หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 2.3 ราธบัน (3)
ใช้เวลาพักใหญ่ถึงเดินตรวจสอบเส้นทางเดินพิธีเสร็จแล้วได้กลับมาห้องพัก ถึงจะรู้สึกเพลียแต่ฉันกลับตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ก่อนอื่นคือเพราะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของวิหารหลวง และสองคือรู้สึกได้จริงๆ ว่าที่นี่คือโลกอีกใบจากการได้มองดูทิวทัศน์ที่ผ่านสายตาในแต่ละครั้ง
เมื่อเห็นกลุ่มวิหคยักษ์โบยบินอยู่บนท้องฟ้าที่ผสมผสานไปด้วยสีส้มและสีม่วงยามอัสดง เห็นกลุ่มคนมากมายที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนจนถึงตอนนี้ ร่างกายก็พลันสั่นสะท้านขึ้นมา ถ้ารู้อยู่แล้วว่าที่แห่งนี้คือโลกในหนังสือมันจะไม่รู้สึกเหมือนแสดงละครเวทีย้อนยุคอยู่เหรอ ฉันเคยคิดเช่นนี้
‘แต่ทุกอย่างมีชีวิตอยู่จริง’
ตอนที่นอนพักอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล บ่อยครั้งที่ต้องนอนดูโทรทัศน์ร่วมกับคนที่นอนอยู่เตียงอื่นข้างๆ แต่หากเป็นช่วงบ่ายหลังเวลาอาหารเที่ยง แม้ทุกคนจะว่างและไม่มีอะไรทำก็ไม่มีใครดูโทรทัศน์เลย นั่นเพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่ฉายข่าวน่าเบื่อ หรือไม่ก็สารคดีของประเทศที่อยู่ห่างไกล
แต่สำหรับฉัน รายการพวกนั้นสนุกที่สุด ในตอนที่แอบพยาบาลดูโทรศัพท์มือถือใต้ผ้าห่มตอนดึก ฉันก็มักจะดูวิดีโอท่องเที่ยวในประเทศห่างไกลอยู่เสมอ พร้อมกับจินตนาการว่าฉันก็ไปได้เที่ยวที่นั่นด้วย
เรื่องที่ได้แต่เฝ้ามองในตอนนั้น ตอนนี้กำลังกลายเป็นจริงงั้นเหรอ
ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินรอบโรงพยาบาลด้วยร่างกายที่เจ็บป่วยแค่เพียงหนึ่งรอบกับความเหน็ดเหนื่อยที่ใช้สองเท้าของตนเดินชมทุกซอกทุกมุมรอบวิหารหลวงในวันนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ฉันนอนหลับไปทันทีหลังจากกินข้าวและอาบน้ำเสร็จเพราะความเหนื่อยที่ทำให้รู้สึกดีที่เพิ่งเคยสัมผัสเป็นครั้งแรก
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว หลังจากลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ฉันลุกขึ้นจากที่นอนแล้วเดินไปทางหน้าต่าง อากาศเย็นสบายยามค่ำคืนชวนให้อารมณ์ดีพัดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดอยู่
‘อยากเดินมากกว่านี้จัง’
ถึงวันนี้จะเดินมาตลอดทั้งวันแล้วก็ยังอยากเดินต่ออีก ถ้าเกิดอยู่ๆ ตอนนี้จิตสำนึกของอีเบลลีน่ากลับมาล่ะ แล้วฉันต้องหายไปล่ะ แค่คิดว่าอาจจะไม่ได้สัมผัสความรู้สึกที่ได้เดินไปไหนมาไหนด้วยร่างกายที่แข็งแรงเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว ฉันก็ว้าวุ่นในใจ
ฉันอยากออกไปเดินเล่นคนเดียวในสวนที่เห็นจากนอกหน้าต่างเมื่อครู่ เดินเล่นในสถานที่อันเงียบสงบใต้แสงจันทร์เพียงลำพัง ขณะกำลังจะเปิดประตูออกไปโดยสวมเพียงเสื้อนอก ฉันก็หยุดฝีเท้าลง
‘จะทำยังไงดี’
ถ้าออกไปแบบนี้ พวกนักบวชที่ยืนรอฟังคำสั่งอยู่ด้านนอกมาตลอดทั้งวันจะต้องมาเกาะติดทันทีแน่
‘ในนิยาย…’
มีฉากที่อีเบลลีน่าแอบลักลอบมีสัมพันธ์กับพวกผู้ชายในวิหารหลวง แสดงว่าต้องมีวิธีที่สามารถออกไปจากที่นี่เพียงคนเดียวได้ ฉันรีบนึกย้อนถึงความทรงจำของอีเบลลีน่าอย่างรวดเร็ว
“อืม…”
โชคดี ไม่นานก็นึกถึงวิธีการนั้นออก แต่ปัญหาคือได้เห็นเรื่องที่ไม่อยากเห็นไปด้วย เนื้อหาในนิยายไม่โกหกเลย ในความทรงจำที่ปรากฏขึ้นมามีแต่เรื่องที่ชวนให้รู้สึกเขินอายจนอยากหลบสายตาเดี๋ยวนั้น ฉากที่ปรากฏในความทรงจำ ทั้งสถานที่และหน้าตาของผู้ชายต่างก็ไม่เหมือนกัน ดูเหมือนอีเบลลีน่าจะใช้ชีวิตได้ยุ่งเหยิงยิ่งกว่าที่เขียนอยู่ในหนังสือมาก
เพียงแค่แวบเดียวก็มีผู้คนโผล่ขึ้นมามากมาย ไม่กล้าคิดเลยว่าหากค่อยๆ นึกถึงทีละเรื่องจะมีชายหนุ่มอีกมากแค่ไหนปรากฏออกมา
‘แล้วฉันก็รู้สึกผิดด้วย’
ไม่ว่าอีเบลลีน่าจะใช้ชีวิตแบบไหน นั่นก็เป็นเรื่องส่วนตัวของนาง แม้ฉันจะเข้ามาอยู่ในร่างของอีเบลลีน่า แต่การมาเห็นความทรงจำของคนอื่นจนหมดเปลือกแบบนี้ก็ทำให้รู้สึกผิดขึ้นมา รู้สึกเหมือนแอบอ่านไดอารี่ของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
‘แต่จะไม่ดูก็คงไม่ได้’
ความทรงจำของอีเบลลีน่าเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันเชื่อมั่นและก้าวไปต่อได้ในสถานการณ์นี้ แม้รู้ว่านี่เป็นความคิดที่น่าขัน แต่เมื่อถึงวันใดที่เจ้าของร่างที่แท้จริงหวนกลับคืนมา ฉันจะต้องขอโทษที่แอบดูความทรงจำตามใจชอบให้ได้
ฉันย้ายฝีเท้ากลับเข้าไปด้านในห้อง
แม้จะเรียกห้องของนักบุญหญิงว่าห้องนอน แต่อันที่จริงแล้วที่นี่เทียบได้กับตำหนักหนึ่งในพระราชวัง เพราะมีห้องจำนวนมากมายจนนับไม่ถ้วนซึ่งเชื่อมติดอยู่กับทางเดินทอดยาว ฉันเดินเข้าไปด้านในเรื่อยๆ ตามทางเดินใต้แสงไฟซึ่งสร้างขึ้นมาจากพลังศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นจึงเปิดประตูของห้องที่อยู่ปลายสุดทางเดิน
แกร๊ก เบื้องหน้าพลันปรากฏห้องเล็กๆ ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายทันทีที่เดินเข้าไปในห้อง มองดูแล้วคล้ายว่าเป็นห้องสำหรับใช้พักผ่อนช่วงสั้นๆ บนผนังห้องมีภาพวาดหลายชิ้นและกระจกบานใหญ่ติดอยู่ มุมหนึ่งของห้องมีตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ตั้งอยู่
ด้านหลังของภาพวาด ด้านหลังของกระจก และด้านหลังตู้เสื้อผ้า ล้วนเชื่อมต่อกับทางเดินลับ อีเบลลีน่าใช้ทางเดินลับนี้ในการลอบไปมาในวิหารเพื่อหลบหนีสายตาของคนอื่น แม้ไม่รู้ว่านี่เป็นทางเดินลับที่ใครสร้างไว้ เพื่ออะไร และเมื่อไหร่
‘ไม่มีทางลับออกไปนอกวิหารหลวงด้วยเหรอ’
ฉันลองย้อนนึกดูในความทรงจำ แต่เหมือนจะไม่มีทางที่พาไปถึงขนาดนั้น ฉันเดินเข้าไปหากระจกซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดก่อน มองดูเงาสะท้อนในกระจกแล้วก็พลันรู้สึกแปลกพิกล ฉันคือคนที่เคลื่อนไหวร่างกายและใช้ความคิด แต่ร่างกายนี้กลับเป็นของอีเบลลีน่า ไม่ใช่ฉัน ในสายตาของคนอื่นคงเห็นการกระทำของฉันเป็นการกระทำของอีเบลลีน่า
ฉันไม่ได้รู้สึกเศร้าหรือหดหู่ใจเพราะข้อเท็จจริงนี้ เพียงแต่รู้สึกแปลกเท่านั้น
ทำไมถึงเข้ามาอยู่ในโลกนิยายได้ แล้วทำไมถึงเป็นร่างของอีเบลลีน่า หลังจากยืนมองดูเงาที่สะท้อนอยู่ในกระจกอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายฉันก็ถอนหายใจออกมา รู้สึกเหมือนอีเบลลีน่าที่อยู่ในกระจกกำลังพูดว่าจงออกไปจากร่างของข้าเดี๋ยวนี้
‘เอาล่ะ…เห็นว่าทางลับที่อยู่ด้านหลังกระจกเป็นทางเดินที่เชื่อมไปยังสวนด้านหลังได้เลย’
ถอยออกมาจากกระจกไม่ไกล จะเห็นประตูขนาดเล็กที่ต้องก้มตัวเพื่อเข้าไปอยู่ด้านหลัง ไม่สิ หากเรียกเจ้าสิ่งนี้ว่าประตูก็ดูแปลกพิลึก นี่เป็นประตูที่มีเพียงเส้นขีดไว้บนผนังห้อง ไม่มีที่จับใดๆ เป็นประตูที่ไม่มีผู้ใดสามารถเปิดออกได้ นั่นเพราะว่า…
ฉันยกมือขึ้นเหนือประตู ทันใดนั้น บนบานประตูก็ปรากฏลวดลายสีฟ้าครามซ้อนทับกันอย่างน่าประหลาดก่อนจะหายไปในชั่วพริบตา แสงสีฟ้าครามและประตูบานนั้นจางหายไปพร้อมกัน
“ว้าว…”
นี่เป็นพลังคล้ายเวทมนตร์ที่เคยเห็นในการ์ตูนหรือภาพยนตร์ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง และการที่ฉันเป็นคนใช้พลังนั้นออกมาเองยิ่งทำให้รู้สึกตื่นเต้น
‘ในหนังสือเหมือนจะบอกว่ามันตอบสนองต่อพลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิงเท่านั้น…’
ทันใดนั้น ฉันก็รู้สึกถึงความผิดปกติ
‘…หรืออีเบลลีน่าไม่ใช่นักบุญหญิงตัวปลอม?’
เห็นได้ชัดว่าในช่วงสุดท้ายของเล่มสองที่ฉันอ่าน อีเบลลีน่าถูกเปิดโปงว่าเป็นนักบุญหญิงตัวปลอมและโดนเผา แต่ทำไมประตูบานนี้ ประตูที่ตอบสนองพลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิงเท่านั้นกลับตอบสนองต่อพลังของอีเบลลีน่าล่ะ
‘ลองคิดดูสิ…พลังศักดิ์สิทธิ์เริ่มหายไปจนหมดตั้งแต่เมื่อไหร่
ฉันลองทบทวนเนื้อหาในหนังสือ แม้พลังศักดิ์สิทธิ์ของอีเบลลีน่าจะหายไปจนหมดและถูกขนานนามว่าเป็นนักบุญหญิงตัวปลอม แต่ก็ไม่เคยถูกปฏิเสธจากพลังศักดิ์สิทธิ์เลย
‘งั้นแสดงว่าตอนนี้ยังเป็นนักบุญหญิงตัวจริงอยู่งั้นเหรอ’
ฉันยืนอยู่หน้าทางลับแล้วมองดูมือข้างที่สัมผัสประตูเมื่อครู่ แสงสีฟ้าครามของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องประกายอยู่ไม่นานจางหายไปหมดแล้ว
ทางลับด้านหลังกระจกไม่มีแสงไฟ ฉันกล้าเดินเข้าไปเพราะในความทรงจำเห็นอีเบลลีน่าเคยเดินเข้าไปอยู่หลายครั้ง ถ้าไม่มีความทรงจำนั้น ฉันคงไม่มีทางเดินเข้าไปในนั้นแน่นอน
‘เส้นทางลับหลังกระจกเชื่อมกับสวนด้านหลัง เส้นทางลับหลังภาพวาดเชื่อมกับจตุรัสกลาง ส่วนเส้นทางลับหลังตู้เสื้อผ้าเชื่อมไปทางประตูทางเข้าของวิหารหลวง’
ฉันจดจำทุกเนื้อรายละเอียดในความทรงจำของอีเบลลีน่าเอาไว้เพราะไม่แน่ว่าวันอื่นอาจต้องมาใช้เส้นทางอื่นอย่างเช่นในวันนี้อีก เดินเข้าไปด้านในได้ไม่นานก็ชนเข้ากับกำแพง ทันทีที่ยกมือขึ้นเหนือผนังเหมือนที่ทำเมื่อครู่ แสงสีครามก็ส่องสว่างขึ้นพร้อมกันนั้นผนังที่ปิดกั้นทางเดินอยู่ก็หายไป เบื้องหน้าพลันปรากฏสวนที่มีต้นไม้หนาแน่น
ฉันก้าวออกมาจากทางลับแล้วพบว่าที่นี่เป็นส่วนที่อยู่ลึกที่สุดด้านในสวน มองดูกำแพงที่ฉันเพิ่งเดินออกมาซึ่งอยู่ตรงมุมของสวนแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ คงไม่มีใครคิดแน่ว่าจะมีเส้นทางลับอยู่ที่กำแพงธรรมดาๆ แบบนี้
กำแพงกลับเข้าสู่สภาพเดิมหลังเดินออกมาไม่นาน ฉันยกมือขึ้นอีกครั้งเพราะอยากทดสอบดูว่าพลังศักดิ์สิทธิ์จะยังใช้ได้อีกหรือไม่ แสงสีฟ้าครามพลันส่องสว่างพร้อมกับประตูที่อยู่บนกำแพงเมื่อครู่ก็ปรากฎขึ้นอีกครั้ง
‘ดีล่ะ กลับไปได้ไม่มีปัญหา’
ฉันค่อยๆ เดินชมสวนหลังจากตรวจสอบแล้วว่าการกลับไปที่ห้องไม่มีปัญหาใด
เสียงร้องของนกที่ร้องตอนกลางคืนดังขึ้นมาจากตรงนั้นตรงนี้ รวมทั้งเสียงแมลงที่ร้องระงม ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจมากกว่ารู้สึกหวาดกลัว ตอนอยู่ในห้องแม้จะได้อยู่คนเดียวแต่ที่นั่นมีคนยืนรออยู่หน้าห้องตลอดเลยทำให้รู้สึกเหมือนถูกเฝ้าอยู่ตลอดเวลา
“ตอนนี้ค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย”
มีสายตามากมายที่คอยจับจ้องอยู่ตลอดทั้งวัน ถึงตอนแรกจะรู้สึกแปลกใหม่และชื่นชอบ แต่ไม่นานฉันก็รู้สึกเหนื่อย
ตอนอยู่โรงพยาบาล ฉันไม่ต่างจากเฟอร์นิเจอร์ของที่นั่น เป็นเรื่องแน่นอนที่จะอยู่ตรงนั้นและไม่มีใครให้ความสนใจเป็นพิเศษ แต่หากหายไปก็ยังพอมีคนถามหาว่าหายไปไหน
พอเคยชินกับสถานะแบบนั้น ฉันจึงรู้สึกอ่อนไหวเมื่อมีคนมาให้ความสนใจอยู่ข้างๆ แค่เพราะฉันเดินช้าลงหรือดูสนใจอะไรบางอย่าง
เมื่อได้สูดดมอากาศยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยกลิ่นต้นไม้จิตใจก็รู้สึกปลอดโปร่ง ฉันเดินเล่นในสวนที่ไม่มีใครเลยเป็นเวลานาน รู้สึกเหมือนได้จัดการความยุ่งวุ่นวายในหัว
ฝ่าเท้ารู้สึกเจ็บขึ้นมาอีกครั้งหลังจากเดินทอดน่องคนเดียวในสวนพลางดื่มด่ำกับวิวทิวทัศน์ที่เงียบสงบยามค่ำคืน หลังจากเหลียวมองรอบกาย ฉันก็เอนตัวลงที่ม้านั่ง มีลมเย็นสบายพัดผ่านใบหน้าไป ท้องฟ้าด้านบนเต็มไปด้วยดวงดาวที่ดูคล้ายจะร่วงหล่นลงมา ฉันหัวเราะคิกคักพลางกล่าว
“มีดวงจันทร์สองดวงหรือเนี่ย”
ไม่อยากเชื่อว่าฉันจะได้มาเห็นโลกที่ต่างจากความจริงซึ่งถูกเขียนไว้ในนิยายหลายเรื่องที่เคยอ่านบนเตียงในโรงพยาบาลด้วยตาตัวเอง หลังจากมองดูดวงจันทร์สองดวงและดาวที่อยู่เต็มฟากฟ้าสักพัก ฉันก็ยกขาทั้งสองข้างขึ้นแล้วนอนลง ด้วยเพราะชุดที่สวมอยู่คือชุดนอนเลยทำให้ผ้าร่วงไหลลงด้านล่าง เรียวขายาวสีขาวนวลพลันปรากฏใต้แสงจันทร์
ขาเริ่มรู้สึกปวดเพราะวันนี้เดินมาทั้งวัน และตอนนี้ยังมาเดินซ้ำอีก
‘ถึงจะเป็นเพราะฉันตั้งใจมาเดินเพราะมีความสุขกับความปวดนั้นก็เถอะ’
ถึงอย่างไรก็ดื่มด่ำกับความเจ็บปวดนี้ได้แค่คืนนี้เท่านั้น ถึงจะสนุกและตื่นเต้นแค่ไหน ฉันก็คงมาเดินเล่นแบบนี้ทุกวันไม่ได้ อีกทั้งนี่ยังไม่ใช่ร่างกายของฉัน ฉันจะใช้อย่างหักโหมตามใจไม่ได้
ฉันยกตัวขึ้นแล้วค่อยๆ นวดเรียวขาที่บวมเล็กน้อย ขณะกำลังนวดอยู่สายตาพลันเหลือบไปเห็นด้านในของต้นขา ฉันลุกขึ้นปรับเปลี่ยนท่านั่งด้วยความแปลกใจ
“นี่อะไร”
มีรอยแปลกๆ อยู่ด้านในต้นขา เป็นรอยสีฟ้าครามขนาดเท่านิ้วก้อย จะว่าเหมือนกับรอยแมลงกัดก็มีขนาดใหญ่และรอยชัดเกินไป แม้อยากคิดว่าเป็นรอยที่ชายหนุ่มที่มีความสัมพันธ์กับอีเบลลีน่าทำทิ้งไว้ แต่รอยพวกนี้ก็มีลักษณะต่างจากรอยที่อยู่บนร่างโดยสิ้นเชิง
รอยอื่นๆ บนร่างไม่ได้เป็นวงกลมแบบนี้
นี่เป็นรอยที่คล้ายกับว่ามีคนจงใจกดของทรงกลมลงไป แค่มีรอยเดียวก็รู้สึกประหลาดแล้วแต่นี่กลับมีรอยแบบนี้อยู่ติดกันถึงสามรอย และยังเป็นรอยที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจด้วย
ฉันย้อนนึกถึงความทรงจำของอีเบลลีน่าเพราะอยากรู้ว่ามันคือรอยที่เกิดจากอะไร แต่กลับไม่มีสิ่งใดปรากฏขึ้นมาเลย ลางสังหรณ์ไม่ดีพลันแวบผ่านต้นคอ ที่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับรอยนี้ เป็นเพราะไม่จำเป็นต้องจดจำงั้นเหรอ หรือเป็นเพราะไม่อยากจำกันแน่
‘อยากลบออกไปจัง’
คิดได้แบบนี้ ฉันก็ลองกดมือลงไปที่รอยนั้น แน่นอนว่ามันไม่หายไป ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใดถึงได้รู้สึกไม่สบายใจต่อรอยที่มีอยู่อย่างเด่นชัดนี้ ฉันเพิ่มแรงแล้วถูลงไป ตอนนั้นเอง ที่ปลายนิ้วก็มีแสงสีฟ้าครามส่องสว่างขึ้นมา
“…!”
ไม่นานแสงนั้นก็จางหายไปหลังจากยกมือขึ้นเพราะตกใจที่แสงเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
‘พลังศักดิ์สิทธิ์’
สิ่งที่เรียกว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ ดูเหมือนจะใช้ออกมาได้ง่ายกว่าที่คิดเอาไว้
‘ลองคิดๆ ดูแล้ว ฉันยังไม่ได้เคยลองใช้พลังศักดิ์สิทธิ์เลย’
ฉันยังไม่เคยลองใช้พลังศักดิ์สิทธิ์อย่างจริงจังเลยหลังจากเข้ามาอยู่ในร่างนี้ แต่ก็เป็นเรื่องปกติเพราะตอนนี้ไม่ได้อยู่ในช่วงปราบปรามปีศาจ แถมยังไม่ใช่ช่วงที่มีจัดงาพิธีอะไร มีเพียงตอนที่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์เปิดปิดทางลับเพื่อมาที่นี่ครั้งเดียวที่ฉันได้เห็นพลังศักดิ์สิทธิ์ถูกใช้ออกมา
‘แล้วทำไมถึงไม่เคยคิดจะลองใช้เลยล่ะ’
เนื้อหาในหนังสือเล่าว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ ลดลงหลังจากที่พลังของอีริสตื่นขึ้นหนึ่งปี และอีเบลลีน่าก็ไม่สามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้อีกเลยหลังจากอีริสมาที่วิหารหลวง แต่ว่าในตอนนี้พลังศักดิ์สิทธิ์ของอีเบลลีน่ายังแข็งแกร่งมาก
‘ดังนั้นก็ควรลองใช้มันตั้งแต่ตอนนี้’
ฉันคิดดังนั้นพลางนึกถึงความทรงจำของอีเบลลีน่า และอดไม่ได้ที่ต้องกัดริมฝีปาก เช่นเดียวกับตอนที่นึกถึงร่องรอยที่อยู่ที่ต้นขาเมื่อครู่ คือฉันไม่เห็นภาพอะไรเลย ไม่สิ แม้จะไม่มีความทรงจำเหมือนกัน แต่ฉันกลับรู้สึกถึงความมืดมิดที่ด่ำดิ่งลงไปอีก ราวกับว่าไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ในร่างกายของฉันเลย
‘ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้’
อีเบลลีน่าเป็นตัวละครที่เอาแต่ตะโกนว่าตนเป็นนักบุญหญิงกระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายที่กำลังจะตาย แต่ทำไมคนแบบนางถึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพลังศักดิ์สิทธิ์เลย
‘มี…เรื่องแปลกๆ เต็มไปหมดเลย’
ทั้งรอยนี้ ทั้งพลังศักดิ์สิทธิ์ด้วย เนื้อหาในหนังสือเต็มไปด้วยเรื่องราวของตัวเอกอย่างอีริส ส่วนเรื่องเล่าละเอียดๆ เกี่ยวกับอีเบลลีน่าจะเป็นการกระทำที่เลวร้ายของนางเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้จึงไม่มีปรากฏเลย
ถ้าลองพยายามนึกถึงบ่อยๆ จะนึกอะไรออกไหมนะ ในตอนที่กำลังคิดแบบนี้อยู่นั้นเอง
“ท่านนักบุญหญิง อยู่ที่นี่เองหรือขอรับ!”
“…!”