงได้ยังไม่รู้อย่างไรเล่า’
แอสรันเป็นปีศาจที่แข็งแกร่ง ความแข็งแกร่งนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับความอ่อนไหว หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายยินดีและตื่นเต้นจนทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจควบคุมตัวเองได้อย่างตอนนี้ เขาก็คงมองเห็นได้ทันทีว่านางไม่ใช่ ‘ลีน่า’
พลังเวทของแอสรันพุ่งเข้าหาเกราะป้องกันอีกครั้ง อาคารเก่าแก่ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของวิหารหลวงไม่อาจทานทนต่อแรงสั่นสะเทือนได้จึงถล่มลงมา แม้สถานที่ที่นางใช้ชีวิตมาตลอดชีวิตจะถูกทำลายล้าง แต่อีเบลลีน่ากลับไม่ได้รู้สึกอาวรณ์ใดๆ ทั้งยังไม่รู้สึกสดชื่น แต่กระนั้นก็ไม่ใช่ความรู้สึกเศร้าใจ
บัดนี้ สำหรับนาง โลกใบนี้เป็นได้เพียงภาพวาดยับย่นที่ไร้ซึ่งสีสันใดๆ เป็นของที่ไม่ว่าจะมีสภาพเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ
อีเบลลีน่ามองภาพที่วิหารหลวงแตกหักด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ก่อนจะหันศีรษะกลับ นางเห็นคนที่รวมกลุ่มกันอยู่ไกลๆ ถึงแม้พลังศักดิ์สิทธิ์จะออกจากร่างไปหมดแล้ว แต่อาจเป็นเพราะนางเคยเป็นเปลือกที่ห่อหุ้มพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ช่วงหนึ่ง หรืออาจเพราะตระหนักได้ว่านั่นเป็นกลุ่มคนที่ลีน่าซึ่งอยู่ในร่างรักใคร่
อีเบลลีน่ารู้ว่าคนที่กำลังเข้ามาหาแอสรันกับนางคือราธบันและเลออน
พวกเขากำลังวิ่งมาหานางอย่างไม่ลังเล
ตอนแรกนางคิดว่าพวกเขาจะไม่อาจเข้ามาใกล้ได้เพราะถูกพลังเวทของแอสรันที่สะท้อนออกมาจากเกราะซัดสาด ทว่ามันกลับไม่เป็นไปตามที่นางคาดหวัง พลังเวทของแอสรันกลับหยุดชะงักต่อหน้าคนทั้งสองราวกับกระแทกกำแพง
“…!”
แอสรันสัมผัสได้ถึงสายตาของนางที่มองตรงนั้นด้วยความตกใจ จึงหันหน้าไป แล้วเปิดปากพูดอย่างขบขัน
“ดูท่าไอ้เจ้าลูกหมาขนดำคงจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ ส่วนไอ้ลูกหมาขนเหลืองมันใช้แผ่นประกาศิตที่หลุดออกไปจากเกาะจอมเวทอย่างนั้นหรือ?”
เวลาเดียวกับที่พูดจบ แอสรันก็ยกมือไปทางสองคนนั้น ตอนนั้นเอง นักบุญหญิงก็คว้ามือของแอสรันเอาไว้ แอสรันเดาะลิ้นหนึ่งครั้งต่อการกระทำที่ห้ามไม่ให้ทำ ก่อนจะหันหน้ากลับไปทางวิหารหลวงอีกครั้ง
อีเบลลีน่ามองมือตนเองด้วยสายตายากจะเชื่อ การที่ราธบันกับเลออนเข้ามาใกล้ไม่ใช่เรื่องที่เป็นประโยชน์แก่ตัวนางแม้แต่น้อย แต่แล้วทำไมตนถึงต้องห้ามไม่ให้แอสรันโจมตีพวกเขาด้วย
นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางทำ นี่เป็นการกระทำที่ ‘ลีน่า’ ในตัวนางทำ
‘อีกไม่นานแล้ว’
นับตั้งแต่ที่นางผลักวิญญาณของอีกฝ่ายเข้าไปในร่างด้วยตนเอง ร่างกายนี้ก็เริ่มปฏิเสธนางที่เป็นเจ้าของร่างเดิม เหตุผลข้อเดียวที่ทำให้นางไม่พยายามกลับมาครอบครองร่างนี้อีกครั้งในขณะที่ลีน่าเคลื่อนไหวมาจนถึงตอนนี้ นั่นเพราะนางรู้ว่าถึงแม้ตนจะได้รับอำนาจการควบคุมร่างกายกลับมา แต่สุดท้ายก็จะคงอยู่ได้ไม่นาน
บัดนี้ร่างกายนี้คือลีน่า ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มันจะปฏิเสธอีเบลลีน่าที่ไม่ใช่เจ้าของร่างนี้แล้ว
ทว่า ต่อให้เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ นางก็ต้องควบคุมให้สมบูรณ์และจัดการเรื่องที่ต้องทำให้เสร็จ
ระหว่างนั้น เกราะของวิหารหลวงก็ยิ่งอ่อนแอลง บัดนี้แสงสีฟ้าครามใกล้จะสลายหายไปหมดแล้ว อีเบลลีน่ากล่าวด้วยร่างกายที่เริ่มไม่เคลื่อนไหวตามความต้องการของนาง
“แอสรัน เร็วเข้า!”
พลังเวทของแอสรันพลันเกิดการปะทะครั้งใหญ่กับเกราะป้องกันอีกครั้ง
แกร่ก
เสียงที่ราวกับโลกแตกร้าวดังขึ้นพร้อมกับที่เริ่มเกิดรอยร้าวขึ้นบนเกราะ แอสรันขยับเข้าไปเหนือเกราะ แล้วใช้หลังมือกระแทกมันเบาๆ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว เกราะของวิหารหลวงเริ่มถล่มลงทันที
อีเบลลีน่าที่อยู่ในอ้อมกอดของแอสรันรับรู้ได้ว่าลมหายใจของเขาเริ่มหนักหน่วงขึ้น ต่อให้เป็นแอสรัน แต่การทำให้เกราะของวิหารหลวงแตกก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย
‘ต้องรีบแล้ว’
ทั้งนาง ทั้งแอสรันต่างก็ใกล้จะถึงขีดจำกัด นางต้องจบเรื่องที่ต้องการทั้งหมดให้เสร็จสิ้นก่อนหน้านั้น
“แอสรัน ตรงนั้นคือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของวิหารหลวง”
อีเบลลีน่ายังคงเอ่ยกระซิบข้างหูของอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้เขาสบตานาง พลางใช้นิ้วมือชี้ไปทางอาคารที่อยู่หลังจัตุรัสกลาง ที่ตรงนั้นที่นางเห็นพลังศักดิ์สิทธิ์ของตนเองลุกไหม้ก็คือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของวิหารหลวงนั่นเอง
แอสรันส่งร่างของเขาที่ลอยอยู่กลางอากาศไปที่นั่นหลังจากได้ยินคำกระซิบของนาง สิงโตสีแดงขนาดใหญ่ที่เป็นรูปร่างขึ้นมาด้วยพลังเวทเหวี่ยงอุ้งเท้าหน้าไปทางอาคารอย่างไม่ลังเล หินที่หนาและหนักถล่มลงราวกับต้นไม้ผุพัง
แม้ว่ามันจะเหวี่ยงอุ้งเท้าหน้าไปไม่กี่ครั้ง แต่อาคารที่ทนทานมานานกว่าพันปีก็สูญเสียรูปร่างอย่างสมบูรณ์ เหล่านักบวชที่เห็นภาพนั้นต่างก็รู้สึกหวาดผวาว่าจากนี้ไปแผ่นดินนี้จะกลับเข้าสู่ยุคสมัยที่ถูกปกคลุมไปด้วยปีศาจก่อนที่จะมีนักบุญหญิงปรากฏตัวขึ้นหรือเปล่า
ร่างของแอสรันที่ใหญ่ยิ่งกว่าจัตุรัสกลางขุดพื้น ไม่นานพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ซ่อนอยู่ใต้ดินก็เผยออกมา
อาจเป็นเพราะมีบุคคลใหม่ที่ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่วิหารหลวง ที่ตรงนั้นจึงมีเปลวเพลิงประกายสีฟ้าครามขนาดใหญ่กำลังลุกไหม้ ร่างของแอสรันอ้าปาก พลังเวทสีแดงทะลักออกมาราวกับน้ำตก นับตั้งแต่ก่อตั้งวิหารหลวงบนดินแดนแห่งนี้ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เคยสัมผัสพลังเวทมาก่อนเลยสักครั้ง เรียกได้ว่าเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ลุกไหม้โดยไม่เคยดับเลยสักครั้งมาตลอดหลายพันปี
ทว่า ตอนนี้มันกำลังถูกทำให้สกปรกอย่างเต็มที่โดยปีศาจที่แข็งแกร่ง ผ่านไปไม่นาน ทันทีที่เปลวเพลิงของพลังศักดิ์สิทธิ์สีฟ้าครามถูกกลืนหายไปกับพลังเวทของแอสรันอย่างสมบูรณ์ อีเบลลีน่าก็รู้ว่า บัดนี้ แผ่นดินนี้จะไม่มีวิหารใดๆ หลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว
นางมองกระดานชนวนที่ยังคงลอยอยู่ด้านข้างตนเอง ทันทีที่ยื่นมือออกไป เจ้าสิ่งนั้นก็ลอยเข้ามาใกล้อีเบลลีน่าราวกับบอกให้เขียนสิ่งที่ต้องการสิ่งสุดท้าย แล้วจบสิ้นสัญญานี้เสีย
อีเบลลีน่าพูดกับกระดานชนวน และพูดกับแอสรันด้วยใบหน้าปลาบปลื้ม
“บัดนี้ข้าจะกล่าวคำขอสุดท้ายที่ข้าต้องการ แอสรัน ปีศาจของข้า”
อีเบลลีน่ากล่าวคำขอที่นางปรารถนาจากใจจริง
“ฆ่าข้าเสีย”