หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม - ตอนที่ 20 คำขอสุดท้าย (1)
วันเกิดปีที่ยี่สิบ หลังจากคาร์ลกลับไปแล้ว แม้อีเบลลีน่าจะไม่รู้ว่าอะไรคือความอัปยศและเสียเกียรติ แต่นางก็รับรู้ได้ตามสัญชาตญาณว่ามีบางอย่างที่ผิด
วันต่อมาก็ยังไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง เหล่านักบวชยังคงยิ้มแย้มพลางกล่าวทักทายนางเฉกเช่นเดิม มื้ออาหารเหมือนทุกวันยังถูกยกขึ้นโต๊ะ อีเบลลีน่าแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ความเจ็บปวดระหว่างขา สวมใส่ชุดเครื่องแบบ และก้าวออกไปเพื่อจัดการงานเหมือนวันก่อนๆ
ระหว่างนั้น นางก็เห็นคาร์ลที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คน เขายิ้มพลางกล่าวทักทายไม่ต่างจากปกติราวกับคนที่ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ดังนั้นอีเบลลีน่าจึงยิ้มและกล่าวทักทายเหมือนเดิมเช่นกัน
คืนนั้น อีเบลลีน่ารู้สึกถึงความหวาดกลัวจากวิหารหลวงที่ตนอาศัยอยู่มาทั้งชีวิตเป็นครั้งแรก
ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น คืนนั้นจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แล้วทำไม…ทุกอย่างถึงได้น่ากลัวเช่นนี้
“…อยากตาย”
ปากของนางที่แยกไม่ได้กระทั่งว่าเป็นเรื่องที่สมควรจะร้องไห้หรือไม่ พ่นคำพูดนั้นออกมาโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นมา อีเบลลีน่ามักจะพูดคำนั้นก่อนนอนทุกวัน โลกของนางเริ่มพังทลายลงอย่างเชื่องช้า
“ฆ่าข้าเสีย”
น้ำเสียงที่อัดแน่นไปด้วยความจริงใจไม่ปรากฏแววหวั่นไหว
คำพูดสั้นๆ ที่เปล่งออกมาออกมาอย่างราบลื่นเกินไป ช่วยบอกว่าเจ้าของคำพูดนั้นคิดทบทวนและไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่าในใจมานับพันนับหมื่นครั้ง
หลังจากพูดสิ่งที่ตนเองปรารถนาออกมาอย่างสมบูรณ์แบบราวกับคนที่ฝึกซ้อมมันมาตลอดชีวิตเพื่อช่วงเวลานี้ อีเบลลีน่าก็เปิดปากขึ้นอีกครั้ง
“นั่นคือคำขอสุดท้ายที่ข้าต้องการ”
พอเอ่ยความปรารถนาทั้งหมดของตนเองออกมา อีเบลลีน่าก็ออกคำสั่งกับกระดานชนวนให้ใส่จุด กระดานชนวนใช้พลังอำนาจที่ตนเองมีจบคำพูดของนางอย่างน่ากลัว
เหนือกระดานชนวนที่เว้นว่าง พื้นที่ส่วนของอีเบลลีน่าพลันเริ่มมีตัวอักษรที่ไม่รู้จักถูกสลักขึ้นอีกครั้ง ทันทีที่ตัวอักษรตัวสุดท้ายถูกสลักลงไป กระดานชนวนก็เปล่งแสงสีทองเจิดจ้า
ในที่สุดการแลกเปลี่ยนที่ต้องทำก็เสร็จสมบูรณ์
ปีศาจไม่ฝัน ทว่า ตอนนี้แอสรันกลับคิดว่าตนเองกำลังฝันไป
ทั้งวิหารที่พังทลาย ทั้งพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของวิหารหลวงที่ถูกตัดบ่อกำเนิดจากการถ่ายเทพลังเวทของเขา ทั้งมนุษย์ที่กำลังกรีดร้องและวิ่งหนีไป ตอนนี้แอสรันไม่เห็นและไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขาพุ่งไปที่นางที่กำลังมองกระดานชนวนด้วยใบหน้าปลาบปลื้มจากจุดที่ห่างไปไม่กี่ก้าว
จนถึงเมื่อครู่ แอสรันเคยคิดว่าตนเองได้รับทุกอย่างมาแล้ว คู่ชีวิตของเขายอมรับเขาเข้าไป และตั้งท้องทายาท จากนั้นก็เอ่ยกระซิบด้วยน้ำเสียงไพเราะว่าเขาจำเป็น
แอสรันฟังคำขอที่นางเอ่ยกระซิบด้วยความยินดี
แอสรันทำลายล้างวิหารหลวงอย่างเบิกบาน วิหารหลวงแห่งนี้กดขี่ข่มเหงนาง ตอนที่เขาสำรวจที่นี่ในคราบมนุษย์ มันยากลำบากเหลือเกินที่ต้องอดทนต่อสภาพที่ทำให้ไม่สบอารมณ์ของบรรดาคนที่นับถือพระเจ้า เขาจัดการเรื่องทุกอย่างที่ฉุดรั้งและทรมานนางหมดสิ้นแล้ว ดังนั้นตอนนี้นางคงจะเพลิดเพลินกับอนาคตที่เป็นอิสระได้เสียที
แม้แอสรันจะมีชีวิตมาอย่างยาวนาน แต่เขาไม่เคยคิดถึงสิ่งที่เรียกว่าอนาคตมาก่อน เพราะปีศาจจะเคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณ และสัญชาตญาณจะมองแต่ปัจจุบันเท่านั้น ทว่า ตอนนี้คู่ชีวิตของเขาทำให้เขาเริ่มคิดถึงอะไรที่มากกว่าสัญชาตญาณ
อนาคตที่จะทำร่วมกับนางเป็นความรู้สึกดีที่แปลกใหม่สำหรับเขา จนทำให้นึกสงสัยว่าทำไมที่ผ่านมาถึงไม่เคยคิดถึงเรื่องแบบนี้มาก่อน เขาเคยคิดว่าจากนี้ไปจะเหลือแต่การสนุกสนานไปกับสิ่งเหล่านั้นแล้ว
แต่อนาคตกลับถูกพิพากษาให้ตายก่อนที่จะได้เกิดขึ้นเสียอีก
‘เป็นไปไม่ได้’
แอสรันย้อนนึกถึงภาพของนางที่เขาเคยเห็นในวิหารหลวง ไอ้ลูกหมาขนเหลืองผู้อับโชคเคยถือหนังสือมาเพื่อทำให้นางพอใจ ลีน่าไม่อาจละสายตาออกจากหนังสือเล่มนั้นที่รวบรวมภาพวิวทิวทัศน์ของแผ่นดินนี้ซึ่งไม่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับเขาได้เลย
นางอยากเห็นโลกราวกับคนที่ไม่เคยเห็นภายนอกมาก่อน เขาจำได้ว่าตอนที่เขาพาไปดูท้องฟ้า นางก็ประทับใจจนร้องไห้พลางกล่าวว่าอิจฉาที่เขาได้เห็นท้องฟ้าแบบนี้ทุกวัน ดวงตาที่กำลังสำรวจเส้นขอบฟ้าตอนพระอาทิตย์ตกดินเป็นประกายราวกับจะกักเก็บช่วงเวลาทั้งหมดเอาไว้
ความปรารถนาอันแรงกล้าที่อยากจะรู้อยากจะเห็นมากขึ้นของนาง ทำให้เขาตอบกลับไปว่าจะพามาดูท้องฟ้าทุกครั้งที่นางต้องการ แต่นางที่เคยเป็นเช่นนั้นกลับเลือกความตายด้วยตัวเอง?
ทันทีที่ได้สบตากับนางที่ยื่นมือไปทางกระดานชนวน แอสรันก็ถามเอ่ยออกไปอย่างไม่รู้ตัว
“…เจ้าเป็นใคร”
สายตาของนางที่มองมาทางเขา เป็นสายตาที่ไร้ซึ่งความอาวรณ์ใดๆ ในสิ่งของบนโลก เป็นสายตาเย็นชาที่ตายด้านไปแล้ว เพราะฉะนั้น แอสรันถึงได้รู้
นี่ไม่ใช่ลีน่าของเขา
แอสรันกัดฟันกรอด ทั้งที่ต่างกันอย่างชัดเจนถึงเพียงนั้นแต่ทำไมเขาถึงไม่สังเกตเห็น จิตใจที่ร้อนรุ่มและเสียงเอ่ยกระซิบของนาง ทำให้การมองเห็นของเขาแคบลงจนมองไม่ชัดเจนว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือใคร
“…เป็นเจ้าตั้งแต่เมื่อไร”
ได้ยินดังนั้น มุมปากของนางก็โค้งขึ้นเล็กน้อย ไม่ใช่รอยยิ้มหวาน แต่เป็นยิ้มเยาะ
“ไม่มีอะไรน่าเศร้าไปกว่าการถามคำถามในเรื่องที่รู้คำตอบอยู่แล้วหรอก ปีศาจของข้า”
ใบหน้าของแอสรันพลันบิดเบี้ยว ดูเหมือนนางจะรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องการยืนยันเรื่องใด ตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาเริ่มวาดฝันถึงอนาคต นางก็ไม่ใช่ลีน่าของเขาแล้ว
ตอนนั้นเอง แอสรันถึงได้เข้าใจทุกอย่าง ทำไมจู่ๆ นางก็ต้องการเขามากขึ้น ทำไมระหว่างทางที่มาที่นี่ถึงไม่เคยสบตากันเลยสักครั้ง
อีเบลลีน่ายิ้มเย้ยปีศาจที่ผิดหวัง ยื่นมือไปทางกระดานชนวนพลางกล่าว
“เร็ว รีบทำให้สัญญาเสร็จสมบูรณ์”
ทันใดนั้น กระดานชนวนพลันเปล่งแสงเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม แอสรันมองมือที่ขยับขึ้นไปเอง มือของเขาคว้าลำคอที่ขนาดยังไม่ถึงหนึ่งกำมือ แล้วเริ่มออกแรงบีบ แอสรันที่มองมือของตนเองอย่างเหม่อลอย รีบปล่อยมือที่จับคอของนางอย่างตกใจ ทว่า ไม่นานมือของเขาก็เข้าไปหานางอีกครั้ง เขากำลังพยายามจะฆ่านาง
“หรือว่า…”
“ใช่แล้ว เจ้าปีศาจ เจ้าถูกเลือกให้ฆ่าข้า แม้เจ้าจะปฏิเสธ แต่อำนาจของกระดานชนวนก็จะทำให้เจ้ายอมจำนนและทำสัญญาให้สำเร็จ”
ได้ยินคำพูดของอีเบลลีน่า แอสรันก็หันมองกระดานชนวน
บรรลุผลแน่นอน นั่นคืออำนาจของพระเจ้าบรรพกาลที่หลับใหลอยู่ในกระดานชนวนแผ่นนี้ ตอนนี้ พระเจ้ากำลังใช้อำนาจของตนเองบังคับให้เขาฆ่านาง
“…อย่ามาตลกนะ”
แอสรันกัดฟันขณะคว้าแขนตนเองไว้ กระดูกหักส่งเสียงดังเปราะ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น แขนที่หักก็ยังพยายามคว้าลำคอของนาง มืออีกข้างเข้ามาจับแขนของเขาอีกครั้ง
ปีศาจกำลังต่อต้านพระเจ้า พลังเวทและอำนาจของพระเจ้าเริ่มขัดแย้งกันอย่างดุเดือด
พลังงานที่มองไม่เห็นพุ่งชนกัน พื้นดินรอบข้างปริร้าว อาคารต่างๆ ของวิหารหลวงที่ฝืนทนสภาพไว้ คราวนี้ไม่อาจต้านทานอีกต่อไป ประวัติศาสตร์นับพันปีถูกพายุแห่งพลังซัดสาดจนถล่มลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
กระดานชนวนเริ่มสั่น ราวกับกลัดกลุ้มว่าจะทำอย่างไรกับคนที่กล้าขัดขืนคำสั่งของพระเจ้าดี ก่อนที่ไม่ช้าจะมีลำแสงสีทองพุ่งออกมา พลังของพระเจ้าที่ดูราวกับเชือกเส้นใหญ่ห่อหุ้มอีเบลลีน่าที่ยืนอยู่ตรงหน้า
นางสัญญาแค่ว่าจะตั้งท้องลูกของปีศาจ แต่ไม่ได้สัญญาว่าจะคลอดออกมา เพราะฉะนั้น คำขอของแอสรันจึงสำเร็จและเสร็จสิ้นไปแล้ว เช่นนั้นแล้วก็เหลือเพียงสิ่งเดียว
อีเบลลีน่ายิ้มพลางมองลำแสงที่ห่อหุ้มตนเอง
โลกใบนี้เป็นโลกที่ได้รับความรักจากพระเจ้าผู้ซึ่งประทานพลังศักดิ์สิทธิ์มาให้ และนางเป็นมนุษย์ที่ได้รับความรักจากพระเจ้ามากกว่าใคร ดังนั้นสิ่งที่เป็นของโลกใบนี้จึงไม่อาจฆ่านางได้ เพราะฉะนั้น อีเบลลีน่าจึงครุ่นคิดว่าตนเองต้องทำอย่างไรจึงจะตาย แล้วก็พบคำตอบ
นางต้องใช้สิ่งของที่ไม่ใช่ของโลกใบนี้
อันที่จริง ไม่จำเป็นต้องหาด้วยซ้ำ ปีศาจที่ข้ามมาจากโลกใบอื่นก็คือคำตอบของเรื่องนี้ แต่ใครจะคิดว่าไม่ใช่แค่ปีศาจตรงนั้น แต่กระทั่งพลังอำนาจของพระเจ้าบรรพกาลยังถึงกับช่วยพาความตายมาให้นาง
อีเบลลีน่ามองปีศาจที่ยังคงขัดขืนอำนาจของพระเจ้าด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ปีศาจที่ทำลายล้างวิหารทั้งหมดบนทวีปและตอนนี้ยังทำลายกระทั่งพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แทบจะใช้พลังของเขาไปเกือบหมดแล้ว เพราะฉะนั้น เขาคงไม่อาจขัดขวางอำนาจของพระเจ้าได้ เพียงแค่รออีกไม่นาน เรื่องทุกอย่างก็จะจบลง
อีเบลลีน่าหลับตารอคอยความตายที่กำลังใกล้เข้ามา ลำแสงพันรอบคอของนาง
“…”
แอสรันมองลำแสงที่พันรอบตัวนักบุญหญิงแล้วก็พลันตระหนักได้ หากใช้งานเขาไม่ได้ พระเจ้าที่อยู่ในกระดานชนวนแผ่นนั้นก็จะใช้พลังของตนเองฆ่านาง
แอสรันเอื้อมมือออกไปจับลำแสงที่ห่อหุ้มตัวนาง ลำแสงที่พันรอบคอนางอย่างนุ่มนวลกลับดุร้ายและรุนแรงสำหรับแอสรันเหลือเกิน เพียงแค่สัมผัสเท่านั้น เนื้อตรงฝ่ามือของแอสรันก็หลุดหายและมีเลือดทะลักออกมาราวกับถูกเลื่อยเฉือน
ทว่า เขาใช้สองมือดึงลำแสงนั้นออกมาโดยไม่สนใจมันแม้แต่น้อย ทันใดนั้น สิ่งนั้นก็เริ่มบิดตัวอย่างรุนแรงราวกับมีชีวิต
ท่าทางเช่นนั้นช่างดูดิ้นรนจนทำให้ใครบางคนอาจจะปล่อยมือโดยไม่รู้ตัว แต่แอสรันกลับไร้เมตตา มือของแอสรันจับมันแล้วฉีกออกเป็นชิ้นๆ กระดานชนวนสั่นแรงขึ้นทุกครั้งที่เขาฉีกลำแสงออก
หลังจากทำลายลำแสงที่พันรอบตัวนักบุญหญิงออกจนหมด แอสรันก็ดึงนางเข้ามากอด
“ลีน่า”
แล้วเรียกชื่อคู่ชีวิตของเขา
“ตอบข้าหน่อยนะ”
นางอยู่ในร่างนี้เป็นแน่ แต่นั่นเป็นเขตแดนที่เขาไม่สามารถไปได้ ความหวาดกลัวว่านางอาจจะหายไปแล้วเริ่มครอบงำเขา
หลังจากพบนาง แอสรันก็ได้รู้จักความรู้สึกมากมาย
ทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มสดใส ทุกครั้งที่เห็นดวงตากลมโต ทุกครั้งที่นางเอ่ยเรียกชื่อเขาทั้งน้ำตาตอนที่รับเขาเข้าไป ความรู้สึกต่างๆ ที่เขาได้เรียนรู้ในช่วงเวลาแสนสั้นที่นางเอ่ยเรียกเขาว่าแอสรัน ยังมากกว่าช่วงเวลาอันยาวนานนับนิรันดร์ที่ใช้ชีวิตมาในฐานะปีศาจที่แข็งแกร่ง และแอสรันเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นอย่างสนุกสนาน
แต่มีเพียงแค่ความหวาดกลัวเท่านั้นที่เขาไม่อยากรู้เลย
บางทีนางอาจจะหายไปตลอดกาลโดยไม่มีใครในโลกรับรู้ช่วงเวลาสุดท้ายนั้นเลย ขณะที่แอสรันกำลังจะได้เรียนรู้ความสิ้นหวังที่ตามมาจากความกลัว พลันมือข้างหนึ่งคว้าเสื้อผ้าของเขาไว้
“แอสรัน”
น้ำตาเอ่อล้นบนดวงตาที่ไร้อารมณ์จนถึงเมื่อครู่ก่อน
“ข้า ข้า…ไม่อยากตาย…”
มีคนหนึ่งพยายามคว้าเขาและพูดขึ้นมาเสียงสั่น นางมองไปที่กระดานชนวนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวพลางคว้าเขาไว้ ระหว่างนั้นเอง กระดานชนวนก็เริ่มสร้างลำแสงใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง
แอสรันรู้ว่าสิ่งที่ถูกสลักลงบนกระดานชนวนครั้งหนึ่งแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นบัดนี้เจ้าสิ่งนั้นจึงเอาแต่ใช้อำนาจของมันฆ่านางเท่านั้น อีกฝ่ายคือพระเจ้า หากฆ่านางไม่ได้ มันก็อาจจะพยายามเปลี่ยนกระทั่งกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้
ให้น้ำหนึ่งอึกกลายเป็นพิษแก่มนุษย์ ให้อากาศที่สูดเข้าไปเอาชีวิต
แอสรันมองลีน่า นัยน์ตาที่เขารู้จักกำลังร้องไห้และมองเขา แม้กระทั่งในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อได้เห็นดวงตาคู่นั้น ปีศาจยังได้เรียนรู้ความรู้สึกน่าเอ็นดูขึ้นมาอีกครั้ง แอสรันพูดกับนาง
“ข้าเคยบอกว่าข้าจะพาเจ้าไปดูท้องฟ้าทุกครั้งที่เจ้าต้องการใช่หรือไม่”
นางต้องการมีชีวิตรอดเพื่อไปดูท้องฟ้าอีกครั้ง
แอสรันจรดริมฝีปากบนหน้าผากนาง ที่บอกว่าจะพาไปดูท้องฟ้า มันไม่ใช่ทั้งการแลกเปลี่ยนหรือข้อตกลง แต่เป็นคำมั่นสัญญาที่ไร้ซึ่งอำนาจใด ทว่าเพราะเขาไม่หวังสิ่งใดตอบแทน มันจึงเรียกได้ว่าเป็นสัญญาที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับแอสรันเช่นกัน
“ตราบใดที่เจ้ายังต้องการ เจ้าจะดูท้องฟ้าเท่าไรก็ได้”
สิ้นคำ แอสรันก็หมุนตัวกลับ จากนั้นยื่นสองแขนไปคว้ากระดานชนวน
กรี๊ซซซ
เสียงที่ราวกับโลกบิดตัวดังขึ้น พร้อมกับกระดานชนวนเริ่มเกิดรอยร้าว
ปีศาจได้ตัดสินใจจะฆ่าพระเจ้าเพื่อคำมั่นสัญญาที่ไม่สลักสำคัญอะไรอย่างการพาไปดูท้องฟ้า
พื้นที่โดยรอบกระดานชนวนที่เกิดรอยร้าวเริ่มบิดเบี้ยวจนดูไม่ได้ กระดานชนวนส่งเสียงแปลกประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดของโลกใบนี้ได้ออกมา แอสรันรู้ว่านั่นคือเสียงกรีดร้องของพระเจ้า
ด้วยเพราะสิ่งที่อยู่ในกระดานชนวนคือพระเจ้า จึงไม่อาจอธิบายสภาพของมันออกมาเป็นภาษามนุษย์ได้ แต่แอสรันสามารถรับรู้ได้ว่าความรู้สึกที่มันสัมผัสได้อยู่ตอนนี้เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับคำว่าตื่นตระหนก
คงจะตื่นตระหนกอยู่แล้ว สิ่งที่รอบรู้และครอบครองพลังอันไร้ขีดจำกัดจะถูกเรียกว่าพระเจ้า เป็นการดำรงอยู่ที่สามารถทำทุกอย่างที่ปรารถนาให้สำเร็จลุล่วง พระเจ้าบรรพกาลที่ไม่รู้ว่ามีตัวตนมาตั้งแต่เมื่อไรกลับต้องประสบพบเจอกับ ‘การทำไม่สำเร็จ’ เป็นครั้งแรก
ระหว่างนั้น รอยร้าวบนกระดานชนวนก็เริ่มกระจายออกไปเหมือนกับใยแมงมุม เสียงที่คล้ายกับเสียงกรีดร้องดังขึ้น ก่อนจะกลายเป็นเศษทรายในพริบตา
“…!”
หายไปแล้วหรือ?
ทว่า ก่อนที่แอสรันจะได้หายใจ เม็ดทรายที่กระจายตกลงพื้นก็ลอยขึ้นมาบนอากาศ เม็ดทรายเหล่านั้นส่องแสงสีทองและรวมตัวกันกลางอากาศอีกครั้ง เม็ดทรายวาดตัวอักษรของโลกใบอื่นที่เขียนบนกระดานชนวนเมื่อครู่ก่อนกลางอากาศอีกครั้ง
แอสรันโบกมือไปทางตัวอักษรที่ก่อตัวขึ้นจากเม็ดทรายอย่างแรง แต่ทรายกลับไม่หายไป หลังจากกระจายตัว มันก็สร้างตัวอักษรขึ้นมาใหม่อีกครั้งราวกับเย้ยหยันแอสรันที่ทำแบบนั้น ราวกับบอกว่าเขาไม่มีวันลบสัญญานี้ออกไปได้
ตัวอักษรทรายที่ลอยอยู่กลางอากาศเริ่มเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้น
กรี๊ซซซ
เสียงพื้นดินและผืนฟ้าบิดเบี้ยวดังไปทั่วทั้งโลก ทั่วท้องฟ้าเกิดระลอกคลื่นวงกลมราวกับฝนตกลงบนสระบัว วงกลมสีทองเกิดขึ้นทั่วทุกมุมบนโลก ลำแสงที่อยู่หลังวงกลมสีทองเทลงมาที่พื้นประหนึ่งน้ำตก
“พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่!”
“ท่านมาช่วยพวกเราแล้ว!”
ใครหลายคนที่ถูกดึงดูดด้วยสีสันศักดิ์สิทธิ์ส่งเสียงเรียกชื่อพระเจ้าและวิ่งไปทางลำแสงนั้น แสงสีทองปกคลุมร่างกายของพวกเขา และฉับพลัน ตรงนั้นก็ไม่เหลือซากอะไรเลย
ทันทีที่ถูกแสงคลุมร่าง พวกเขาก็ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป พวกเขาสูญเสียรูปร่างและเนื้อแท้ ก่อนจะสลายหายไปตามกฎเกณฑ์ของพระเจ้าบรรพกาลที่ไม่รู้ว่าเป็นกฎข้อไหน
บางทีวินาทีที่พวกเขาเปลี่ยนไป ครอบครัวของพวกเขา เพื่อนของพวกเขา หรือคนรู้จักของพวกเขาก็อาจจะลืมการมีอยู่ของพวกเขาไปแล้ว เพราะพวกเขาได้กลายเป็นของที่ไม่ใช่ของโลกใบนี้
พระเจ้ากำลังลงมาจุติบนโลกใบนี้ เพื่อฆ่านางตามที่ได้สัญญาไว้ในข้อแลกเปลี่ยน
แอสรันดึงลีน่าที่กำลังร้องไห้ในอ้อมแขนมากอด บัดนี้พระเจ้าองค์นั้นกำลังใช้พลังทั้งหมดเพื่อฆ่านาง
แอสรันยกมือขึ้นลูบใบหน้าของลีน่า อย่างไรร่างจริงของเขาก็แยกออกไป เขาจึงสามารถคงอยู่ด้วยรูปร่างใดก็ได้ที่ต้องการ ในบรรดาร่างจำนวนมาก เหตุผลที่เขาดันทุรังจะใช้ร่างมนุษย์มาตลอดมีเพียงข้อเดียว
เพราะแบบนั้น เขาถึงจะสามารถกอดนางได้ ในตอนที่นางร้องไห้แบบนี้ เขาจะได้ช่วยเช็ดน้ำตาให้ได้
“อะ แอสรัน…ข้าไม่ใช่อีเบลลีน่า…ขะ ข้ายืมร่างของนางมาชั่วคราว…ตายแล้ว…ในโลกใบอื่น…ขะ ข้ามีชะตากรรมให้ต้องถูกเผาตาย…ท่านไม่ได้รักข้า…ฮึก”
นางที่ร้องไห้และทำไม่ได้กระทั่งหายใจให้ถูกจังหวะ เปล่งคำพูดต่างๆ ที่เรียงไม่เป็นประโยคออกมาอย่างยากลำบาก แอสรันดึงนางเข้ามากอดแล้วปกป้องนางจากลมที่พัดแรง จากนั้นลูบหลังนางเบาๆ คล้ายจะปลอบโยน
“ขะ ข้าไม่ได้สูญเสียความทรงจำ…ข้าแค่อยาก…อยากมีชีวิตอยู่ต่อ…ก็เลยแสร้งทำตัวเป็นอีเบลลีน่า…”
แต่กระนั้นนางก็ยังคงพูดขณะหอบหายใจ แอสรันไม่เอ่ยเร่งและฟังที่นางพูดนิ่งๆ หลังจากรวบรวมคำที่นางพูดออกมาเป็นช่วงๆ แอสรันก็เข้าใจแล้วว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร
คนที่จบชีวิตจากอีกโลกหนึ่ง ถูกนักบุญหญิงอีเบลลีน่าคว้าเอาไว้จึงเข้ามายังโลกใบนี้ ตอนนี้เอง เขาถึงได้เข้าใจว่าทำไมวันที่เขากอดนางครั้งแรก นางถึงทำตัวราวกับไม่รู้จักเขาและไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสัญญาเลย
แอสรันไล้พวงแก้มและเช็ดน้ำตาให้นางที่กำลังร้องไห้อย่างทะนุถนอมกว่าครั้งไหนๆ เพราะเขารู้ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย
เขาหันศีรษะกลับ ทุกคนต่างก็ร้องโหยหวนและพยายามจะออกไปจากตรงนี้ แต่ขณะเดียวกันก็มีคนที่กำลังวิ่งมาทางนี้อย่างไม่ลังเล
เป็นไอ้พวกคนที่เขาไม่ชอบใจเลยแม้แต่น้อย มีหลายครั้งที่เขาถึงกับเคยคิดคนเดียวว่าจะฆ่าพวกมันทิ้งไปเลยดีไหม แต่เขายอมปล่อยไปเพราะชอบใจเวลาที่เขาเผยความรู้สึกเช่นนั้นออกมาแม้เพียงเล็กน้อย นางก็จะขอร้องว่าไม่ให้ทำและปลอบประโลม
แอสรันมองทั้งสองคนที่วิ่งมาหยุดยืนตรงหน้าเขา พลางเปิดปาก
“ราธบัน เลออน”
“…!”
“…!”